Ep.330 ลำนำฤดูใบ้ไม้ร่วง

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

Ep.330 ลำนำฤดูใบ้ไม้ร่วง

หลินมู่อวี่ดึงธนูที่ปักแขนฉินเหลยออกก่อนจะสวมกอดและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่เป็นไรแล้วท่านพี่ฉินเหลย…ข้าจะรับช่วงต่อจากท่าน ข้าจะปกป้องนาง…ไม่ให้ผู้ใดทำร้ายนางได้อีก”

ฉินเหลยไม่ตอบสิ่งใด ร่างกายเริ่มเย็นลง…ในที่สุดลมหายใจสุดท้ายของเขาก็หมดไป

เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารอวี้หลินคนอื่นๆ ลงจากม้าคุกเข่ากับพื้นเพื่อเป็นการเคารพ น้ำตาหลั่งรินอย่างมิอาจห้ามได้

ฉินเหลยผู้นำองครักษ์อวี้หลินแห่งจักรวรรดิฉินสิ้นชีพแล้ว!

“ขึ้นมาและไปตามหาองค์หญิงอิน!”

หลินมู่อวี่ปาดน้ำตาและขึ้นควบม้า แต่ก่อนเขาเคยคิดว่าตนเป็นเพียงผู้มาเยือนโลกแห่งนี้ บัดนี้ไม่ใช่อีกแล้ว…

บริเวณข้างถนนมีกลุ่มคนกำลังอพยพจากเมืองหลันเยี่ยน ทว่าที่รออยู่คงมีแต่ทหารไล่ล่าเท่านั้น

หลินมู่อวี่ที่ถือกระบี่วิญญาณมังกรอยู่ควบม้านำพวกเว่ยโฉวไปโดยไม่คิดสังหารผู้ใดกระทั่งมาหยุดอยู่ด้านหน้ากลุ่มอพยพ ชาวบ้านเสื้อผ้าขาดวิ่นเมื่อเห็นทหารสวมชุดทหารจักรวรรดิอี้เหอก็พากันหยุดวิ่ง นั่งร้องไห้อยู่ในป่าอย่างหวาดกลัว

หลินมู่อวี่สูดหายใจลึกก่อนจะกล่าว “ไม่ต้องร้อง เราไม่ใช่ทหารของอี้เหอ ข้าเพียงอยากจะถามว่ามีใครเห็นองค์หญิงฉินอินบ้างหรือไม่?”

“ท่าน…ไม่ใช่ทหารของจักรวรรดิอี้เหอหรือเจ้าคะ?” หญิงสาวอายุยี่สิบปีเอ่ยถามทั้งน้ำตา

“ใช่ ข้าเป็นคนของจักรวรรดิ แค่ปลอมตัวด้วยชุดของอี้เหอเท่านั้น”

“เช่นนั้นพวกท่าน…” หญิงสาวระเบิดเสียงร้องไห้อย่างหนักก่อนจะพุ่งเข้ามาทุบหลินมู่อวี่ “พวกท่านเป็นเพียงเศษสวะ! คนของจักรวรรดิที่ไหนกัน…ถึงปล่อยให้ไอ้พวกสารเลวจากอี้เหอไล่สังหารคนบริสุทธิ์อย่างพวกข้าถึงเพียงนี้ พวกท่านไม่ใช่คนของจักรวรรดิ…เป็นเพียงเศษขยะ ขยะที่ไร้ค่า!”

