บทที่ 4 เชิญสู้ตัดสินชีวิต

ท่องภพสยบหล้า

เจียงวั่งกล่าวจบ ก็ชักกระบี่ฟันออกไปอย่างไม่ลังเล

“อะ…อะไรกัน!?”

แสงเย็นเยียบปรากฏขึ้น ฟางเผิงจวี่รีบกระเสือกระสนหลบกระบี่นี้ เขาโกรธสุดขีด ซมซานเหลือประมาณ

นอกเหนือจากนี้ ที่ตรงนั้นก็ไม่มีใครตั้งสติกลับมาทัน แทบทั้งหมดคิดว่าฉากต่อไปจะเป็นพี่น้องสมานฉันท์ ไมตรีจิตลึกซึ้ง กระทั่งจะกลายเป็นเรื่องเล่าขานดีงามไปพักหนึ่ง

ใครก็คิดไม่ถึงว่าแม้มีสายตาจับจ้อง มีความสัมพันธ์พี่น้องบีบคั้น เจียงวั่งจะยังลงกระบี่จริงๆ!

“เผิงจวี่” เจียงวั่งมองเขาขณะอมยิ้มมุมปาก แต่รอยยิ้มกลับเย็นชาเป็นพิเศษ “บอกว่าจะยื่นคอรับโทษ แล้วเจ้าจะหลบทำไม”

ใบหน้าหล่อเหลาของฟางเผิงจวี่เดี๋ยวเขียวปัดเดี๋ยวซีดขาว เขาลุกขึ้นจากพื้นแล้วกัดฟันกรอดจ้องตาให้รู้แล้วรู้รอด “พี่สาม ท่านไม่สนใจไมตรีของพี่น้องเลยจริงหรือ”

“เจ้าบ้าสารเลวไร้ยางอาย!” จนถึงตอนนี้ ตู้เหยี่ยหู่ก็โกรธจนทนไม่ไหวแล้ว “ข้าตาบอดเองที่มาเป็นพี่น้องกับเจ้า!”

เขาพูดพลางยกเท้าจะพุ่งตัวเข้ามา แต่ถูกเจียงวั่งยกแขนขวางไว้

“พี่รอง เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”

ฟางเผิงจวี่จ้องมองด้วยสายตาโกรธเคือง “ตู้เหยี่ยหู่! เรื่องนี้เกี่ยวกับท่านที่ไหน!?”

“ฟางเผิงจวี่ เจ้าทำข้าผิดหวังจริงๆ!” หลิงเหอที่โอบอ้อมอารีมาโดยตลอดก็ยังระงับสีหน้าโกรธไม่ไหว เขาก้าวมาข้างหน้า ชักกระบี่คู่กายตรงข้างเอวออกมาตัดชายเสื้อมุมหนึ่งแล้วโยนลงบนพื้นอย่างแรง “นับจากนี้ไป เจ้ากับข้าตัดขาดกัน!”

“พี่ใหญ่!” ฟางเผิงจวี่หัวเราะอย่างขื่นขม “พี่รองวู่วามนั่นก็พอรับได้ นี่แม้แต่ท่านเองก็ไม่เข้าใจข้าหรือ ข้ายอมตายเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ แต่บิดามารดามีข้าเป็นลูกชายเพียงคนเดียว ข้าเป็นผู้สืบสกุลเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา เป็นความหวังที่แม้จะตายไปก็ปล่อยวางไม่ลง! ชีวิตข้าไม่ใช่ของข้าเอง แล้วจะมาตายตรงนี้ได้อย่างไร เจียงวั่งชั่วช้าหูเบา ไม่ฟังคำอธิบายอะไร เอาแต่คิดจะให้ข้าตาย! ในใจของเขามีความรักพี่น้องอยู่หรือไม่”

