หลังออกมาจากตระกูลเฉิง หมอหลวงหลี่ที่จิตใจว้าวุ่นก็ปฏิเสธคำเชิญของฮูหยินเฉิน
“อย่างไรเสีย นางหายดีหรือไม่ พวกเจ้าก็ดูออกกันเองได้ ไม่ต้องให้ข้าไปจ้ำจี้จ้ำไชนายใหญ่บ้านเจ้าอีกแล้ว” เขาเอ่ย
ฮูหยินเฉินขานรับอย่างกระอักกระอ่วน ได้แต่ให้เขาไป
ฟื้นขึ้นมาได้อย่างไรกันแน่
ฟื้นขึ้นมาได้อย่างไรกันแน่
เมื่อก่อนถ้ารักษาคนไม่ได้ แม่นางผู้นี้รักษาได้ ตอนนี้เขารักษาแม่นางผู้นี้ไม่ได้ แม่นางผู้นี้กลับหายเองได้เสียอย่างนั้น!
นี่มันบ้าไปแล้ว! มีเรื่องแปลกประหลาดพิสดารเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
เขาจับชีพจรของแม่นางคนนั้นแล้วพบว่าชะตาจะขาดจริงๆ ไฉนนางถึงกลับมาเป็นปกติได้ในชั่วข้ามคืนเล่า
เป็นไปได้ไหมว่าที่มาของแม่นางคนนี้เป็นดั่งที่ลือกัน…
พบกับเซียน…
“เกิดอะไรขึ้นกันนะ” เขาพึมพำ “เหตุใดโรคหัวใจถึงหายแล้วเล่า”
มีคนหัวเราะ
หมอหลวงหลี่ได้สติ เห็นชายหนุ่มนั่งคุกเข่าอยู่ข้างหน้าเขา
“หืม ข้ามาที่วังของฝ่าบาทได้อย่างไร” เขาเอ่ย
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ากำลังอ่านหนังสืออยู่ ท่านก็พรวดพราดเข้ามา พอเข้ามาแล้วก็เข้าฌาณอยู่คนเดียว”
หมอหลวงหลี่อ๋อมาทีหนึ่ง พอคิดออก ก็ถอนหายใจอีกครั้ง
“รักษาหายได้อย่างไรกันนะ” เขาพูดอีกครั้ง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองเขาพลางหัวเราะคิกคัก
“ทั้งหมดนี้ถือเป็นผลงานของท่านนะหมอหลวงหลี่” เขาเอ่ย “ตามคาด ขอเพียงท่านรักษาไปแล้ว ต่อให้เป็นโรคที่รักษาไม่หาย ก็ต้องหายได้อย่างแน่นอน”
เขาพูดไปตบขาไป พลางหัวเราะ
หมอหลวงหลี่ถลึงตามอง
“บอกมาข้ามาเร็วว่าแม่นางคนนี้มีหัวนอนปลายเท้าอย่างไรกันแน่!” เขาตะโกน
หรือว่าจะเป็นทายาทของนักพรตหลี่จริงๆ
หรือว่าตอนที่กำลังจะตาย นักพรตหลี่มาต่อชีวิตนางด้วยตัวเอง
ดูสิ เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย มีความคิดไร้สาระเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เขาถูกแม่นางเฉิงคนนี้ทรมานจนบ้าไปแล้วหรือ!