หลินมู่อวี่ปล่อยให้หญิงสาวทุบตีโดยไม่ตอบโต้ หลังจากเมืองหลันเยี่ยนแตกพ่าย บางที…นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ เป็นสิ่งที่ทหารจักรวรรดิทุกคนสมควรต้องแบกรับอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

เว่ยโฉวที่อยู่ด้านข้างมองอย่างเหลืออด “พอได้แล้ว! เจ้าคิดว่าเราไม่สู้อย่างนั้นรึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีทหารตายไปกี่คน? รู้หรือไม่ว่ากองทัพค่ายเขาเหินกว่าหมื่นเจ็ดคนถูกกวาดล้าง? เพื่อที่จะช่วยพวกเจ้า…ทหารมังกรผงาดกว่าสองหมื่นเหลืออยู่เพียงแค่หยิบมือเดียว รวมไปถึงท่านฉินเหลยผู้บัญชาการทัพไพรสัณฑ์และท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนผู้บัญชาการค่ายเขาเหินที่ยอมพลีชีพอีก! แล้วชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าตอนนี้ รู้หรือไม่ว่าเขาได้สังหารพวกอี้เหอไปกี่ร้อยศพ? เมืองหลันเยี่ยนก็บ้านของพวกข้าเช่นเดียวกัน ในขณะที่พวกเจ้าเป็นพลเมือง…ประชาชนทั่วไปที่ไม่ต้องเข้าร่วมสงครามอันโหดร้ายนี้ กลับกันกับพวกข้าที่เป็นทหาร ต้องทำหน้าที่ปกป้องจักรวรรดิอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นได้โปรด…อย่าได้ดูหมิ่นศักดิ์ศรีของทหารเช่นนี้อีก!”

หญิงสาวยืนอึ้งก่อนจะร้องไห้อีกครา “แล้วเรา…เราจะกลับบ้านของเราได้อีกหรือไม่เจ้าคะ?”

“ได้สิ”

หลินมู่อวี่กล่าว “อีกไม่นานเมืองหลันเยี่ยนจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม ในตอนนี้พวกเจ้าจงหนีไปให้ไกลเท่าที่จะทำได้ กระทั่งได้ยินข่าวว่าเมืองฟื้นฟูแล้วค่อยกลับมา”

“ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ”

“รีบไป”

ขณะที่กลุ่มอพยพกำลังจากจากไป ชายชราถือไม้เท้าคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “นายท่าน องค์หญิงฉินอินที่ท่านกำลังตามหา…ข้าไม่รู้จักนางหรอกขอรับ ทว่าก่อนหน้านี้มีทหารกลุ่มหนึ่งผ่านพวกเราไป หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวดูอาจหาญต่างจากคนอื่น นางมีกู่ฉินติดตัวไปด้วย…”

“กู่ฉินหรือ?”

หลินมู่อวี่ชะงัก “นางไปทางไหน?”

“เข้าไปในป่าทางตะวันออกเมื่อไม่นานมานี้”

“ขอบคุณมาตาเฒ่า”

หลินมู่อวี่หันไปออกคำสั่งกับพวกเว่ยโฉว “เคลื่อนทัพเต็มกำลัง! เราต้องหาเสี่ยวอินให้เจอ!”

“ขอรับ!”

กลุ่มอพยพกว่าสองร้อยคนวิ่งตัดป่าไปอย่างทุลักทุเล อาณาเขตของเมืองหลันเยี่ยนนั้นกว้างเกินกว่าจะข้ามพ้นได้ในทันที ฉินอินเริ่มเหนื่อยหอบ…ทว่ายังถูกทหารจักรวรรดิอี้เหอจำนวนนับไม่ถ้วนไล่ตามอยู่

หญิงชราคนหนึ่งหันมาเห็นหลินมู่อวี่กับพรรคพวก “แย่แน่…ท่าไม่ดีแล้ว พวกปีศาจอี้เหอมันตามเรามาแล้ว!”

ทว่าทุกคนไปต่อกันไม่ไหวแล้ว ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นจึงหยิบพลั่วขึ้นมา “สู้พวกเลย!”

“เออ! สู้กับพวกมัน!”

ขณะที่หลินมู่อวี่กำลังควบม้าเข้าใกล้ ชายถือพลั่วที่ดักอยู่ก็ฟาดพลั่วเข้าใจเจี๋ยดี่ทันที ทว่าเจี๋ยดี่เป็นม้าชั้นยอดจากป่านิรันดร์ มันกระโดดหลบการโจมตีได้ หลินมู่อวี่รีบหันมาปราม “หยุดก่อน! พวกเราไม่ใช่ทหารอาสา!”