“พี่สี่ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเรียกท่านว่าพี่สี่” เจ้าหรู่เฉิงห้าจอมยุทธ์แห่งเฟิงหลินที่อายุน้อยที่สุดเอ่ยปากขึ้นจนได้ ใบหน้าของเขาดูอ่อนเยาว์แต่ก็หล่อเหลามากแล้ว ยามนี้เมื่อพูดออกมา ก็ราวกับหยกทองตกกระทบพื้นจนเกิดเสียง “ฟางเต๋อไฉสกุลฟาง! รับใช้ตระกูลของท่านมาหลายรุ่น! โจรชั่วกลุ่มหนึ่งจะเอาเงื่อนไขอะไรมาซื้อตัวเขา นี่ท่านกำลังลบหลู่กำลังทรัพย์ของตระกูลฟาง หรือว่ากำลังดูหมิ่นสติปัญญาของพวกเรา พวกสุนัขขี้แพ้เขาประจิมจะแฝงตัวเข้ามาในเมืองเฟิงหลินแล้วยังมาวางกับดักในโถงหอชมจันทร์ได้อย่างไร สุดท้าย ในเมื่อท่านยังไม่มีใจเด็ดเดี่ยวที่จะตาย เช่นนั้นการเสแสร้งเมื่อครู่มีให้ผู้ใดชม ข้าเจ้าหรู่เฉิงอับอายนักที่คบหากับท่าน!”

ในห้าคนนี้ หลิงเหอกับเจียงวั่งมีฐานะยากจน ตู้เหยี่ยหู่ฐานะปานกลาง ส่วนฟางเผิงจวี่กับเจ้าหรู่เฉิงเป็นคุณชายร่ำรวย ตระกูลฟางนั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนตระกูลเจ้าถึงแม้ในช่วงสิบปีนี้เพิ่งจะย้ายมาพำนักที่เมืองเฟิงหลิน แต่อำนาจของตระกูลก็เกินคะเนได้

“น้องห้า เจ้าญาติดีกับพี่สามมาแต่ไหนแต่ไร ปกติเข้าข้างเขาก็ช่างเถิด แต่ข้าไม่ใช่พี่สี่ของเจ้าหรือ เจ้าไม่มีหลักฐานอะไร ก็เอ่ยคำตัดสินโทษพวกนี้โดยอาศัยแค่การอนุมานเอา หรือว่าเจ้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย”

ฟางเผิงจวี่เจ็บปวดเหลือแสน เห็นได้ชัดว่าทุกข์ทรมานยิ่งนัก

“เผิงจวี่ เจ้ายังพูดสำบัดสำนวนอีก” เจียงวั่งหยุดพวกเจ้าหรู่เฉิงไว้ “แต่เจ้าเคยคิดไหมว่า เพราะอะไรก่อนหน้านี้ถึงแม้ข้าจะบาดเจ็บหนักต้องหนีตาย แต่ก็ไม่ได้ลอบติดต่อกับพี่ใหญ่พี่รองและน้องห้า กลับเลือกรอถึงวันนี้จึงจะออกมาพบเจ้า”

เปลือกตาของเขาตกลงเล็กน้อย “เพราะว่าข้าไม่อยากให้พวกเขาต้องเลือกอะไร ไม่อยากให้พวกเขาต้องคาดเดา ไม่อยากให้พวกเขาลำบากใจ! เรื่องราวระหว่างเจ้ากับข้า ก็ให้ข้ากับเจ้าจัดการกันเอง ถ้าหากข้าตายก็ตายไป แต่ในเมื่อข้ายังมีชีวิตรอด เช่นนั้นสิ่งที่ควรจะต้องคืน เจ้าก็ต้องคืนให้กับข้า”

ฟางเผิงจวี่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ท่านถูกบีบคั้นจนเพ้อไปแล้วใช่ไหม ข้าไม่ได้ติดค้างอะไรท่าน แล้วท่านจะให้ข้าคืนอย่างไร ทำไมท่านถึงได้ดื้อรั้นไม่รู้ผิดเช่นนี้”

เจียงวั่งไม่สนทนากับอีกฝ่ายอีก แต่หันไปคารวะรูปสลักเทพมรรคาที่สูงใหญ่กลางสำนักเต๋า “ศิษย์เจียงวั่งถูกคนชั่วฟางเผิงจวี่ทำร้ายจนเกือบวายชีวา แค้นนี้มิอาจลบล้าง ความเกลียดชังนี้มิอาจจางหาย โปรดเป็นพยานตัดสินความตายด้วย!”

ที่ตรงนั้นเกิดเสียงฮือฮา

ศึกตัดสินมรรคาเป็นพยาน!