“ใต้เท้าหลี่ ใต้เท้าหลี่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะและเอื้อมมือไปตบแขนเขา “อันที่จริงคนที่รักษานางหายไม่ใช่ตัวนางเอง”
หมอหลวงหลี่มองเขา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอื้อมมือออกมาชี้ตัวเอง
“ข้าเอง” เขาเอ่ย
หมอหลวงหลี่มองเขา
“ข้าเรียกนางให้ตื่นขึ้นมาเอง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบางๆ พลางเอ่ย นัยน์ตาแฝงความภูมิใจเล็กน้อย
หมอหลวงหลี่ตกใจ
“ท่านหรือ” เขาถาม “ท่านทำได้อย่างไร”
“ง่ายนิดเดียว” จิ้นอันจวิ้นอ่องยิ้มพลางเอ่ย “บอกนาง ว่านางจะเป็นใครก็ได้”
หมอหลวงหลี่ผงะ
“นางเป็นใคร หมายความว่าอย่างไร” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านยังจะถามว่าหมายความว่าอย่างไรอีกหรือ ท่านเป็นหมอจริงๆ ไหมเนี่ย แม้แต่ปมของคนไข้ก็ยังไม่รู้เลยหรือ ปมของนางก็คือไม่รู้ว่าตัวเองคือใครไม่ใช่หรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “ท่านรู้ไหมว่าเหตุใดนางถึงถามเช่นนี้”
หมอหลวงหลี่ส่ายหัว
“นางสติไม่สมประกอบมาตั้งแต่ยังเด็ก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย มือไพล่หลังพลางเดินไปมา “พอรักษาหายแล้ว ก็จำเรื่องราวก่อนหน้านั้นไม่ได้เลย แม้แต่ตัวเองชื่ออะไรยังไม่รู้ เด็กเกิดมาได้สามเดือนก็ตั้งชื่อ เมื่อมีชื่อก็มีจิตวิญญาณ มีชื่อก็รวบรวมวิญญาณได้ ไม่รู้ชื่อ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร ดังนั้นพอมีคนมาถาม ก็สับสนงงงวย”
หมอหลวงหลี่ได้ฟังแล้วก็เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
“นางไม่ได้ชื่อว่าเฉิงเจียวเหนียงหรอกหรือ” เขาเอ่ย “ยังมีชื่ออะไรอีก”
“เจียวเหนียง เป็นชื่อที่ย่าของนางตั้งให้ ตระกูลเฉิงไม่ได้ยอมรับชื่อนี้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
“นางเป็นคนสติไม่สมประกอบ ตระกูลเฉิงแทบจะจับถ่วงน้ำอยู่แล้ว ใครจะตั้งชื่อให้นางเล่า!” หมอหลวงหลี่ขมวดคิ้วพลางเอ่ย
“ผิดแล้ว” จิ้นอันอวิ้นอ๋องเอ่ย ก่อนจะชะงักฝีเท้าแล้วส่ายนิ้วไปมาตรงหน้าเขา “ตระกูลเฉิงตั้งชื่อให้นางแล้ว”
หมอหลวงหลี่มองเขาทว่าไม่ได้เอ่ยอะไร
“ก่อนนางเกิด นายใหญ่ตระกูลเฉิงก็ตั้งหน้าตั้งตารอ ตั้งชื่อไว้ตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากที่นางเกิด แม้ว่าจะเป็นเด็กผู้หญิง แต่ก็ยินดี มาเห็นความผิดปกติจนกระทั่งอายุได้หนึ่งขวบ ดังนั้นชื่อก็ควรมีชื่อที่ตั้งตอนสามเดือน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินไปมาที่ห้องรับแขก “ในเมื่อตระกูลโจว เรียกนางว่าเจียวเหนียง คงไม่รู้จักชื่อของนาง ข้าจึงไปขอเอกสารการควบคุมตัวของพ่อนางกับกรมขุนนางโดยตรง เนื่องจากนานมาแล้วและไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับบุตรธิดา ไม่รบกวนตระกูลเฉิงก็คงไม่ได้แล้ว ดังนั้นข้าจึงฝากให้คนไปหาลำดับวงศ์ตระกูลของตระกูลเฉิง ดังคาด…”
“ดังคาดอย่างไร” หมอหลวงหลี่ถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบาง
“ข้าก็รู้ชื่อของนางแล้วน่ะสิ” เขาเอ่ย
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร” หมอหลวงหลี่ถาม
“ข้าไปบอกนาง นางก็ฟื้น” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
หมอหลวงหลี่ถลึงตามองเขา
“ท่านล้อเล่นอะไรอยู่! มันง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร” เขาตะคอก
“ก็ง่ายดายเช่นนี้นี่แหละ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถลึงตากลับเช่นกัน
“เป็นไปได้อย่างไร!” หมอหลวงหลี่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
โรคพิสดารเช่นนี้ เพียงแค่เรียกชื่อก็รักษาหายแล้วหรือ บ้าบอกันใหญ่แล้ว!
