บทที่ 104 อักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้า
บทที่ 104 อักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้า
บริเวณด้านหน้าศิลาจารึกของสุสานกระบี่ เฉินซีถือศิลาวิญญาณดาราไว้ในมือแต่ละข้าง ในขณะที่หมุนเวียนวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ พลังดาราจักรที่ไร้ขอบเขตพุ่งแทรกซึมเข้าสู่กายเนื้อและผิวหนัง
บนแผ่นหลังกว้าง อักขระจ้าววิญญาณที่เลือนรางกำลังขยับไปมาและค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้ตรงกลางแผ่นหลัง เมื่อมาบรรจบกัน พวกมันก็ค่อย ๆ ซ้อนทับและถักทอเข้าด้วยกัน…
เปรียบเสมือนชีวิตใหม่ถือกำเนิดขึ้น เมื่ออักขระจ้าววิญญาณนับไม่ถ้วนมาบรรจบกันและสร้างแผนภูมิกลุ่มดาว แสงของมันวูบวาบสลับไปมาระหว่างความสว่างกับความมืด และอบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่อ้างว้างและหนักอึ้ง
จิตใจของเฉินซีล่องลอยไปไกล ต่อมาราวกับว่าเขากลับมาสู่สมัยโบราณ พื้นดินรกร้างกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ทุกที่ต่างเป็นสีเหลืองอร่ามของผืนดิน ในขณะที่ตัวเขาถูกล่ามโซ่ไว้กับพื้นคล้ายภูเขาสูงตระหง่านหยั่งรากลึก เขาทั้งมั่นคงและสูงส่ง แม้จะผ่านไปร้อยล้านปีก็ไม่มีทางหายไป
“ธาตุทั้งห้าของสวรรค์และโลก แผ่นดินนั้นเป็นรากฐานและเป็นแหล่งกำเนิดทุกสรรพสิ่ง อีกทั้งสิ่งที่เติบโตจากมันก็ขึ้นอยู่กับชนิดของดิน…” ภายในห้วงแห่งจิตสำนึกซึ่งอยู่ในดวงวิญญาณของเขา รูปปั้นเทพเจ้าฝูซีที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์มาเนิ่นนาน ได้เปล่งแสงจรัสเจิดจ้ามากมาย ขณะเดียวกันความคิดเหนือคณานับและลึกซึ้งก็หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเฉินซี
“แท้จริงแล้ว มันคืออักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้านี่เอง…” ชายหนุ่มรู้แจ้งทันที
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
สายใยของพลังลึกลับปรากฏขึ้นฉับพลันระหว่างเนื้อหนัง เลือด และเส้นเอ็นในร่างกาย อีกทั้งกลิ่นอายโบราณป่าเถื่อนได้ชำระล้างเลือดเนื้อในร่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฉินซีรู้สึกว่าพลังประหลาดนี้กำลังเติบโตขึ้น เหมือนกับน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากพายุฝน และมันก็หนาขึ้นเรื่อย ๆ
แกร๊ก! แกร๊ก!
สามวันต่อมา ศิลาวิญญาณดาราทั้งสองในมือของเฉินซีได้แตกเป็นผุยผงอย่างพร้อมเพรียง เขาตื่นขึ้นจากการหมุนเวียนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ และแววตาที่ล้ำลึกบริสุทธ์ก็ส่องประกายแสงออกมา
“หลอมรวมแผนภาพหมู่ดารา รวบรวมอักขระยันต์และเปลี่ยนเป็นปราณจ้าววิญญาณ… ในที่สุดข้าก็ได้ใช้ทักษะแปรสภาพร่างกายให้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลเสียที!”
เฉินซีลุกขึ้นยืน ร่างกายสั่นสะท้านและกล้ามเนื้อบิดไปมา ก่อนที่ตัวเขาจะขยายออก ก่อให้เกิดคลื่นเสียงเสียดหูที่เป่าฝุ่นผงเม็ดทรายให้ปลิวว่อน นี่คือความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อโดยไม่จำเป็นต้องใช้ปราณแท้จริงเลยแม้แต่น้อย
ในขณะนี้ เฉินซีรู้สึกได้ทันทีว่ากล้ามเนื้ออ่อนนุ่มดั่งก้อนสำลีหรือแข็งเหมือนแผ่นเหล็ก และทั้งร่างได้รับการแปรสภาพอย่างทั่วถึง แม้ว่าจะเหยียดกายออกไปเท่าไร เขาก็สามารถขยายและหดได้ตามใจปรารถนา
หากมีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตก่อกำเนิด ไม่ว่าจะทุ่มเทกับการบ่มเพาะไปมากเพียงใด ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับคุณสมบัติของการขยายและการหดตัวดังกล่าว!