การสังหารกันเองในสำนักเป็นความผิดบาป แต่หากมีความแค้นใหญ่หลวงหรือหนี้เลือดที่ยากจะลบล้างจริง สำนักเต๋าก็ไม่ได้ห้ามการต่อสู้ท้าดวลเช่นนี้

และในการต่อสู้ท้าดวลที่มีอยู่มากมาย การต่อสู้ที่ให้เทพมรรคาเป็นพยานคือหนึ่งในประเภทที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกที่สุด

สำนักเต๋ามักเข้าใจกันว่า เทพมรรคาสูงส่งอยู่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า หยั่งรู้ทั้งจักรวาล ยามเอ่ยนามล้วนรู้กัน ยามกราบไหว้รูปเคารพล้วนรู้สึกได้ คำสาบานทั้งหมดหากเกี่ยวข้องไปถึงเทพมรรคา จะไม่อาจแก้ไขได้แล้วทั้งสิ้น

ศึกตัดสินมรรคาเป็นพยาน หากไม่ตายก็ไม่เลิกรา

เพิ่งสิ้นเสียงของเจียงวั่ง นักพรตเต๋ากลางคนในชุดคลุมดำคนหนึ่งก็ปรากฏตัวด้านหน้ารูปสลักเทพมรรคา

ใบหน้าของเขาเด็ดเดี่ยวหนักแน่น ไว้เคราสั้นๆ หน้าอกด้านขวาบนชุดคลุมเต๋าสีดำปักมังกรเขียวตัวเล็กไว้ตัวหนึ่ง ตอนมองไปราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ นี่คือชุดคลุมเต๋ามังกรทะยานที่มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับสามเท่านั้นถึงจะใส่ได้

ในโลกของผู้ฝึกตน ขอบเขตพลังโดยคร่าวๆ แบ่งออกเป็นเก้าระดับ ในแต่ละพรรคแต่ละฝ่ายชื่อเรียกอาจจะไม่เหมือนกัน และมีความพิเศษปรากฏออกมาแตกต่างกัน แต่ระดับขั้นส่วนใหญ่เทียบกับเก้าระดับนี้ได้ ระดับเก้าจนถึงเจ็ดคือขั้นต้น ระดับหกถึงสี่คือขั้นกลาง และระดับสามถึงหนึ่งคือขั้นสูง จุดที่น่าสนใจก็คือ ระดับนี้สอดคล้องกับระดับขุนนางของแต่ละรัฐด้วย

แน่นอน ในรัฐเล็กๆ อย่างรัฐจวง ถึงแม้จะเป็นอัครเสนาบดีระดับหนึ่ง ก็ไม่แน่ว่าจะมีพลังระดับหนึ่งจริง

เมื่อนักพรตเต๋าชุดดำไว้เคราสั้นคนนี้ปรากฏตัว ศิษย์ทั้งหมดตรงนั้นก็โค้งตัวคารวะ “เจ้าสำนัก!”

ทั่วทั้งเมืองเฟิงหลินมีนักพรตเต๋าไม่กี่คนที่ได้สวมชุดคลุมดำมังกรทะยาน ในนี้รวมถึงต่งเออเจ้าสำนักเต๋าเฟิงหลินด้วย ว่ากันว่าเขาเคยไปฝึกบำเพ็ญที่เมืองซินอันเมืองหลวงของรัฐจวง ด้วยนิสัยซื่อตรงยึดหลักคุณธรรม เมื่อไปล่วงเกินผู้มีอำนาจเข้า จึงถูกส่งตัวมายังเมืองเฟิงหลินของเขตปกครองชิงเหอแห่งนี้

หลิงเหอมีสีหน้าเวทนา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขารู้วิชากระบี่ของเจียงวั่งดี กล่าวได้ว่าก่อนจะเริ่มฝึกวิชาเต๋าอย่างเป็นทางการ ในกลุ่มศิษย์สายนอกก็ไม่มีใครเป็นคู่มือของเจียงวั่งได้ กระทั่งฟางเผิงจวี่เองก็ไม่ยกเว้น

ในเมื่อเจียงวั่งกล่าวถึงศึกตัดสินมรรคาเป็นพยานขึ้นมา สื่อว่าความไม่เป็นธรรมยังไม่ได้รับการแก้ไข ขณะนี้เจ้าสำนักมาด้วยตนเองแล้ว ถ้าฟางเผิงจวี่ไม่สู้สุดชีวิต ก็ทำได้เพียงยกมือยอมแพ้และรอให้สำนักเต๋าเฟิงหลินตรวจสอบเรื่องที่เจียงวั่งถูกลอบทำร้ายเท่านั้น