จิ้นันจวิ้นอ๋องฉีกยิ้ม เผยฟันขาว ก่อนจะปล่อยมือที่ไพล่หลัง
“แต่ว่า ทันทีที่ข้าเรียก นางก็ฟื้นขึ้นแล้วนี่นา” เขาเอ่ย “ช่วยไม่ได้ เรื่องมันก็พิสดารเช่นนี้นี่แหละ”
อย่าว่าแต่หมอหลวงหลี่ที่คิดว่าพิสดารเลย ตอนที่หญิงสาวลืมตาขึ้นมา แม้แต่ตัวเขาเองก็ตกใจเช่นกัน
“ข้าคือเฉิงฝั่งหรือ” นอกจากนางจะลืมตาขึ้นแล้ว ยังขยับปาก และเอ่ยออกมาอีกด้วย
แม้เสียงจะอ่อนแอ แต่ยังฟังออกอย่างชัดเจน
“ใช่แล้ว เจ้าชื่อเฉิงฝั่ง”
ภายใต้แสงไฟจากตะเกียง ดวงตาของหญิงสาวนั้นก็สว่างไสวราวกับดวงดาราบนท้องนภา อาการเจ็บป่วยที่ใกล้ตายนั้นอยู่ที่ไหนแล้ว!
เป็นเพราะคนเหล่านี้ทำให้อาการเจ็บป่วยเกินจริง หรือว่าพวกเขาปลุกนางขึ้นมาจริงๆ
ตื่นเพราะเรียกชื่อนาง หรือว่าได้ยินที่ตนเรียกนาง นางจึงตื่น
ความคิดนี้แวบเข้ามา และเขาก็อดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นออกมา
หลงตัวเองจริงๆ!
เสียงของตนเพราะขนาดนั้นเชียวหรือ
แต่ว่า ก็คงไม่แย่กระมัง…
ขันทีหันหน้ามามองจากข้างนอก มองเห็นชายชราผมขาวกุมศีรษะตัวเอง สีหน้างงงวย กับชายหนุ่มที่กำลังยิ้มกว้าง
ไม่เห็นรอยยิ้มแบบนี้ของฝ่าบาทมานานแล้ว
ขันทีเองก็ยิ้มตาม
เรือนที่วุ่นวายมาทั้งวัน ค่อยๆ เงียบเสียงลงตามตะวันที่คล้อยลง
ปั้นฉินถอนหายใจ
“เพิ่งหนึ่งวันเองหรือ” นางเอ่ย “เหนื่อยเหลือเกิน”
นางเอ่ยเช่นนี้ พลางนั่งลงไปกับพื้นตรงระเบียงทางเดิน
“ผ่านไปหนึ่งวันเอง ฮูหยินเฉินกับฮูหยินฉินไม่ได้ดื่มแม้แต่ชา เจ้าอะไรเล่า” สาวใช้ยิ้มพลางเอ่ย พร้อมกับเอื้อมมือออกไปผลักนาง “รีบลุกขึ้น ต้มชาให้นายหญิงดื่ม”
“ไม่ต้มแล้ว เหนื่อยจะตายชัก ข้าต้องพักสักหน่อย นายหญิง…อย่าดื่มเลยนะเจ้าคะ” ปั้นฉินเอ่ย พลางอิงไปกับเสา
สาวใช้ปิดปากยิ้ม
“เจ้ากำเริบเสิบสานใหญ่แล้ว แม้แต่นายหญิงก็ไม่สนใจแล้วหรือ” นางเอ่ย
“ไม่สนแล้ว ไม่สนแล้ว ข้าไม่อยากสนใจอีกแล้ว…” ปั้นฉินเอ่ย พูดไปพูดไปก็ร้องไห้ออกมา
นัยน์ตาของสาวใช้แดงก่ำขึ้นโดยพลัน ก่อนจะเอื้อมมือไปผลักนาง อยากพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
“ตอนนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ” นางเอ่ยพลางสะอื้น เหยียดยิ้มออก ก่อนจะลงไปนั่งบนพื้นข้างกัน
ปั้นฉินหันหน้ามามองนางพลางร่ำไห้
“เจ้านั่งลงทำไม ในห้องไม่มีใครไม่ได้นะ ไปดูว่านายหญิงต้องการอะไร…” นางเอ่ยพลางสะอื้น
“ต้องการสิ่งใด นางก็ไปเอาเองสิ” สาวใช้เอ่ย ยิ้มพลางอิงเสา มองท้องฟ้ายามราตรี ก่อนจะถอนหายใจ “เหนื่อยจะตายชัก ยามฟ้าถล่มแล้วมีคนค้ำเอาไว้ ข้าก็ได้พักสักหน่อยแล้ว”
