บทที่ 150 ขอตรวจลางร้าย โดย Ink Stone_Romance
หมายความว่าอย่างไร?
เป็นฝ่ายถามคนว่าตนเองมีลางร้ายหรือไม่?
นี่ล้อเล่นหรือว่าจริงจัง?
เพื่อตอบโต้ที่หมอเร่คนนี้เป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดว่าผู้อื่นมีลางร้ายเมื่อครู่ ดังนั้นนางจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามเองรึ?
นี่คือการดูหมิ่น?
คนในตรอกมองผู้หญิงคนนี้
ผู้หญิงคนนี้หน้าไม่คุ้นไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่เพื่อนบ้านของพวกเขาที่นี่ หรือว่าคนที่อื่นเห็นหมอเร่ขัดลูกตา?
คุณหนูจวินไม่ได้โกรธเคือง มองผู้หญิงคนนี้ทีหนึ่ง
“ท่านไม่มี” นางว่าเดินผ่านผู้หญิงคนนี้จะจากไป
ไม่อาจไม่พูดว่านักต้มตุ๋นกับขอทานขอข้าวล้วนหนังหน้าหนา ประโยคนี้พูดถูกจริงๆ
คนในตรอกหัวเราะครื้นเครง
ผู้หญิงคนนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้คุณหนูจวินจากไปเช่นนี้ รีบตามไปอีก
“คุณหนูจวิน ท่านดูอีกทีสิ” นางว่า สีหน้าติดจะวิงวอน “ข้ามีลางร้ายจริงๆ”
คนที่ชมดูเรื่องสนุกในตรอกรอยยิ้มบนหน้าแข็งค้างอีกครั้ง
มองดูท่าทางของผู้หญิงคนนี้ หากเป็นการเล่นละครล่ะก็เข้าบทเกินไปแล้วกระมัง
คุณหนูจวินยิ้มมองนาง
“ท่านน้าผู้นี้ ท่านไม่มีลางร้ายจริงๆ ท่านวางใจเถิด” นางว่า
ผู้หญิงสีหน้าไม่ยินดีสักนิด กลับยิ่งวิตก
“คุณหนูจวิน” นางยังคงไม่ยินดีปล่อยคุณหนูจวินจากไป ทนไม่ไหวเอื้อมมือคว้าแขนเสื้อของนาง “ข้าไม่มี ถ้าอย่างนั้นท่านไปบ้านข้าดูหน่อย ดูสิใครมีลางร้าย?”
สวรรค์!
คนที่ชมเรื่องสนุกในตรอกตาโตอ้าปากค้าง
คุณหนูจวินยิ้มอับจนปัญญาอยู่บ้าง ยังไม่ทันพูด ผู้หญิงคนนั้นก็เอ่ยปากอีกครั้ง
“คุณหนูจวิน คุณหนูจวิน ขอร้องท่านแล้ว ท่านดูสักนิดเถอะ” นางเอ่ยวิงวอน
“ข้าจะไปดูสักนิด หากไม่มี พวกท่านต้องเชิญผู้ปราดเปรื่องท่านอื่น ห้ามตื้อข้า” คุณหนูจวินว่า
คำพูดนี้ฟังดูแล้วทำไมแปลกขนาดนั้น?
เหมือนเรียกนางไปตรวจเป็นเรื่องที่ทำให้นางลำบากหนักหนา?
ได้ยินท่านหมอคนหนึ่งเอ่ยเช่นนี้ คนถามอาการที่ยึดศักดิ์ศรีทั่วไปก็คงตบปากเขาสักหนึ่งฝ่ามือ
แต่ผู้หญิงคนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวอันใดที่ไม่รู้จักศักดิ์ศรี ได้ยินดีใจมาก
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” นางเอ่ยหลายที กลัวเพียงพูดช้าไปแล้ว เด็กสาวคนนี้จะเปลี่ยนใจ
พูดพลางรีบนำทางไปด้านหน้า
มองคนกลุ่มนี้จากไปแล้ว คนในตรอกก็ยังคงสีหน้าอึ้งงง
“เชิญจริงๆรึ?”
“ใช่จ่ายเงินจ้างมาเล่นละครหรือเลป่า?”