ทว่าฟางเผิงจวี่มีหรือจะรอให้ทางสำนักเต๋าตรวจสอบ

ด้วยเหตุนี้ ในความเป็นจริงเขาจึงไม่มีทางเลือก

ภายใต้สายตาที่ระแวง เย้ยหยัน และโกรธเคืองนับไม่ถ้วน สีหน้าของฟางเผิงจวี่ก็ยังไม่ลนลาน “พี่สาม ท่านกับข้าจะชักกระบี่เข้าหากันจริงหรือ”

เจียงวั่งเอ่ยตอบเรียบๆ “คนที่ทำให้พวกเราต้องเดินมาถึงจุดนี้คือเจ้า ไม่ใช่ข้า”

“ต้องทำอย่างไรท่านถึงจะเชื่อข้า”

“ข้าจ่ายชีวิตเพื่อความเชื่อใจนี่ไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้พูดมากไปก็ไร้ความหมาย ฟางเผิงจวี่ในความทรงจำของข้าไม่ใช่พวกขี้ขลาดที่ไม่กล้ารับคำท้าดวล”

ฟางเผิงจวี่ไม่หวั่นไหว “ท่านมั่นใจว่าจะสังหารข้าได้เพียงนั้นเชียว”

เจียงวั่งมองเขาอย่างสงบ “ลองดูสักครั้งก็ได้”

ฟางเผิงจวี่มองเจียงวั่งอยู่นาน จากนั้นก็พลันหัวเราะร่า “น่าเสียดายที่ท่านสังหารข้าไม่ได้ การต่อสู้ท้าดวลของพวกเราไม่อาจเริ่มต้นขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ชีพจรเต๋าของข้าปรากฏออกมาแล้ว พูดได้ว่าเป็นศิษย์สายในไปเรียบร้อย! ระดับของข้ากับท่านไม่เหมือนกัน แล้วจะดวลกันอย่างไร”

เขาพูดพลางยืดตัวยืนตรง ทั่วร่างกระตุ้นชีพจรเต๋า คนทั้งหมดตรงนั้นล้วนสัมผัสได้ มีพลังขุมหนึ่งพุ่งขึ้นจากกระดูกสันหลังของเขา ทำให้เขาคึกคักมีชีวิตชีวา ซึ่งบอกชัดว่าฟางเผิงจวี่มีชีพจรเต๋าปรากฏแล้ว กายเนื้อสามารถตอบสนองรากพลังเต๋าที่ชีพจรเต๋าสร้างขึ้น และมีพลังที่เหนือกว่าคนทั่วไป

สำนักเต๋ามีกฎสำหรับการท้าดวลมานานแล้ว จุดหนึ่งที่ให้ความสำคัญอย่างมากคือ สำหรับการท้าดวลในระดับพลังที่แตกต่างกัน ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธได้อย่างไม่มีเงื่อนไข นี่ก็เพื่อปกป้องผู้ฝึกตนที่ระดับพลังต่ำกว่า เลี่ยงไม่ให้พวกเขาถูกหยามหมิ่นจากผู้ฝึกตนที่ระดับสูงกว่า ทว่าในเวลานี้ กลับกลายเป็นเหตุผลที่ฟางเผิงจวี่นำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้เสียแล้ว

ถึงแม้เขาจะมีชีพจรเต๋าปรากฏ ทว่าก็ยังไม่นานมากนัก ยังไม่ได้เริ่มฝึกวิชาเต๋าด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้พลังจึงยังไม่ได้เพิ่มพูนขึ้นจริง ยังคงไม่มีความมั่นใจที่จะปะทะกับเจียงวั่ง

เจียงวั่งนิ่งเงียบ

เขาจ้องมองฟางเผิงจวี่เงียบๆ ด้วยอารมณ์ซับซ้อน

จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า “เพื่อลูกกลอนเปิดชีพจร ข้าบุกเข้าไปยังเขาประจิมด้วยกระบี่เล่มเดียว ต่อสู้อาบเลือด และเพิ่งจะทลายรังโจรลงได้ จากศึกนี้ข้าได้รับมาสิบสามแผล มีสองจุดที่ถึงตายได้

เพื่อที่จะเปิดชีพจรได้มีประสิทธิผลดีที่สุด ข้าจะรอให้ร่างกายฟื้นกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดก่อนถึงค่อยใช้ยาลูกกลอนนี้ หลักการที่ว่าคนไม่ผิด ผิดที่ถือครองหยก[1]ข้าเข้าใจดี ดังนั้นข้าจึงไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้ ทุกคนล้วนเข้าใจว่าข้ากลืนยาลูกกลอนลงไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว นอกจากเจ้า นอกจากพวกเราห้าพี่น้องที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมา เพราะข้าไม่มีเรื่องอะไรที่จำเป็นจะต้องปิดบังพวกเจ้า

