ตอนที่ 137-1 ออกเรือน

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นขยี้ตา หันไปมองหน้าต่าง ท้องฟ้ายังไม่สว่าง กำลังอยู่ในช่วงก่อนแสงตะวัน เพราะนอนไม่หลับ กว่าจะหลับก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ตอนนี้รู้สึกสะลืมสะลือ ความง่วงยังไม่หายไป นางพูดงึมงำ “ฟ้ายังไม่สว่างเลย ขอนอนอีกสักเจ็ดนาทีครึ่งเถอะนะ…”

 

 

“รอฟ้าสว่างก็ไม่ทันนะสิเจ้าคะ” ชูซย่าจะร้องไห้ก็ไม่ใช่ จะหัวเราะก็ไม่ได้ คุณหนูใหญ่ขึ้นเกี้ยวครั้งแรก ใครกันเล่าจะไม่ตื่นเต้น แต่คุณหนูเนี่ยสิ ไม่ยอมตื่นสักที “วันหลังไปอยู่ตำหนักท่านอ๋อง คุณหนูจะให้ท่านอ๋องมาปลุกทุกวันเช่นนั้นหรือ”

 

 

นางปลุกอีกหลายครั้ง กว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะยอมลุกขึ้นมา ตอนที่ใช้ผงทำจากเกลือ ชะเอม เบย์เบอรี่ทำความสะอาดฟัน ล้างหน้าจนเสร็จ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชูซย่าหันไปมอง นางรู้เลยว่าเป็นคนแต่งตัวให้คุณหนูใหญ่ นางขานเรียก “เข้ามาสิ คุณหนูใหญ่ตื่นแล้ว”

 

 

หญิงสาวแต่ละคน อุ้มเสื้อผ้า เครื่องประดับศีรษะ และเครื่องประดับเรียงรายกันเข้ามา มีสาวใช้เรือนอวิ๋น มอมอที่ดูแลเรื่องงานแต่งภายในราชวงศ์โดยเฉพาะจากวังหลวง พอเดินเข้ามา พวกนางก็วางเสื้อผ้าในมือไว้บนโต๊ะที่ทำจากต้นสาลี่

 

 

มอมอที่มาจากวังอายุราวสี่สิบ ใบหน้าสะอาดสะอ้าน ท่าทางกิริยาสูงส่ง ดูก็รู้เลยว่าเป็นนางกำนัลที่มีตำแหน่งสูง สายตามองหญิงสาวข้างชูซย่า นางสวมแค่ชุดคลุมสีกล้วยไม้ เพราะเพิ่งตื่น แก้มทั้งสองข้างสีชมพู งดงามราวกับดอกบัว แม้ยังดูสาว แต่ประกายแววตานั้นดูแน่วแน่ ผมดำพาดยาวราวกับน้ำตกที่ไหลลงมา ยังไม่ได้เกล้าขึ้น จึงตรงยาวเลยสะโพก ยังไม่ทันเข้าใกล้ กลิ่นหอมธรรมชาติจากร่างกายก็ลอยแตะจมูก แม้ไม่ปะแป้งแต่งตัว ก็ดูออกว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง

 

 

มอมอรู้ว่าหญิงสาวท่านนี้คือคุณหนูใหญ่แห่งเรือนอวิ๋น นางก้าวขึ้นมาน้อมทักทาย “ทักทายด้วยความมงคลเจ้าค่ะคุณหนูอวิ๋น ขอให้คุณหนูกับฉินอ๋องครองรักนิรันดร์ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน! ข้าแซ่โหยว รับใช้อยู่ที่ตำหนักเฟิ่งจ๋า วันนี้ข้าจะเดินเคียงตลอดทาง ส่งคุณหนูเข้าตำหนักฉินอ๋อง พรุ่งนี้เข้าวังพร้อมคู่สามีภรรยาฉินอ๋อง ฮองเฮากำชับข้าไว้ว่า ให้ข้าปรนนิบัติรับใช้คุณหนูให้เป็นอย่างดี ห้ามขาดตกบกพร่องเด็ดขาด คุณหนูอวิ๋นยังใหม่ ในพิธีหากมีสิ่งใดไม่เข้าใจ โปรดเรียกข้า ไม่ต้องเกรงใจนะเจ้าคะ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นน้อมทักทายตามมารยาท “ฮองเฮาดูแลเรื่องพิธีแต่งงานของข้าด้วยตัวเอง ยังส่งโหยวมอมอมาถึงจวน ข้านั้นเกรงใจเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”