“ไม่ใช่ ข้าได้ยินว่าหมอเร่คนนี้ตรวจโรคเลือกคนไข้จริงๆ”
“ใช่ใช่ ได้ยินว่าแม่เฒ่าคนหนึ่งให้นางตรวจ นางกลับไม่ดูให้เขา บอกว่าแม่เฒ่าคนนั้นไม่คู่ควร”
“ไม่คู่ควรหมายความว่าอย่างไร?”
“เหมือนกับว่านางจะตรวจ ต้องเลือกคนไข้เอง”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าไม่ใช่โรคอะไรนางก็ตรวจ? จะตรวจเพียงที่นางรักษาได้?”
“เหมือนว่าอย่างนั้นแต่ก็เหมือนจะไม่ใช่”
“ไม่ต้องคิดแล้ว ตามไปดูไม่ใช่ก็รู้แล้วหรือ”
หลังถกกันอยู่ครู่หนึ่งในตรอก ผู้คนก็แห่ออกมา มองสามคนที่เดินอยู่ข้างหน้าบนถนน ไล่ตามไป
เลี้ยวถนนหนึ่งมาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง
มองประตูนี่แม้ไม่นับว่าเป็นตระกูลใหญ่ แต่ก็เป็นบ้านมีฐานะ
ผู้หญิงเคาะเปิดประตู ยามเฝ้าประตูมองคุณหนูจวินนายบ่าวสีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย
“ซานเหนียง แบบนี้ไม่ดีมั้ง” เขาว่า
ผู้หญิงถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง
“เจ้าพวกผู้ชายรู้อะไร” นางเอ็ดเสียงเบา “ไม่ต้องพูดส่งเดช”
พูดพลางยิ้มขอโทษขอโพยให้คุณหนูจวิน
ประหนึ่งกลัวว่าคำพูดของคนเฝ้าประตูคนนี้จะทำให้คุณหนูจวินขุ่นเคือง
คุณหนูจวินยิ้มไม่ได้ถือสา
“คุณหนูจวินเชิญเจ้าค่ะ” ผู้หญิงเอ่ยขึ้น
คนเฝ้าประตได้แต่หลีกทาง มองคุณหนูจวินตามผู้หญิงคนนี้เดินเข้าไป
“พวกผู้หญิงนี่น้า พูดถึงแต่เรื่องบ้าบอพวกนี้” คนเฝ้าประตูส่ายศีรษะทำหน้าหมดปัญญาปิดประตู
ตัวเรือนสร้างได้ประณีตเป็นระเบียบ เรียบง่ายโอ่โถง เห็นได้ชัดว่าภูมิหลังไม่เบา
“คุณหนูจวิน นายหญิงของข้าเป็นเพื่อนสาวคนสนิทกับโต้วเหนียง ก่อนไปนางแนะนำคุณหนูจวินอย่างที่สุด บอกว่าพบเรื่องลำบากเช่นนี้ต้องตามหาท่าน” ผู้หญิงที่นำทางทันใดนั้นก็เอ่ยเสียงเบาประโยคหนึ่ง
โต้วเหนียง ก็คือผู้หญิงที่ขอให้รักษาคืนวันนั้นสินะ หลิ่วเอ๋อร์คิดขึ้นมาได้ ที่แท้นางก็บอกต่อเรื่องคุณหนูเหมือนกันนี่
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า ยังคงไม่พูดจา
ไม่ถามมาก ไม่พูดมาก
ในใจผู้หญิงโล่งอกอีกครั้ง ยิ่งเชื่อว่าคุณหนูจวินผู้นี้เป็นยอดคน
คุณหนูจวินติดตามผู้หญิงทะลุผ่านกำแพงดอกไม้ มาถึงเรือนด้านหลังของครอบครัวนี้
ตรงทางเดินมีเหล่าสาวใช้ยืนอยู่ ในเรือนมีเด็กน้อยหลายคน ในห้องยิ่งมีเสียงคุยเล่นของผู้หญิงดังมา อากาศราวกับอบอวบไปด้วยกลิ่นหอมของแป้งฝุ่น
