บทที่ 211.3 สวรรค์ส่งให้มาเป็นคู่กัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 211.3 สวรรค์ส่งให้มาเป็นคู่กัน โดย ProjectZyphon

ปีที่นางอายุสิบสี่ วันที่นางสังหารมังกรแดงได้สำเร็จ เด็กสาวเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ค้นพบว่าสายตาที่อาจารย์มองตน เปลี่ยนไป

เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน แรกเริ่มเด็กสาวผู้บริสุทธิ์รู้เพียงว่านั่นคือสายตาที่ทำให้นางไม่สบายใจ ไม่ใช่ความเมตตาปราณีอย่างที่ผู้ใหญ่ใช้มองผู้น้อย แต่มันแฝงไว้ด้วยความหมายของบุรุษที่ใช้มองสตรี

แต่ตอนนั้นเจ้าลัทธิฉีเจินกำลังปิดด่าน คนทั่วทั้งสำนักโองการเทพต่างก็อยู่ในภาวะตึงเครียดหวาดหวั่น

หนึ่งวันก่อนที่นางจะออกจากสำนักโองการเทพเดินทางไปถ้ำสวรรค์หลีจู ผู้เฒ่าก็บอกกับนางอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า ต้องการให้นางเป็นคู่บำเพ็ญตนของเขา!

ผู้เฒ่ายังบอกด้วยว่า เพื่อนางแล้วเขาสามารถไปจากสำนักโองการเทพ ครองคู่เป็นยวนยางป่าที่มีความสุขและอิสระเสรีในภูเขาสูงบึงน้ำกว้างใหญ่ ไม่ต้องสนใจสายตาของคนในโลก หากเฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่อยากมีชีวิตที่ระหกระเหินก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่เป็นอาจารย์และศิษย์กันภายนอก แต่เป็นคู่รักกันลับๆ ผู้เฒ่ารับประกันว่าคัมภีร์ไม่สมบูรณ์แบบที่บรรยายถึงการฝึกมหามรรคาคู่นั้นสามารถทำให้พวกเขาสองคนเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ไม่ใช่เคล็ดประกอบกิจกามในห้องหับชั้นต่ำที่ใช้ธาตุหยินของฝ่ายหญิงมาเสริมธาตุหยางของฝ่ายชายอย่างแน่นอน

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ยินยอม

อีกทั้งยังไม่ได้แสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตาม หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นผู้เฒ่าไม่มั่นใจว่าจะจับตัวนางได้อย่างเงียบเชียบ เกรงว่าคงลงมือไปนานแล้ว

นี่ถึงเป็นเหตุให้นางเดินทางไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลีในคราวนั้น

เพราะทัศนียภาพบางอย่าง เฮ้อเสี่ยวเหลียงอยากจะเดินขึ้นไปยอดเขา และดูให้เห็นเองกับตาเพียงลำพัง

อันที่จริงสำหรับวิชาการฝึกตนคู่ซึ่งเป็นการเสพกามในสายตาของชาวโลก หรือคู่รักอาจารย์และศิษย์ที่ผิดต่อหลักประเพณีนิยมอะไรพวกนี้ เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก แล้วก็ไม่ได้มีอคติสักเท่าไหร่

เฮ้อเสี่ยวเหลียงให้ความสำคัญแค่มหามรรคาเท่านั้น!

และในความเป็นจริงแล้ววิชาลับฝึกตนคู่ชั้นเยี่ยมที่แท้จริงของลัทธิเต๋าก็ไม่ได้แย่อย่างที่มนุษย์ธรรมดาเข้าใจผิด

เพราะนับว่าเป็นอีกสาขาหนึ่งของการฝึกคู่ทั้งกายและใจ อีกทั้งยังไม่ได้ถูกแบ่งแยกให้เป็น ‘หนึ่งในวิชา’ ของลัทธินอกรีตด้วย

ลัทธินอกรีต แม้จะฟังดูแล้วเป็นความหมายในทางลบ แต่อันที่จริงแล้วสำหรับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา นี่ก็เป็นแค่คำพูดที่แสดงให้เห็นว่าไม่สามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ก็เท่านั้น แต่ก็ถือเป็นเส้นทางสายใหญ่ที่พาขึ้นไปสู่ภูเขาที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