 

 

“คุณหนูอวิ๋นอย่าพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ ฮองเฮาคือแม่สามีของคุณหนู แม่สามีดูแลพิธีแต่งงานของลูกชายกับลูกสะใภ้ ก็ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ” โหยวมอมอกล่าวไปยิ้มไป

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปมองชูซย่าหนึ่งที ชูซย่าหยิบถุงแดงที่ใส่เงินไว้เสร็จสรรพ ถือเป็นเงินมงคล แจกให้กับทุกคน

 

 

โหยวมอมอฟังจากฮองเฮามาว่า ชายาเอกท่านนี้สูญเสียแม่ตั้งแต่แปดขวบ ไม่มีแม้คนคอยสั่งสอนเลี้ยงดู แม่เลี้ยงก็ไม่ค่อยสนใจนางเท่าไหร่ เดิมคิดว่าคงจะลนลาน เพราะต้องจัดการทุกอย่างเอง แต่ใครเล่าจะคิด ว่านางรู้มารยาทในพิธีแต่งงานด้วย อิริยาบท การยกมือ การก้าวเท้า นิ่งเรียบร้อย เหมือนฝึกมานาน แปลกใจเล็กน้อย หลังจากทุกคนรับถุงเสร็จ นางเชิญชายาเอกไปอยู่ด้านหลังฉากกั้นสีหยก และเริ่มเปลี่ยนชุด โดยพันเอว พันอก สวมเสื้อชั้นกลาง แล้วสวมชุดแต่งงานทับ จากนั้นสวมเครื่องหัว

 

 

สาวใช้หลายคนช่วยกันถือชายกระโปรงมงคลยาวลากพื้น เดินออกมาจากฉากกั้นลม ชูซย่าเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นแวบแรก ตาลุกเป็นประกาย “คุณหนูใหญ่งดงามมากเจ้าค่ะ”

 

 

ภายในห้อง มอมอกับสาวใช้ต่างตกตะลึงตาม ต่างพากันวางงานในมือ และเริ่มพูดคุย

 

 

ผมดำเงางามถูกเกล้าขึ้น เครื่องหัวประกอบด้วยหยกมรกตเก้าปีก มงกุฎหงส์สี่ตัว ขอบมงกุฎห้อยมุกแกะสลักลายนกลวนกับหงส์สีทอง บางทีก็ปิดหน้า บางทีก็เผยให้เห็นหน้าหญิงงาม ส่วนเรือนร่างนั้น สวมใส่ชุดตี๋ถักด้วยเส้นไหมทองลายหงส์ อันเป็นชุดพิธีแต่งงานของพระชายา คลุมด้วยแพรแถบคล้องคอสีแดงราวกับเมฆสีแดง ใบหน้ายังไม่ได้ปะแป้งร่ำน้ำปรุง แต่แก้มนั้นแดงเลือดฝาดเป็นธรรมชาติ งดงามหมดจดไปทั้งตัว

 

 

โหยวมอมอเป็นคนสนิทของฮองเฮา ของสวยงามที่วังหลัง มีอะไรบ้างที่นางไม่เคยเห็น สายตาเฉียบคมปานนั้น เวลานี้กลับเหมือนกับทุกคน ที่ตกตะลึงกันไปครู่ใหญ่ แม่นางคนนี้มีแววเป็นพระชายาแห่งวังหลังเสียจริง จะเป็นพระชายาของรัชทายาทก็คงไม่มากเกินไป

 

 

เป็นได้แค่ชายาเอกขององค์ชายผู้ไม่เอาไหน ดูน่าเสียดายไปหน่อย นางกล่าวว่า “คุณหนูอวิ๋นงดงามชดช้อยยิ่งนัก อีกหน่อยคงงามกว่านี้อีกเจ้าค่ะ”

 

 

คนเจ็ดแปดคนพาเจ้าสาวไปนั่งหน้าคันฉ่อง แต่งแต้มใบหน้าจนเสร็จ ฟ้าก็สว่างพอดี

 

 

เมื่อปะแป้งเสร็จแล้ว โหยวมอมอพาบ่าวอื่นๆ ออกไปรอประกาศเวลามงคล อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งอยู่หน้าคันฉ่อง มองดูคนที่สะท้อนในคันฉ่องกรอบทองเหลือง

 

 

คนในคันฉ่อง คือนางแท้ๆ แต่ทั้งแปลกใหม่ ทั้งเหมือนคนแปลกหน้า

 

 