ตั้งแต่ตอนห้าขวบที่ข้าได้เริ่มสัมผัสกับโลกของการฝึกบำเพ็ญ ข้าก็ไล่ตามหาลูกกลอนเปิดชีพจรเม็ดนี้ ข้าไม่มีชีพจรเต๋ามาแต่กำเนิด หากอยากจะก้าวข้ามคนปกติก็ทำได้เพียงพึ่งยาลูกกลอนเท่านั้น มันคือหนทางการฝึกบำเพ็ญของข้า เป็นความหวังของข้า เป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของข้า เจ้ารู้สถานการณ์ของครอบครัวข้า เจ้ารู้ว่าข้าพยายามขนาดไหน ทุกวันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางข้าก็ลุกขึ้นมาฝึกกระบี่ จันทร์ลอยเด่นกลางฟ้าถึงกลับไปพักผ่อน แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยไปหอคณิกา และไม่เคยทำตามใจตัวเองไม่ว่าทางใด ทั่วทั้งสำนักเต๋าเฟิงหลิน ข้ากล้าพูดว่าไม่มีศิษย์สายนอกคนไหนที่พยายามมากยิ่งกว่าข้า เพื่อลูกกลอนเปิดชีพจรเม็ดนี้ ข้าพยายามมาถึงสิบเอ็ดปีเต็ม!”

เจียงวั่งพูดพลางจ้องเขม็งไปที่ฟางเผิงจวี่ “จากหยาดเหงื่อ เลือด และน้ำตาของข้า ลูกกลอนเปิดชีพจรเช่นนี้ของข้าใช้ดีหรือไม่”

รอบด้านเงียบไปพักหนึ่ง

หลิงเหอเม้มริมฝีปากแน่น เจ้าหรู่เฉิงกัดฟันไม่พูดจา กระทั่งชายชาตรีอย่างตู้เหยี่ยหู่ก็ยังตาแดงก่ำ

ใช่แล้ว พวกเขามีใครบ้างที่ไม่รู้ความคลั่งไคล้ ความเหนื่อยยาก และความลำบากของเจียงวั่ง

ทว่าฟางเผิงจวี่กลับลงมือได้โหดร้ายเช่นนี้!

“ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดเหลวไหลอะไร!” ใบหน้าของฟางเผิงจวี่เผยพิรุธเล็กน้อย แต่เขาก็สะกดลงไปอย่างรวดเร็ว “เมื่อต้นเดือนลุงของข้าพากลุ่มพ่อค้าไปยังรัฐอวิ๋น บังเอิญซื้อลูกกลอนเปิดชีพจรเม็ดหนึ่งมาจากผู้ฝึกตนที่เงินขาดมือพอดี ข้าได้รับชีพจรเต๋ามาด้วยเหตุนี้ ไปเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย อย่าคิดว่าทุกคนจะเป็นพวกฐานะยากจน ต้องพยายามไม่เลือกวิธีเพื่อสิ่งที่ต้องการเหมือนกับท่านสิ! ตระกูลฟางของข้าเงินทองมากมี คิดว่าจะซื้อลูกกลอนเปิดชีพจรเม็ดหนึ่งไม่ไหวหรือ”

เจ้าหรู่เฉิงแค้นถึงขีดสุดแล้ว พูดจาไม่ไว้หน้าอีกต่อไป “ใช่สิ ตระกูลฟางก็ร่ำรวยจริงๆ นั่นละ น่าเสียดายที่บิดามารดาเจ้าจากไปเร็ว เจ้าเองก็ไม่ใช่ลูกหลานสายตรงคนเดียว ทรัพย์สมบัติตระกูลที่แบ่งให้เจ้ายิ่งมีจำกัดกว่าเดิม มิเช่นนั้นผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมเจ้าไม่เคยได้ครอบครองลูกกลอนเปิดชีพจรเลย แต่ดันบังเอิญได้มาหลังจากที่พี่สามถูกโจมตี”

“นั่นมันบังเอิญจริงๆ ข้าพูดได้เพียงว่าประจวบเหมาะเกินไป!” ดวงตาของฟางเผิงจวี่เผยประกายเย็นเยียบ “เรื่องที่ไม่มีหลักฐานไม่ต้องพูดอีกแล้ว เห็นแก่ที่พวกเราเป็นพี่น้องกัน ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเจ้า แต่ถ้ามีครั้งต่อไป ข้าที่ได้เป็นศิษย์สายในแล้วจะทำให้พวกเจ้ารู้ว่าอะไรคือการเคารพผู้อาวุโส!”