ที่นี่คือสถานที่ซึ่งบรรดาสตรีและเด็กน้อยทั้งหลายใช้ชีวิต แม้สตรีเด็กน้อยบางส่วนจำต้องเปิดหน้าเปิดตาวิ่งวุ่นหาเลี้ยงชีพ แต่สตรีและเด็กน้อยมากกว่านั้นถูกเลี้ยงไว้ในห้องหอ อยู่ในหมู่ญาติมิตรที่จำกัดของตน ไม่พบคนนอกและไม่มีคนนอกรู้จัก
“คุณหนูจวินมาแล้วเจ้าค่ะ” ผู้หญิงเอ่ยกับบรรดาสาวใช้
คนในเรือนล้วนมองมา บรรดาสาวใช้ก็เลิกผ้าม่านขึ้น
คุณหนูจวินมองบรรดาสตรีและเด็กน้อยเหล่านี้ สีหน้านิ่งสงบก้าวเข้าไปข้างหน้า
ใช่แล้ว นางไม่ต้องการเปิดกิจการเฉลิมฉลองคึกคักอย่างไร แล้วก็ไม่ต้องการคนมากมายชื่นชม
นางไม่ต้องการโปรยเงินใช้ใจเมตตาฝีมือยอดเยี่ยมคว้าเอาผู้สนับสนุน แล้วนางก็ไม่ต้องการสร้างชื่อในพริบตาร้องประกาศว่าฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี ใครมาไม่ปฏิเสธ
นางต้องการเพียงโอกาสครั้งหนึ่ง โอกาสเหมาะสมครั้งหนึ่งที่จะได้รับการยอมรับให้ก้าวเข้ามายังเรือนในของคฤหาสถ์หลังโต
นางจะค่อยๆรวบรวมชื่อเสียงจากเรือนในของคฤหาสถ์หลังโตทีละนิดๆ กุมบรรดาผู้หญิงที่ฐานะสูงศักดิ์เหล่านี้ อย่าได้ดูแคลนผู้หญิงเหล่านี้ เวลามากมายพวกนางล้วนเป็นตัวตัดสินความสำเร็จล้มเหลวของเรื่องหนึ่ง ความเป็นความตายของคนผู้หนึ่ง
พี่สาวน้องชายของนางล้วนอยู่ลึกที่สุดของเรือนในของคฤหาสน์หลังโต นางจะเดินเข้าไปทีละก้าวๆ อย่างไรต้องมีโอกาสเดินไปถึงตรงหน้าพี่สาวน้องชาย
……………………………………….
ในเรือนด้านในของจวนหลังใหญ่ตระกูลลู่ บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ชุมนุม แต่ฝีเท้าแผ่วเบา ไม่มีเสียงเอะอะสักนิด มีสาวใช้สองคนซอยเท้ามาจากข้างนอก
“องค์หญิงล่ะ?” พวกนางเอ่ยถามเสียงเบา
บรรดาสาวใช้ตรงทางเดินชี้มือไปยังทิศหนึ่ง
“อยู่ในสวนดอกไม้” พวกนางเอ่ย
ถนนเส้นนี้เดิมทีมีบ้านคนมากมาย แต่เมื่อวังไหวอ๋องกับจวนตระกูลลู่มาตั้งที่นี่ คนมากมายก็ย้ายออกไป จวนหลังนี้ของลู่อวิ๋นฉีครองพื้นที่ของสองครอบครัว สร้างขึ้นกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนดอกไม้ ยิ่งดอกไม้ต้นไม้นานาพันธุ์สี่ฤดูไม่ขาดแคลน
“ตอนแรกกลัวว่าต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้จะปลูกไม่รอด ใต้เท้าจึงขุดดินจากสวนดอกไม้ของผู้อื่นมาสามฉื่อ[1]ย้ายมาด้วยกัน”
สาวใช้สองคนในสวนดอกไม้ยิ้มแย้มคุยกัน ชี้ดอกไม้บานสะพรั่งเต็มไปหมดเบื้องหน้า ด้านหลังร่างของพวกนางคือทะเลสาบแห่งหนึ่ง เวลานี้นั่งอยู่ในศาลาหลังน้อย ศาลาน้อยนี่แทบจะสร้างขึ้นมาจากแก้วหลากสี น้ำทะเลสาบสีเขียวผืนใหญ่สะท้อนเป็นประกายแวววาว
องค์หญิงจิ่วหลีนั่งอยู่บนผืนพรม กำลังสอดเข็มดึงด้ายบนโครงปัก กระโปรงจีบรอบประหนึ่งบุปผาแผ่อยู่บนผืนพรม