“ตราบใดที่ศีรษะและหัวใจไม่ถูกศัตรูแทงทะลุ การใช้ทักษะแปรสภาพร่างกายของขอบเขตตำหนักอินทนิลก็เทียบเท่ากับการครอบครองร่างอมตะ!” เฉินซีรู้สึกพอใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอย่างมาก จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหมุนเวียนพลังในร่างอีกหน
พลังมากมายพุ่งออกมาจากเลือดเนื้อทันที พลังนี้ผสมผสานระหว่างนภากระจ่างกับเมฆหมอกพร่าเลือน ปรากฏขึ้นอย่างลึกลับและยากที่จะคาดเดา
นี่คือปราณจ้าววิญญาณที่ถูกครอบครองโดยทักษะแปรสภาพร่างกาย!
ตู้ม!
เฉินซีรวบรวมปราณจ้าววิญญาณไว้ที่หมัดและทุบลงพื้น
ทันใดนั้น รอยหมัดที่หนากว่าสี่ฉื่อก็ปรากฏบนพื้น เฉินซีรู้สึกว่าหมัดเมื่อครู่แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนอย่างน้อยสิบเท่า และสามารถทำลายสมบัติวิเศษให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้!
“ข้าได้ดูดซับพลังดาราจักรและปราณจ้าววิญญาณที่แปรเปลี่ยนจากอักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้า ที่ควบแน่นจนเข้มข้นหนาแน่น และมีลักษณะคมกริบดั่งผลึกแก้ว
‘ข้าสงสัยว่ามันจะเปลี่ยนไปอย่างไรหลังจากที่ควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณขั้นที่สอง?’
‘น่าเสียดายที่เคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพที่ข้าครอบครองมีแค่ส่วนแรกของขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น และคาดว่าส่วนที่เหลือของเคล็ดวิชาการบ่มเพาะต้องอยู่ในมือของผู้อาวุโสจี้อวี๋ ดูเหมือนว่าสวรรค์จะปรารถนาให้ข้าเข้าไปในเคหาเช่นกัน…’
เฉินซีหมกมุ่นอยู่กับความคิดและไม่ได้สังเกตตอนที่เขาต่อยปราณจ้าววิญญาณลงไปบนพื้น ความผันผวนที่แปลกประหลาดก็ปรากฏบนศิลาจารึกของสุสานกระบี่ที่อยู่ใกล้เคียง
“ข้าคิดว่าผู้อาวุโสจี้อวี๋คงต้องรอมาเนิ่นนานเป็นแน่ ตอนนี้ข้ามีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลในการแปรสภาพร่างกายและลมปราณแล้ว ข้อจำกัดของจี้หยกไม่อาจหยุดข้าให้เข้าไปได้อีกแล้ว”
เฉินซีจ้องไปยังจี้หยกที่อยู่ในฝ่ามือ และกำลังจะตรวจสอบ แต่จู่ ๆ หัวใจก็คล้ายว่าถูกบางอย่างเสียดแทง เมื่อมองลงไปก็รู้สึกกลัวจนตัวแข็งค้าง
ทันใดนั้น หลุมดำปรากฏขึ้นใต้เท้าของเขา และมันเหมือนกับวังวนที่หมุนวนอย่างเงียบงัน
เฉินซีรู้สึกว่าทัศนวิสัยกลายเป็นสีดำ ในขณะที่ร่างกายถูกพลังมหาศาลลากลงมาด้านล่างอย่างรุนแรง เขาไม่มีโอกาสต่อต้านเลยแม้แต่น้อย
ครืนนน!