“เจ้า!” เจ้าหรู่เฉิงเดือดดาล

ตู้เหยี่ยหู่ยิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสำนักอยู่ที่นี่ เขาคงทนไม่ไหวใช้กำปั้นซัดใบหน้าหล่อๆ ของฟางเผิงจวี่ไปแล้ว

มีเพียงเจียงวั่งที่กลับสงบอย่างเห็นได้ชัด “ฟางเผิงจวี่ ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เจ้ามันหยิ่งผยองเกินไป คิดว่าตัวเองถูกต้องเสมอ และมักจะมองข้ามความจริงเพราะเหตุนี้ ข้าเคยสอนเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่จำเสียที

เหตุใดเจ้าไม่คิดเสียหน่อย ถ้าหากศึกตัดสินมรรคาเป็นพยานไม่สามารถเริ่มขึ้นได้ แล้วทำไมเจ้าสำนักต่งถึงมาปรากฏตัวที่นี่”

เขาก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง กระตุ้นชีพจรเต๋าเช่นเดียวกัน ไส้เดือนตัวนั้นที่แกนกระดูกสันหลังแหวกว่ายขึ้นมา ทั่วร่างดูคมกริบยืดตรงราวกับกระบี่!

“นั่นเพราะข้าเองก็มีชีพจรเต๋าปรากฏขึ้นแล้ว มีพลังที่ไม่ธรรมดาแล้วอย่างไรล่ะ!

พวกเราอยู่ระดับเดียวกัน และเจ้าก็ไม่กล้าให้เจ้าสำนักตรวจสอบ ดังนั้นการต่อสู้ท้าดวลจึงเริ่มขึ้น!”

ขณะเดียวกับที่ฟางเผิงจวี่หน้าถอดสี เจ้าสำนักต่งก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเรียบร้อย

ตรงประตูสำนักเต๋า ใต้เท้าของเจียงวั่งกับฟางเผิงจวี่ทั้งสองคนพลันมีต้นอ่อนต้นหนึ่งแทงทะลุผืนดินออกมา ก่อนจะเติบโตอย่างบ้าคลั่งภายในไม่กี่อึดใจ จนกลายเป็นเสาไม้ขนาดยักษ์ต้นหนึ่งแบกทั้งสองคนขึ้นมา และปิดกั้นศิษย์สายนอกคนอื่นๆ เอาไว้ด้านนอก

ส่วนยอดของเสาไม้เรียบเนียนเหมือนถูกอาวุธมีคมตัด เป็นสี่เหลี่ยมขนาดสิบก้าว มองจากไกลๆ คล้ายแท่นไม้สูงทรงกลม เพียงแต่ว่ารอบด้านของ ‘เวทีสูง’ มีกิ่งไม้กำลังสั่นไหว

ฟางเผิงจวี่ไม่สงสัยเลย ขอแค่ตนเองหันหลังหนีไป กิ่งไม้ที่ดูไม่มีพิษภัยเหล่านี้จะต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายกลืนกินคนแน่

ส่วนเจียงวั่งกดมือลงบนด้ามกระบี่ อยู่ในท่าเตรียมพร้อมแล้ว

ต่งเออโบกมือ กิ่งไม้กิ่งหนึ่งม้วนกระบี่ที่ฟางเผิงจวี่ทิ้งไว้บนพื้นก่อนหน้านี้ลอยขึ้นไปบนแท่นเวที

ฟางเผิงจวี่ยื่นมือออกไปรับ

เบื้องหน้ารูปสลักเทพมรรคาที่ไม่มีวันจะมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน ต่งเออผู้แข็งแกร่งระดับห้าอวัยวะภายในประกาศด้วยเสียงเฉยชา “ศึกตัดสินมรรคาเป็นพยาน เริ่มได้!”

……………………………………….

[1]คนไม่ผิด ผิดที่ถือครองหยก หมายถึง ตัวคนไม่มีความผิดอะไร แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด เดิมใช้สื่อว่าทรัพย์สมบัตินำภัยมาสู่ตัวได้ ต่อมาใช้เปรียบถึงคนมีความสามารถถูกริษยาและถูกปองร้าย