ณ ดินแดนอสูรเทพ หลิวหลีเป็นคู่ฝึกให้เด็กสองอยู่หลายวันก็ตัดสินใจไปพบจ้านปู้หุ่ยกับหนานกงเวิ่นเทียน ตอนแรกผู้อาวุโสท่านนี้เคยบอกว่าหากพวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังบำเพ็ญเพียรขั้นจักรพรรดิเซียนให้ไปหาเขา และตอนนี้พ่อแม่ของเด็กสองคนก็ออกจากฌานแล้ว ได้เวลาไปหาผู้อาวุโสปู้หุ่ยแล้ว เพียงแต่เส้นลมปราณธาตุไฟอันเป็นที่อยู่ของเพลิงนพเก้ากลืนนภาซึ่งเป็นเพลิงอัคคีหลักของนาง เฮ้อ ไม่รู้ว่าเพลิงเซียนที่สูงค่าที่สุดในโลกเซียนอยู่ที่ไหน
“น้องหญิงกำลังคิดว่าเพลิงเซียนลูกสุดท้ายอยู่ที่ไหนหรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนย่อมรับรู้ได้ว่าหลิวหลีกำลังคิดอะไร ตอนนี้ ‘คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ’ ฉบับโลกเซียนของนางขาดเพลิงเซียนชนิดสุดท้ายแล้ว แน่นอนว่าน้องหญิงของเขาต้องอยากรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน
“ใช่ ไม่มีข้อมูลกับเบาะแสอะไรเลยสักนิด เฮ้อ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้วกัน พวกเราไปหาผู้อาวุโสปู้หุ่ยกันก่อนเถอะ” สิ่งของของเผ่ามารรัตติกาลจะไม่ใช่ก็น่าเสียดาย จะยกประโยชน์ให้พวกมารที่เหลือของเผ่ามารรัตติกาลคงไม่ดีแน่ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นมารจากเผ่ามารรัตติกาลที่แสนจะหลงตัวเองเสียด้วย
“ก็ดีเหมือนกัน” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นด้วย
จื่อฉีมาแจ้งข่าวให้กับหลิวหลีอย่างมีความสุข แต่กลับได้รู้ว่าหลิวหลีจากไปแล้ว จึงไม่แน่ใจว่าไปไหน
“ท่านพี่ รอพวกข้าหน่อยไม่ได้เลยหรือ” จื่อฉีรู้สึกเศร้าโศกเสียใจ
“ช่างเถอะ เจ้าพูดมาสิว่ามีเรื่องอะไร ต่อให้ไม่ได้บอกหลิวหลี พวกเราก็ควรจะรู้กระมัง” เอ๋าเลี่ยมองสีหน้าหดหู่ของจื่อฉีก็พูดออกมาอย่างอดไม่ได้
“ก็ได้ มู่มู่ตั้งครรภ์แล้ว ข้าอยากบอกท่านพี่เป็นคนแรก” จื่อฉียังคงรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
“เจ้าเด็กน้อย เร็วใช้ได้เลยนี่ แต่เจ้าก็รู้ดี แม้ว่าพี่สาวของเจ้าจะอวยพรให้เจ้า แต่ก็อย่าได้ไปกระตุ้นสามีภรรยาคู่นั้นเลย” เอ๋าเลี่ยสามารถคาดเดาสีหน้าของหลิวหลีออกเลย ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนแต่งงานกันเร็วที่สุด สรุปคือคู่ที่มีลูกก่อนใครคือคู่อสูรเทพที่อายุเยอะที่สุดอย่างพวกเขา กว่าจ๋ายจ่ายกับเจี๋ยนเจี่ยนจะเติบโตขึ้นมาได้ จื่อฉีกับมู่มู่ก็มีเรื่องน่ายินดีมาอีก มันจะไม่แทงใจสามีภรรยาคู่นั้นไปหน่อยหรือ เขากลัวว่านังหนูจะคิดมาก
“เหอะๆ” จื่อฉีหัวเราะแหยๆ ดูเหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าหากท่านพี่รู้เข้า จะต้องนัดเขามาประลองฝีมือกันแน่นอน