ไม่นานหลังจากที่เฉินซีหายตัวไปจากพื้นดิน ศิลาจารึกของสุสานกระบี่ที่สูงราวร้อยจั้งก็ตกลงไปในหลุมดำและหายไปไร้ร่องรอย
พายุโหมกระหน่ำและพายุทรายคำราม ในชั่วพริบตาสถานที่นั้นถูกปกคลุมด้วยทรายหนาทึบ และไม่พบร่องรอยของเฉินซีหรือสุสานกระบี่อีกต่อไป
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด ภาพที่เห็นตรงหน้าเฉินซีได้เปลี่ยนไป สวรรค์และโลกต่างหมุนรอบเมื่อแรงกดดันทั้งหมดที่มีต่อเขาหายไป ชายหนุ่มจึงลืมตาขึ้น ขณะนี้เขาอยู่ในห้องโถงกว้างขวางห้องหนึ่ง
ห้องโถงนี้กว้างขวางสุดพรรณนา แต่ก็รกร้างยิ่งนัก ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยร่องรอยอารยธรรม เช่น โต๊ะเก้าอี้ที่แตกหัก ไหนจะแท่นและเสาหินที่โค่นล้มนั่นอีก
แต่มากกว่านั้นกลับเป็น… กระดูกและซากศพ!
เฉินซีคิดไม่ผิด… ห้องโถงเต็มไปด้วยกระดูกกระจัดกระจาย และในบรรดาโครงกระดูก เศษดาบและเสื้อผ้าบางส่วนขาดวิ่นเป็นชิ้น ๆ
“ในห้องนี้ไม่มีหน้าต่างหรือประตูรอบ ๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่ากระดูกเหล่านี้คือคนที่ถูกขังจนตาย” หัวใจของชายหนุ่มดิ่งวูบลงเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
แกรก!
ทันทีที่ยกเท้าขึ้น เขาก็บดขยี้โครงกระดูกสีขาวที่ผุกร่อนตามพื้น เพียงย่างก้าวเบา ๆ ก็ทำให้มันกลายเป็นฝุ่นผง
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? หรือว่ากระดูกเหล่านี้อยู่ที่นี่มานานแล้ว?” เฉินซีตื่นตระหนก เนื่องจากผู้ที่สามารถเข้ามาได้ย่อมเป็นผู้บ่มเพาะอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นอายุขัยของผู้บ่มเพาะก็ยืนยาวมาก แม้ร่างกายจะสูญสิ้น แต่กระดูกจะยังคงไม่สลาย กระนั้นก็แตกหักเป็นเสี่ยง ๆ ยามย่ำเหยียบ และมันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาตายมานานแล้ว!
แกรก! แกรก!
เฉินซีเดินไปรอบ ๆ ห้องโถงอย่างช้า ๆ เขาต้องการค้นหาเบาะแสอันมีค่า เพราะไม่ต้องการถูกขังอยู่ที่นี่!
ผู้คนจากทั่วสารทิศมาตายตกในที่แห่งนี้ และดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาจากกลุ่มเดียวกัน บางส่วนมาจากสมัยโบราณ อีกทั้งกระดูกบางชิ้นค่อนข้างแข็ง พวกมันมีความหลากหลายที่แตกต่างกัน เขาจึงสามารถแยกแยะได้จากความเก่าคร่ำคร่าของอาภรณ์
แม้เสื้อผ้าบางชิ้นจะเป็นสมบัติวิเศษที่ได้รับการขัดเกลาจากสมบัติของสวรรค์และโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า พวกมันก็ไม่อาจทนต่อการกัดกร่อนของกาลเวลาจึงได้สลายไป
เคร้ง!
เฉินซีหยิบกระบี่ที่มีสนิมเขรอะชึ้นมาจากกองกระดูก และทันทีที่หยิบมันขึ้นมา มันก็สลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยตกกระจายไปทั่วพื้น น่าเสียดายที่กระบี่เล่มนี้เป็นสมบัติวิเศษที่ทรงพลังอย่างยิ่ง แต่เมื่อเวลาผันผ่านมันกลับกลายเป็นเพียงฝุ่นบนพื้น
ผุพัง…
ชั่วนิรันดร์…
ในสวรรค์และโลก มีผู้ใดบ้างที่มีชีวิตนิรันดร์และคงอยู่ได้ตลอดไป?