ปั้นฉินหัวเราะ ยิ้มทั้งน้ำตาอย่างนั้น ก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดดำ ปั้นฉินดับไฟทีละดวง ก่อนจะมาที่ห้องนอน มองไปยังเตียงอย่างระแวดระวัง
เฉิงเจียวเหนียงนอนตะแคงมองนาง
“นายหญิงยังไม่หลับหรือ” ปั้นฉินเอ่ย ก่อนจะคุกเข่าลง “อยากดื่มน้ำไหม”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหัว ลุกขึ้นนั่ง อยากจะเอ่ยอะไรออกมา ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ย
ภายในห้องเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง
สถานการณ์เช่นนี้กลับทำให้ปั้นฉินรู้สึกคุ้นเคยชอบกล
ในซากปรักหักพังของวัดเต๋าหลังโดนฟ้าผ่า พอฟื้นขึ้นนายหญิงก็มองตนเช่นนี้
“นายหญิง ท่านจำได้แล้วหรือ” นางเอ่ยถามอย่างลังเล
“จำได้ส่วนหนึ่ง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“จำเหล่าฮูหยินกับแม่นมได้แล้วหรือยัง จำตอนเด็กๆ ที่ข้าป้อนลูกกวาดท่านได้ไหม” ปั้นฉินถามด้วยสายตาที่เป็นประกาย
เฉิงเจียวเหนียงมองนาง ก่อนจะส่ายหัว
“จำได้ว่าข้าคือคนสกุลเฉิงแห่งเจียงโจว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ปั้นฉินผงะ ก่อนจะพยักหน้า
เรื่องนี้ยังต้องคิดอีกหรือ
“สกุลเฉิงแห่งเจียงโจวออกจากสู่โจว ด่านเจี้ยนเหมินพังทลาย สะพานข้ามแม่น้ำขาด แม้ว่าการทำนายดวงชะตาเป็นอาชีพชั้นต่ำ แต่ก็มีประโยชน์กับทุกคน เมื่อผู้คนถามถึงความชั่วร้ายและความอยุติธรรม เขาทำนายตามกระดองเต่า…” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ
ปั้นฉินเบิกตาโพลง
อะไร อะไร …
เห็นปั้นฉินตาโต เฉิงเจียวเหนียงก็ยิ้ม
“ไปนอนเถิด” นางเอ่ย
ปั้นฉินขานรับ รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย คำถามที่นางถามไม่ดี…
เรื่องราวในอดีตของเด็กสติไม่สมประกอบจะมีเรื่องดีๆ อะไรกัน
“นายหญิงลืมเรื่องในอดีตไปก็ดีแล้ว” นางเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
เมื่อสิ้นเสียง สีหน้าของเฉิงเจียวเหนียงภายใต้เสียงเทียนพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ลืมไปก็ดี…
ลืมไปแล้ว ก็ดีมากเลย
สิ่งที่นางจำได้ส่วนหนึ่ง ก็คือตนเองชื่ออะไร จำบ้านของนางได้
สกุลของนาง ทว่าสิ่งเหล่านี้นั้นไม่พอ
เพราะมีเพียงชื่อ ชื่อเท่านั้น รู้แค่ว่าตนเองเป็นใคร เป็นคำอธิบายถ้วนๆ ที่มีในหัว ไร้ซึ่งความปิติยินดี เศร้าโศรก โกรธเคืองหรือความกังวล ไม่มีความเจ็บปวดที่เคยได้รับ…