“มู่มู่สบายดีหรือไม่ ไม่มีอาการแปลกๆใช่ไหม” อิงเสวี่ยเป็นห่วงมู่มู่ขึ้นมา ตอนนั้นนางทรมานอย่างมาก
“มู่มู่สบายดี พอรู้ว่าตั้งครรภ์ก็ชอบกินมากขึ้น เพียงแต่มู่มู่บอกว่านางชอบปลาต้มผักกาดดองในงานแต่งมาก ข้าเลยมาแจ้งข่าวดีกับท่านพี่ ถือโอกาสเอาปลาต้มผักกาดดองกลับไปด้วย มู่มู่ตั้งครรภ์ เสด็จแม่ก็ทราบแล้วเช่นกัน ตื่นเต้นกว่ามู่มู่เสียอีก ไม่ยอมให้นางขยับตัวไปมา ประคบประหงมมู่มู่มาก นางอยากกินอะไร พอพูดจบก็มีคนยกมาให้” เมื่อนึกถึงฮูหยินที่ได้รับการประคบประหงมราวเป็นสมบัติล้ำค่าของวังนภาพฤกษา จื่อฉีก็นึกถึงคำโอดครวญของนาง ที่บอกว่าไร้ซึ่งอิสรภาพ
“มู่มู่เป็นคนโชคดี พูดถึงปลาต้มผักกาดดองแล้ว ข้านึกถึงตอนที่ข้ากับมู่มู่จัดการข้าวของของเราสองคนแล้วเจอสูตรอาหารที่หลิวหลีทิ้งไว้ให้ น่าจะมีอยู่ ข้าไปหาก่อน” อิงเสวี่ยพูด นางไม่รู้เลยว่าหลิวหลีให้สูตรอาหารเป็นของขวัญแต่งงานแก่พวกเขา
“รบกวนพี่อิงเสวี่ยแล้ว” จื่อฉีเกรงใจเล็กน้อย
“นี่เป็นเรื่องดี จื่อฉีมีอะไรไม่เข้าใจ ถึงพี่สาวของเจ้าจะไม่อยู่ เจ้าก็สามารถถามพี่อิงเสวี่ยของเจ้าได้ อย่างไรเสียนางก็เคยมีลูกมาก่อน” เอ๋าเลี่ยพูด
“เรื่องนี้น่ะ ข้าคิดว่าถามท่านพี่จะดีกว่า อย่างไรเสียท่านพี่ก็มีประสบการณ์มาก” ถึงนางจะไม่เคยมีลูก แต่ก็เป็นคนเลี้ยงเขาจนโต และก็เลี้ยงลูกชายฝาแฝดของพี่อาเลี่ยอีกด้วย สำคัญก็คือจ๋ายจ่ายกับเจี๋ยนเจี่ยนคลอดออกมาได้อย่างไรนั้นไม่มีใครรู้ เขาเองก็ไม่รู้ ดังนั้นการที่บอกว่าจะให้พี่อิงเสวี่ยช่วยนั้น นางไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด
“จริงด้วย” จู่ๆเอ๋าเลี่ยก็นึกขึ้นได้ว่าถามอิงเสวี่ยไปก็ไม่มีประโยชน์ ลูกชายทั้งสองคนของเขาหลิวหลีเป็นคนทำคลอด และเป็นคนเลี้ยง อยู่ๆก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างมาก
“หาเจอแล้ว ไม่รู้นังหนูไปไหน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ เจ้าให้วังนภาพฤกษาทำตามสูตรอาหารให้มู่มู่ไปก่อน รสชาติคงไม่ต่างกันมาก” อิงเสวี่ยว่า
“ต่างมากแน่ คนของวังนภาพฤกษาจะใช้เพลิงเซียนทำอาหารให้มู่มู่ได้หรือ” นอกจากท่านพี่แล้ว ใครจะทำใจยอมใช้เพลิงเซียนทำอาหารกัน รสชาติจะไปเหมือนกันได้อย่างไร เฮ้อ ท่านพี่ไปไหนกันนะ
“ก็จริง ไม่ใช่ทุกคนจะเก่งกาจจนมีเพลิงเซียนหลากหลายชนิดอย่างพี่สาวเจ้า เอามาปรุงยา ทำอาหาร ต่อสู้ แล้วยังมีเหลือใช้อีก” เอ๋าเลี่ยแขวะ ก็ไม่ใช่ทุกคนจะกล้าหาญดูดซับเพลิงเซียนมากมายขนาดนั้นแล้วยังไม่เป็นอะไรแบบนังหนู
“ไม่พูดแล้ว อย่างไรเสียท่านพี่ก็ไม่ได้อยู่ดินแดนอสูรเทพ ข้ากลับไปอยู่เป็นเพื่อนมู่มู่ดีกว่า” ในเมื่อไม่รู้ว่าท่านพี่ไปไหน เช่นนั้นกลับไปหาฮูหยินดีกว่า นางต้องการเขาให้อยู่เป็นเพื่อน