เฉินซีจ้องมองโดยรอบด้วยแววตาว่างเปล่า ความรู้สึกที่อ้างว้างและหมดหนทางเริ่มกัดกินจิตใจ
เส้นทางแห่งการบ่มเพาะนั้นคลุมเครือ ไม่แน่นอนและยาวนานไร้ขอบเขต …ต้องเดินบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะอีกกี่ปีถึงจะเป็นเซียนอยู่บนสวรรค์และบรรลุความเป็นอมตะได้?
ผู้บ่มเพาะสามารถดำรงอยู่ได้หลายพันหลายหมื่นปี แต่ถ้าไม่อาจรอดพ้นภัยพิบัติจากสวรรค์ที่มีมากมาย พวกเขาย่อมกลายเป็นถ้วยดินและถูกพัดกระจายไปกับสายลม
มีอายุยืนราวฟ้ากับดิน …มันจะง่ายอย่างที่กล่าวได้อย่างไร?
เฉินซีส่ายศีรษะ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกหมดความสนใจในทุกสิ่ง ไม่อยากทำอะไรและไม่มีความคิดใด ๆ
ทันใดนั้น เขาก็ตกตะลึงและพยายามดิ้นรนจากความรู้สึกเดียวดาย จากนั้นใบหน้าของชายหนุ่มก็ปรากฏความประหลาดใจออกมา
‘ผู้ใดกัน!? ดวงจิตแห่งเต๋าของข้าถูกขัดเกลาให้มั่นคงเมื่อนานมาแล้ว แต่ความรู้สึกด้านลบมากมายยังปรากฏอยู่ในใจ! เห็นได้ชัดว่าต้องมีคนลอบทำร้าย!’ หัวใจของเฉินซีรู้สึกเหมือนถูกบีบรัด กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มพุ่งออกไปแหวกว่ายรอบตัวชายหนุ่ม ในเวลาเดียวกัน เขาก็ตื่นตัวต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ฟิ้วว!
จู่ ๆ ลมหนาวก็พัดเข้ามาภายในห้องโถงที่ว่างเปล่า พัดผ่านจนกระดูกบนพื้นเปล่งเสียงแตกหัก ซึ่งทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูกสันหลัง
“เอ๊ะ เจ้าตื่นจากแดนนิพพานเร็วขนาดนั้นเลยหรือ?” เสียงใส ๆ ของเด็กดังขึ้น ที่มาของเสียงนั้นคือเด็กตัวเล็กในชุดสีขาวที่สูงราวสี่ชุ่น ผู้มีใบหน้าหล่อเหลา คิ้วโค้งดั่งคันศรและแววตาที่สุกสกาวพราวแสง เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าเฉินซี เขาก็นั่งขัดสมาธิท่ามกลางอากาศ ทำให้ร่างกายดูเล็กจิ๋วราวกับนิ้วโป้ง
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขาไม่ได้สังเกตว่าเด็กน้อยคนนี้เข้ามาตั้งแต่ยามใด! หนำซ้ำยังมีกระบี่ท่องปรภพอีกแปดเล่มที่คอยคุ้มกันอยู่รอบตัวเขา!