ด้านหลังหลินมู่อวี่มีเสียงชักดาบออกจากฝัก เมื่อหันไปก็พบว่าปลายดาบนั้นมีวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะสีทองเรืองแสงพันอยู่ หลินมู่อวี่จึงรีบเปิดผ้าคลุมออกก่อนจะตะโกนบอก “เสี่ยวอิน นี่ข้าเอง!”

“เอ๊ะ…”

ฉินอินตกตะลึงปล่อยกระบี่จื่อยินกับกู่ฉินลงกับพื้นก่อนจะโผเข้าใส่หลินมู่อวี่และร้องไห้อย่างหนักโดยไม่พูดคำใดสักคำ

หลินมู่อวี่โอบกอดพลางลูบหลังฉินอิน กระทั่งสิบนาทีผ่านไปนางจึงปล่อยแขน “เมืองหลันเยี่ยนพังทลาย…จักรวรรดิล่มสลายแล้ว…”

“ไม่ จักรวรรดิและเมืองของเราจะถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่ตอนนี้เราจะเสียขวัญไม่ได้” หลินมู่อวี่มองหน้าฉินอิน “เสี่ยวอิน เจ้าต้องเข้มแข็งเข้าไว้ เราทุกคนต่างรอให้เจ้ากลับไปสร้างจักรวรรดิใหม่อีกครั้ง”

ฉินอินพูดพลางร้องไห้ไม่หยุด “แล้วเมืองหลันเยี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง?”

“กำแพงเมืองทั้งสี่ทิศถูกถล่มแล้ว”

หลินมู่อวี่ร่างสั่นเทิ้ม “ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและท่านฉินเหลยพลีชีพ…”

“ว่าอย่างไรนะ…”

ฉินอินตัวสั่นน้ำตาไหลหันไปมองทิศที่เมืองหลันเยี่ยนตั้งอยู่ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่อาอวี่? ได้ข่าวท่านเฟิงจี้สิงได้หรือไม่?”

“ไม่เลย”

หลินมู่อวี่ส่ายหัว “เสี่ยวอินได้ข่าวผู้เฒ่าชวี ผู้นำเหล่ยหง หรือฉู่เหยาบ้างหรือไม่? “

ฉินอินตอบ “ก่อนหน้านี้ท่านผู้เฒ่าชวีอยู่กับพวกเรา แต่ท่านแยกตัวออกไปเพื่อล่อพวกทหารอาสา ส่วนท่านผู้นำเหล่ยหงช่วยรวบรวมหน่วยพยาบาลแล้วพาอพยพไปอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ท่านพี่ฉู่เหยาก็ไปกับเขาด้วย แต่…ข้าได้ยินมาว่าลั่วหลานชายผู้ขอบเขตเทวะได้ไปทางวิหาร ข้าเกรงว่า…”

“ท่านพี่ฉู่เหยาต้องปลอดภัยแน่…” ถึงหลินมู่อวี่ตอบเช่นนั้นทว่ากลับเป็นกังวลเสียเอง

ทันใดนั้นเว่ยโฉวก็เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ทัพขอรับ มีคนจากจักรวรรดิอี้เหอกำลังมาทางนี้ เป็นกองทหารม้าราวหนึ่งพันนาย เราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ? หากเราหนี ข้าเกรงว่าองค์หญิงอินกับคนอื่นๆ จะ…”

“เราจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น!”

หลินมู่อวี่ตอบอย่างแน่วแน่ “ต่อให้ตายก็ต้องปกป้องทุกคนให้ได้ ถึงกระนั้นก็อย่าได้ประมาท เราจะสู้กับกองทัพพันคนซึ่งหน้าไม่ได้”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่ขึ้นควบม้าและหันไปทางกองทัพอี้เหอ ผู้บัญชาการกองหมื่นคนหนึ่งเมื่อเห็นยศจากชุดของหลินมู่อวี่ก็รีบคำนับทันที “เป็นท่านแม่ทัพเองหรือขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าติงซี่ เป็นผู้นำของทหารเมืองสายัณห์ ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านจึงมาอยู่กับพวกจักรวรรดิต่ำตมนี้ได้เล่า?”