“ปั้นฉิน หยิบกระจกมาที” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ปั้นฉินพยักหน้า หยิบกระจกมาจากข้างเตียง
ภายใต้แสงเทียน กระจกเผยรูปร่างของหญิงสาวอย่างขมุกขมัวไม่ชัดเจน เป็นหญิงสาวแปลกหน้า…
เฉิงเจียวเหนียงเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้า
เป็นสกุลเฉิงแห่งเจียงโจวเช่นเดียวกัน เป็นเฉิงฝั่งคนเดียวกัน ไฉนถึงไม่เหมือนเดิมแล้ว
ตระกูลเฉิงนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับตระกูลเฉิงของตนเอง
เหตุใดนางถึงอยู่ที่นี่
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เหตุใดถึงจำอะไรไม่ได้แล้ว เป็นเพราะผู้ชายนั้นหรือไม่
ชายหนุ่มที่เอาหัวใจของนางไปคนนั้น
ลืมตาขึ้นมาได้แล้ว ทว่าหัวใจกลับไม่อยู่ ดังนั้นก็ถือว่ายังไม่ครบ
แต่ผู้ชายคนนั้น นางนึกชื่อของเขา ท่าทางของเขาไม่ออก!
เขาเป็นใคร
เหตุใดถึงจำว่าเขาคือใครไม่ได้เสียที
“นายหญิง นายหญิง” ปั้นฉินจับมือนาง ก่อนจะเรียกเสียงสั่น
มีคนบอกว่าอย่าส่งกระจกตอนกลางคืน จะถูกขโมยวิญญาณ วิญญาณของนายหญิงเพิ่งเข้าร่าง…
เฉิงเจียวเหนียงหลับตาลงเล็กน้อย ก่อนจะมองนางพลางยิ้มบาง
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว” นางเอ่ย ก่อนจะตบมือปั้นฉินเบาๆ “เจ้าไปพักผ่อนเถิด”
ปั้นฉินมองนางอย่างเป็นห่วง แต่ก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“นายหญิง เป็นเพราะท่านชายคนนั้นเรียกชื่อท่าน จึงทำให้ฟื้นขึ้นมาจริงๆ หรือ” นางถามอย่างลังเล
คิดถึงความมหัศจรรย์เมื่อคืน ปั้นฉินใจลอยราวกับฝัน
ได้เห็นนายหญิงฟื้นขึ้นมา พวกนางดีใจจนแทบบ้า ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ พอได้สติ ชายหนุ่มคนนั้นก็หายไปตั้งนานแล้ว
มาอย่างกะทันหันและไปอย่างกะทันหันในยามค่ำคืน เพียงพูดประโยคเดียวก็ทำให้นายหญิงของพวกนางฟื้นขึ้นมาได้
หรือว่าจะเป็นเซียน
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“แต่ว่า ทำไมเล่า” ปั้นฉินถาม
“เพราะ ชื่อกำหนดชีวิต ยามฟ้ามืด ผู้คนไม่ได้เจอหน้ากัน ก็ใช้ปากเรียกชื่อผู้นั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางยิ้มบาง
ชื่อก็คือชีวิต เรียกชื่อ ก็รู้ชะตาชีวิตแล้ว นี่คือโชคชะตา
ในร่างกายผู้หญิงที่ชื่อเฉิงฝั่งคนนี้ นางต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับเฉิงฝั่ง
นี่คือชะตาฟ้าลิขิต หรือว่ามนุษย์กำหนด
นางก้มศีรษะลง และหยิบเอกสารมาจากบนโต๊ะ
เจ้าคือใคร
“เจ้าเป็นใคร” เฉิงเจียวเหนียงพึมพำ