“เก็บเศษเหล็กเหล่านี้ไปซะ ถ้าข้าอยากจะทำร้ายเจ้า เจ้าคงตายไปนานแล้ว” เด็กน้อยกอดอกขณะที่กล่าวอย่างภาคภูมิ และน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความดูหมิ่น
“เจ้าคือใคร?” เฉินซีย่อมทราบดี เนื่องจากเด็กน้อยคนนี้สามารถหลุดรอดการคุ้มกันของกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มไปได้ และปรากฏตัวตรงหน้าเขา ดังนั้นป้องกันไปก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงเก็บกระบี่ท่องปรภพลงไป แต่ในใจกลับระมัดระวังตัวแจ ซากศพนับไม่ถ้วนที่อยู่ในที่แห่งนี้อาจถูกเด็กน้อยคนนี้ฆ่าก็ได้
“ข้าน่ะหรือเป็นใคร?” ร่างเล็กที่หล่อเหลาฟื้นคืนสติขณะที่ลุกขึ้นยืนมือไพล่หลัง และชุดสีขาวบนร่างเล็ก ๆ นั่นก็ปลิวไปตามลมพร้อมกล่าวอย่างสงวนท่าที “ข้าคือวิญญาณของกระบี่แดนนิพพานโบราณ ข้าติดตามท่านอาจารย์มาเพื่อกำจัดความชั่วร้ายและกวาดล้างโลกเป็นเวลานับหมื่นปี ข้าดูแคลนโลกทั้งใบและยืนอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าจงเรียกข้าว่าปรมาจารย์หลิงไป๋”
เฉินซีรู้สึกว่ามันน่าขบขัน เมื่อได้ยินเด็กน้อยที่สูงเพียงตาตุ่ม คุยโม้โอ้อวดว่าตัวเขานั้นน่าเกรงขามถึงเพียงใดด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
“หืม? เจ้าไม่ตกใจหรือ” เด็กน้อยที่มีใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้ว
“ตกใจ? ข้าต้องตกใจอะไรหรือ” เฉินซีถามด้วยความประหลาดใจ
เส้นเลือดบนหน้าผากของเด็กน้อยเต้นตุบ ๆ “ข้ากล่าวไปมากแล้ว หรือว่าเจ้าได้ยินประโยคไม่ชัดเจน?”
“ข้าได้ยินมันชัดเจน เจ้าคือจิตวิญญาณของกระบี่แดนนิพพานโบราณ และเจ้าถูกเรียกว่าปรมาจารย์หลิงไป๋ ว่าแต่เจ้าตั้งฉายานี้ให้ตัวเองหรือ?” เฉินซีพยักหน้าและกล่าวอย่างสบาย ๆ
“ตั้งฉายาให้กับตัวเอง…” เด็กน้อยผู้มีใบหน้าหล่อเหลาเอามือปิดหน้าผากด้วยสีหน้าแสนเจ็บปวด “เจ้าทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร? ข้าคือจิตวิญญาณแห่งกระบี่แดนนิพพาน!”
“โอ้ ฟังดูน่าเกรงขามมากจริง ๆ” เฉินซีพยักหน้าอีกครั้ง
ร่างกายของเด็กน้อยผู้มีใบหน้าหล่อเหลากลายเป็นแข็งทื่อและเกือบตกลงมาจากกลางอากาศ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาหม่นหมองเหมือนก้นกระทะ ขณะที่กัดฟันและกล่าวว่า “เจ้าทำเกินไปแล้ว! การกระทำของเจ้าช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก! ผู้คนที่เข้ามาในสุสานกระบี่แดนนิพพานนั้น มีความเคารพและให้เกียรติข้า อีกทั้งยังยอมก้มหัวให้เพื่อหวังว่าข้าจะมอบเคล็ดวิชาการใช้กระบี่ให้แก่พวกเขา แต่เจ้ากลับบอกว่าข้าตั้งฉายานี้ให้แก่ตัวเอง มิหนำซ้ำยังล้อเลียนว่าข้าดูน่าเกรงขาม… เจ้าทำให้ข้าอับอายขายหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร”
“สุสานกระบี่แดนนิพพาน?” เฉินซีมองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ
ใบหน้าของเด็กน้อยกระตุกวูบ เขาไม่อาจระงับเปลวเพลิงแห่งโทสะที่สุมอยู่ในอกได้อีกต่อไปจึงตะคอกใส่ “เจ้าอย่าได้คิดเปลี่ยนเรื่อง? การกระทำของเจ้ามันเสียมารยาทยิ่งนัก!”
เฉินซีกล่าวขอโทษ “อ่าา~ ข้าผิดเอง เจ้าทรงพลังมากจริง ๆ แล้วอย่างไรต่อหรือ?”
“ท่าทางแบบขอไปทีเช่นนี้ มันไม่หยาบคายไปหน่อยหรือ?” ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะหมดเรี่ยวแรงที่จะต่อปากต่อคำ เขาจึงทำได้แต่นั่งอยู่กลางอากาศ ถึงแม้ตัวเขาอยากจะร้องไห้ แต่ก็ร้องไม่ออก เพราะพฤติกรรมของเฉินซีนั้นมันน่าหงุดหงิดจริง ๆ ว้อยยยย!!