“อ้อ…แม่ทัพติงซี่นี่เอง”

หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ “ตลอดหลายวันมานี้ข้ารบอย่างหนักหน่วงร่างกายจึงเหนื่อยล้า ข้ากำลังไล่ล่าพวกมันอยู่กระทั่งได้เจอกับแม่หญิงที่เล่นกู่ฉินคนนี้ หากไม่รังเกียจ…ก็มาฟังกับข้าสักเพลงสองเพลงสิ”

ติงซี่กวาดสายตามองกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านแม่ทัพช่างตาถึงเสียจริง ตามคำสั่งท่านนายพลที่ให้ล้างบางทั้งเมือง หากท่านพึงใจแม่หญิงผู้นี้ ท่านพานางไปได้เลย ส่วนที่เหลือข้าจะจัดการให้เอง!”

“ไม่ต้อง”

หลินมู่อวี่ยกมือห้าม “อย่าให้เลือดต้องเปื้อนมือท่านเลย เชิญท่านแม่ทัพล่วงหน้าไปก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะจัดการพวกมันเองอย่าได้ห่วง!”

“เช่นนั้นก็ย่อมได้ ทว่าข้าขออยู่ฟังเพลงกับท่านเสียก่อนค่อยออกเดินทางต่อ”

“ไม่มีปัญหา”

หลินมู่อวี่นั่งขัดสมาธิกับพวกเว่ยโฉว มองฉินอินค่อยๆ ถอดผ้าคลุมหน้าออกและนั่งลงบนหญ้าอย่างเรียบร้อยก่อนจะเริ่มบรรเลงกู่ฉิน ปลายนิ้วเรียวดีดเครื่องสายอย่างช้าๆ พลางขยับริมฝีปากร้องเพลงสรรเสริญแห่งจักรวรรดิฉิน ‘ลำนำฤดูใบไม้ร่วง’ทุกถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยออกมาราวกับมีสายฝนโปรยปรายอยู่ในใจของพลเมืองแห่งจักรวรรดิที่ได้ฟัง

‘ผืนดินกว้างเปี่ยมแอ่งน้ำเทือกเขาใหญ่

แสงจันทร์ไล้อาบทั่วสนามศึก

ทุ่งนาข้าวลู่ลมหนาวใต้ควันคึก

ฝืนใจนึกนักรบกล้าสู่สงคราม

ฆ่าปลิดชีพศัตรูชาติสวะ

ไม่ลดละเกิดบาดแผลไร้ใครถาม

จากบ้านมาแสนไกลไม่รู้ยาม

จนวู่วามเพลี่ยงพล้ำแทบสิ้นลม

เพื่อปกปักยอมพลีชีพรักษ์ถิ่นฐาน

หวังวิญญาณกลับสู่บ้านอย่างสุขสม

ฝังเกราะพังร่างไร้ชีพจิตทุกข์ตรม

โปรดเถิดลมฤดูสารทพาข้าไป’

จวบจนบทเพลงจบ เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและคนอื่นๆ ต่างน้ำตานองหน้า แม้แต่หลินมู่อวี่เองยังต้องพยายามกลั้นไว้ หวนนึกถึงการตายของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหลย และทหารอีกหลายนาย บางทีเพลงของฉันอินคงช่วยปลอบประโลมวิญญาณของพวกเขาได้ รวมไปถึงทหารทุกนายที่ออกจากจักรวรรดิมาเช่นเดียวกับเขา…และศัตรูเบื้องหน้า?