“ก็ดี หญิงตั้งครรภ์มักคิดเหลวไหล เจ้าอยู่เป็นเพื่อนมู่มู่เสียหน่อยก็ดี” เอ๋าเลี่ยมีประสบการณ์เต็มที่ เข้าใจความสำคัญของการอยู่เป็นเพื่อนของสามี
“ข้าขอตัวก่อน” จื่อฉีถือสูตรอาหารแล้วจากไป ทันใดนั้นก็คิดอะไรออก ใช่ ตนมีทายาทถือเป็นเรื่องดี ควรจะไปบอกผู้อาวุโสสักหน่อยถึงจะถูก เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็เปลี่ยนเส้นทางตรงไปยังดินแดนอสูรเทพ
อีกฝั่งหนึ่งทั้งสองเดินทางมาถึงหน้าปากถ้ำที่ปู้หุ่ยอาศัยอยู่
“ตอนนี้ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายเล็กน้อยของมารรัตติกาลในถ้ำ และผู้อาวุโสปู้หุ่ยก็ดูอ่อนแรง อ่อนแอลงเรื่อยๆ” หลิวหลีพูด
“ตอนนี้ผู้อาวุโสปู้หุ่ยเหมือนเป็นไม้ใกล้ฝั่ง” ในใจหนานกงเวิ่นเทียนไร้ซึ่งความไม่พอใจ ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับผู้เฒ่าคนหนึ่ง
“เฮ้อ ผู้อาวุโสปู้หุ่ยกักขังคนเผ่ามารรัตติกาลไว้ในดวงตาเป็นเวลานานจนแยกกันไม่ออกแล้ว” หลิวหลีพูด ผู้อาวุโสปู้หุ่ยให้พวกเขาที่เริ่มสัมผัสได้ถึงพลังในขั้นจักรพรรดิเซียนมาเพื่อดูดซับพลังของมารรัตติกาล คาดว่าคงรวมถึงตัวเขาด้วย
“ใช่ ข้าคิดว่าเป้าหมายเดียวของผู้อาวุโสปู้หุ่ยคือไม่ปลดปล่อยมารตนนี้ บวกกับการตายของสุ่ยจวิน ผู้อาวุโสยิ่งไม่มีเหตุผลให้ต้องมีชีวิตต่ออีกแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นด้วยเช่นกัน
“พวกเจ้าสองคนพึมพำอะไรกันอยู่ข้างนอก ยังไม่รีบเข้ามาอีก” เสียงของปู้หุ่ยดังออกมาจากในถ้ำ
“ไปกันเถอะ”
“ผู้อาวุโส” ทั้งสองพูดอย่างเคารพ
“คิดไม่ถึงจริงๆว่าพวกเจ้าสองคนจะเก่งกาจเพียงนี้ รู้สึกได้ถึงขอบเขตพลังขั้นจักรพรรดิเซียนได้เร็วขนาดนี้เลย” เรียกว่าเป็นคนโปรดของเทพเจ้าก็คงไม่เกินไป
“ผู้อาวุโสปู้หุ่ย เหตุใดท่านต้องลำบากถึงเพียงนี้” หลิวหลีพูดนอกเรื่อง
“การคงอยู่ของข้าก็เพื่อรอวันนี้ ข้าต้องขอบคุณพวกเจ้า มิเช่นนั้นข้าคงไม่รู้ว่าข้าจะสามารถทนต่อไปได้ไหม” ปู้หุ่ยส่ายหน้าขณะมองดูพวกเขาสองคนด้วยแววตาสงบนิ่งเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นพอถึงตอนนั้นมารรัตติกาลก็จะหลุดออกมาก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้น
“ทั้งที่ตอนแรกผู้อาวุโสยังมีความคิดอื่นอีก เหตุใดต้องทรมานลงโทษตนเองเช่นนี้” หลิวหลีไม่เข้าใจวิธีที่ทำร้ายตนเองเช่นนี้ มันเพื่ออะไรกันแน่
“มีเหตุย่อมมีผล เหตุเกิดเพราะข้า ข้าก็ควรจะจบผลของมัน” จ้านปู้หุ่ยพูดพลางส่ายหน้า
“พวกเจ้าลงมือเถอะ ดีที่พวกเจ้ามาได้จังหวะพอดี” จ้านปู้หุ่ยพูด
“ผู้อาวุโส ก่อนจะลงมือ ข้าต้องการทำสิ่งหนึ่ง” หลิวหลีพูดจบก็ปล่อยดวงตาและความคิดให้ว่างเปล่า ขณะมองจ้านปู้หุ่ย