นางสวมชุดพิธีแต่งงานเต็มยศสีแดงทั้งตัว ตั้งแต่บนจรดล่าง ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ลูกสะใภ้ของพระราชวงศ์พึงมี สร้อยลูกปัดมุกที่ห้อยลงมา ปิดบังใบหน้าอันงดงามเอาไว้ ริมฝีปากสีแดงดุจดอกกุหลาบที่เบ่งบาน คิ้วดกเรียวยาวดุจเทือกเขา ชุดแต่งงานที่อยู่ใต้แถบคล้องคออันพลิ้ว แนบพอดีกับตัว ทำให้เห็นทรวดทรงองเอวชัดเจน ทรวงอกตรงตั้ง ลำคอที่เผยให้เห็น เนียนขาวไร้ตำหนิ ราวกับนมวัวนมแพะ จนอยากจะขอชิมสักคำ

 

 

ช่วงก่อนพิธี นางบำรุงอย่างสม่ำเสมอ ในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือผิวพรรณ ล้วนแต่อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด

 

 

ร่างกายร่างนี้ยังคงเป็นร่างที่สมบูรณ์ งดงามเป็นที่สุด ไม่เคยแต่งกับคนทรยศเลวทราม ไม่เคยได้รับน้ำชาพิษ ไม่เคยถูกทำร้าย

 

 

แสงรุ่งอรุณสาดส่องมายังหน้าต่างสลักลายดอกไม้ ช่างเป็นวันที่อบอุ่นและงดงามเสียจริง และเป็นวันที่อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่

 

 

ขณะเดียวกัน ชูซย่ากลับมาจากข้างนอกพอดี นางปิดประตู เดินมาใกล้คันฉ่อง โน้มตัวลงพลางพูดว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ฮูหยินเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว รออยู่ที่ห้องโถงเอกพร้อมกับนายท่าน นั่งรอคนของตำหนักองค์ชายเจ้าค่ะ ข้าไปดูมาแล้ว นางกำลังพูดอยู่กับนายท่าน ความดีใจที่เก็บไม่อยู่นั่น…แหว คนนอกไม่รู้หรอก คงคิดว่านางดีใจที่คุณหนูใหญ่ได้ออกเรือนกับคนดี ทำหน้าที่แม่เลี้ยงได้เหมาะสมเสียเหลือเกิน ใครกันเล่าจะไม่รู้ ความดีใจนั้น เพราะนางมีโอกาสได้คุยกับนายท่านต่างหากเล่า ข้าว่า นางคงกำลังคิดว่า จะได้อยู่ร่วมพิธีแต่งงานของคุณหนูใหญ่กับฉินอ๋อง พร้อมกับนายท่าน ฝันว่าได้เป็นแม่ของชายาเอกอยู่แน่เลยเจ้าค่ะ!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นตอบ “อืม” จากนั้นนางหันไปถามชูซย่า “ของเตรียมเสร็จแล้วหรือยัง”

 

 

“เสร็จนานแล้วเจ้าค่ะ” ชูซย่าตอบ

 

 

“ดีแล้ว” เล็บมือที่ถูกทาด้วยสีแดงอ่อน อวิ๋นหว่านชิ่นเคาะที่โต๊ะปะแป้งเบาๆ

 

 

****

 

 

ภายในห้องโถงเอก

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยปักปิ่นปักผมดอกไม้ สวมใส่ชุดตี๋ลายดอกทานตะวัน ตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เตรียมตัวไปครู่หนึ่ง เมื่อหลายวันก่อน นางสั่งให้อาเถาไปหาแป้งร่ำน้ำปรุง วันนี้จะแต่งตัวแบบที่นายท่านชอบสักหน่อย ประกอบกับชุดส่งออกเรือนที่ส่งมาจากที่บ้าน ทำให้ผิวพรรณรูปลักษณ์ดูดีกว่าหลายวันก่อนมาก

 

 

ตอนเช้า ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมองเรือนใหญ่งแห่งจวนอวิ๋น ที่ไม่ได้พบมานาน ตลอดการเดินไปห้องโถงเอก นางทั้งตื่นเต้น ใจเต้นตึกตัก นางจักต้องกลับมาให้ได้ ต้องกลับมาเรือนเอกให้เร็วที่สุด

 

 

พอได้พบหน้าอวิ๋นเสวียนฉั่ง ไป๋เสวี่ยฮุ่ยน้ำตาคลอ ขานเรียกด้วยความนุ่มนวล “นายท่าน”