ติงซี่ตาแดงก่ำกระโดดขึ้นม้าก่อนจะประสานกำปั้นคำนับ “ท่านแม่ทัพ จุดจบได้ใกล้เข้ามาแล้ว…ข้าหวังว่าท่านจะดูแลสมบัติของท่านได้อย่างดี ตราบใดที่ยังมีความหวังอันริบหรี่ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้!”

หลินมู่อวี่ชะงัก หรือติงซี่จะรู้แล้วว่านางคือฉินอิน?!

หากเป็นเช่นนั้นแสดงว่าติงซี่ตั้งใจปล่อยนางไป

ไม่นานนักหลังจากติงซี่จากไป ก็มีเสียงเกือกม้าวิ่งมาจากทางตะวันออกก่อนจะปรากฏเป็นทหารกลุ่มใหญ่ประดับธงมังกรผงาด ใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า เหรียญตราจักรพรรดินั้นน่าหลงใหลอย่างยิ่ง ทหารที่มาหาพวกหลินมู่อวี่คือหลัวอวี่กับพรรคพวกนั่นเอง!

“ท่านผู้บัญชาการ!”

ทันทีที่เห็นว่าเป็นหลินมู่อวี่ หลัวอวี่กับคนอื่นๆ ก็ลงจากม้าและคุกเข่า “เรา…เราหาองค์หญิงอินไม่พบขอรับ…”

“ไม่เป็นไร ข้าเจอนางแล้ว”

หลินมู่อวี่ผายมือไปด้านหลัง “ทักทายนางเสียสิ”

ทันใดนั้นทหารมังกรผงาดทั้งพันคนก็เข้าถวายบังคมแก่ฉินอิน “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงอิน!”

ฉินอินทำมือเป็นเชิง “ลุกขึ้นเถิด!”

หลินมู่อวี่กล่าว “ตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วน เราจะชักช้าไม่ได้ เว่ยโฉว หลัวอวี่ พวกเจ้าจงรวมกำลังพลและพาองค์หญิงอินออกไปจากเมืองหลันเยี่ยน”

“ไปที่ใดเล่าขอรับ?” หลัวอวี่ถาม

“ภูเขาหลงหยาน…”

หลินมู่อวี่นิ่งคิดก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อติดต่อกับมณฑลอวิ้นจงได้ ให้พาองค์หญิงไปส่งที่นั่น ถึงอย่างไรท่านหยุนกงก็เป็นตาของนาง เขาต้องปกป้องนางได้แน่”

“ขอรับ”

เมื่อเห็นหลินมู่อวี่ขึ้นควบม้า หลัวอวี่ก็สงสัย “ท่านผู้บัญชาการจะไปไหนหรือขอรับ?”

“ข้า…ข้าจะไปตามหาฉู่เหยา”

หลินมู่อวี่แสดงสีหน้าเศร้าหมอง “หลังจากท่านพี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตาย ข้าก็เหลือพี่ฉู่เหยาเป็นญาติเพียงคนเดียว ข้าจึงต้องตามหานาง…มิเช่นนั้นข้าคงรู้สึกผิดต่อท่านพี่ฉู่ที่อยู่บนสวรรค์”

“ข้าจะไปกับท่านด้วย”

“อย่ามัวเสียเวลาเลย เจ้าไปองค์หญิงเถิด ข้าจะไปของข้าเอง หากเจ้าตามข้าไปจะเป็นภาระเสียเปล่า”

“ขอรับท่าน…”

“อาอวี่” ฉินอินเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน

“ว่าอย่างไรเสี่ยวอิน?” หลินมู่อวี่ยิ้มถาม

แม้ฉินอินจะมีคำถามในใจมากมาย ทว่านางทำเพียงยิ้มอย่างอ่อนโยนให้หลินมู่อวี่ “แม้หนทางจะยาวไกลสักเพียงไหน ข้าจะต้องได้เจอเจ้าอีก”

“อืม เราจะต้องได้เจอกันอีกครั้ง!”

หลินมู่อวี่พยักหน้าและควบม้าจากไป

…………………………………..