นางผู้สวมเสื้อเรียบๆกระโปรงเรียบๆไม่แต่งแต้มเครื่องสำอางนั่งอยู่กลางศาลาแก้วหลากสีแลดูดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ
บางครั้งนางก็เงยหน้ามองแปลงดอกไม้เบื้องหน้า บนหน้ามีรอยยิ้มบางอยู่ตลอด
“ใช่ ไม่เลวจริงๆ” นางยังเอ่ยขึ้นอีก
เสียงของนางอ่อนโยนเช่นนั้นเสมอ ท่าทางก็นับว่านั่งได้สง่าอย่างยิ่งด้วย
นี่ก็คือองค์หญิงที่เลี้ยงขึ้นมาในพระราชวัง องค์หญิงที่เดิมทีจะได้เป็นองค์หญิงใหญ่ตัวจริง องค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานอย่างลึกซึ้งจากอดีตองค์ฮ่องเต้และองค์รัชทายาท
บรรดาสาวใช้มองนางด้วยความยำเกรงที่ไม่อาจปิดบังมิด
สาวใช้สองคนมาถึงที่แห่งนี้ คำนับอย่างนอบน้อม
“องค์หญิง ใต้เท้าวันนี้แจ้งว่าจะไม่กลับเพคะ” พวกนางเอ่ยขึ้น
องค์หญิงจิ่วหลียิ้มพนักหน้า
“ได้ ข้าทราบแล้ว” นางเอ่ย
บรรดาสาวใช้ยิ่งก้มศีรษะถอยออกไป แต่คนหนึ่งรีรอนิดหนึ่งยกชาก้าวเข้ามา
“องค์หญิง” นางคุกเข่าเอ่ยขึ้น
องค์หญิงจิ่วหลีวางเข็มด้ายลง รับชาไป พลางมองแปลงดอกไม้เบื้องหน้า
ทาสสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก้มศีรษะทนไม่ได้เงยหน้าขึ้น
“องค์หญิง ใต้เท้ารับผู้หญิงคนใหม่อีกคนแล้ว” นางเอ่ยรวดเร็ว “นายประตูเมืองฝั่งตะวันตก…”
พูดถึงตรงนี้ราวกับพูดต่อไปไม่ไหว
นางก้มศีรษะ เสียงเบาจนไม่อาจได้ยิน
“อนุภรรยาของนายประตูเมืองฝั่งตะวันตก”
องค์หญิงจิ่วหลีมองไปทางนาง
“อืม” นางเอ่ย วางถ้วยชากลับไปบนมือของสาวใช้ หยิบเข็มด้ายขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าจดจ่อตั้งใจปักผ้าต่อ
สาวใช้สีหน้ากระอักกระอ่วนรีรอครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดมากอีกยกชาถอยออกไป
เทียบกับด้านในเรือนอันเงียบสงบ บนถนนใหญ่ของเมืองหลวงกำลังเป็นช่วงที่ครึกครื้นที่สุด เหลาสุราร้านน้ำชาด้านในคนเต็มวุ่นวาย คนขายสุราถือตะกร้าร้องเรียกขายตัดผ่านกลางหมู่ลูกค้า แต่ท่ามกลางเสียงคุยเล่นหัวเราะดังกระหึ่มนี่ทันใดนั้นก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้นมา
“บอกให้พวกเจ้ายอมให้ห้องกับนายท่านเจ็ดของพวกเรา พวกเจ้าหูหนวกหรือ?”
มีคนสองสามคนยืนอยู่ที่ทางเดินชั้นสองตะโกนเสียงดัง
พนักงานร้ายหลายคนสีหน้ากังวลใจคำนับให้คนที่อยู่ในห้อง
จูจั้นที่นั่งอยู่โถงรวมชั้นล่างเงยหน้ามองไป
“ใครล่ะนี่” เขาสบถทีหนึ่ง “ถึงกับเหิมเกริมยิ่งกว่าพวกเรา”
……………………………………….
[1] ฉื่อ (尺) หน่วยความยาวของจีน สามฉื่อเท่ากับหนึ่งเมตร