หลังจากที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับไปจากต้าหลี อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดความรู้ให้นางคนนั้นก็ฉีกกระชากภาพลักษณ์ของผู้อาวุโสที่เมตตาปราณีทิ้งอย่างสิ้นเชิง เขาคอยพูดจาล่อลวงโน้มน้าวใจ บางครั้งก็ข่มขู่ บางครั้งขุ่นเคือง ใช้ครบทุกสารพัดวิธี

เฮ้อเสี่ยวเหลียงรับมืออย่างสงบเยือกเย็น ทหารมาก็เอาขุนพลต้านรับ น้ำมาเอาดินกลบ แต่ส่วนลึกในจิตใจนางรู้สึกเศร้าหมอง เพราะนางรู้ว่านี่ก็คือมหามรรคาที่ผู้เฒ่าเลือก แต่มันเล็กเกินไป แคบเกินไป นางไม่เต็มใจเดินเคียงข้างผู้เฒ่าไปบนทางคับแคบที่ทัศนียภาพสุดปลายทางไม่สวยงามยิ่งใหญ่มากพอสายนี้

หลังจากนั้นเว่ยจิ้นเซียนกระบี่พสุธาของศาลลมหิมะก็มาที่แคว้นหนันเจี้ยน ผู้เฒ่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้ช่วยที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงเชื้อเชิญมา เขาจึงสงบสำรวมกว่าเดิมเยอะมาก คิดไม่ถึงว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะปฏิเสธเว่ยจิ้น สุดท้ายเว่ยจิ้นก็ดื่มเหล้าเมามายจูงลาจากไปอย่างเจ็บปวด นี่ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกว่าโอกาสดีๆ ครั้งใหม่บังเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่สิ่งดีย่อมมาพร้อมกับความยากลำบาก นักพรตหนุ่มที่มีศักดิ์เท่ากับเขา แต่ตบะไม่สูงเท่าเขากลับกล้าปกป้องเฮ้อเสี่ยวเหลียง งัดข้อกับเขาซึ่งๆ หน้า ทั้งยังทิ้งประโยคอาฆาตที่ทำให้คนเย็นสันหลังวาบเอาไว้ ผู้เฒ่ารุกหน้าก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ดี ลำบากใจอย่างยิ่ง แต่จะว่าไปแล้วก็น่าตลก เพียงไม่นานไอ้หมอนั่นก็รีบร้อนเดินทางไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง รีบร้อนจนได้แค่พูดคุยกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงเป็นการส่วนตัวครั้งเดียว ไม่ว่าจะอย่างไร เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ได้เลือกพึ่งพาอาจารย์อาน้อยของนางอย่างที่คนนอกคิดกัน แต่เลือกที่จะลบชื่อตัวเองออกจากบัญชีนักพรตเต๋าของสำนักโองการเทพ นี่ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกว่าสถานการณ์ดีๆ ครั้งใหม่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุดโอกาสก็มาแล้ว แต่ฉีเจินเจ้าสำนักกลับค่อนข้างจะใจกว้าง ไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ซักไซ้ถามหาเหตุผลที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงทรยศสำนัก ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในสำนักโองการเทพอาจจะมีคนที่ไม่พอใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าสำนักเลี้ยงคนเนรคุณเอาไว้ แต่ในเมื่อเทียนจวินเจ้าสำนักพูดเองแล้ว พวกเขาก็ได้แต่ยอมเลิกราโดยดี มีเพียงอาจารย์ของเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่คิดจะลงจากภูเขาไป ‘เอาโทษ’ นาง แต่กระนั้นก็ยังถูกฉีเจินเกลี้ยกล่อมให้กลับสำนัก

บอกว่าเกลี้ยกล่อมให้กลับ

แต่พอเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ติดตามลู่เฉินไปต้าหลีได้ยินข่าว นางกลับรู้ดียิ่งกว่าใครว่า เจ้าสำนักฉีเจินจะต้องบังคับห้ามปรามผู้เฒ่าเอาไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีการลงไม้ลงมือกันด้วยถึงทำให้ผู้เฒ่ายอมกลับไปในจวนของตัวเองได้

เพราะหากไม่มีนาง มหามรรคาของผู้เฒ่าที่เดิมทีก็คลอนแคลน ไม่ทานลมทานฝนสายนั้นย่อมต้องขาดออกกลางคันอย่างสิ้นเชิง

ด้วยนิสัยดึงดัน เอาตัวเองเป็นใหญ่ของผู้เฒ่าย่อมไม่มีทางเลิกราง่ายๆ อย่างแน่นอน

แต่ทุกอย่างล้วนกำหนดมาแล้วว่าต้องเปลืองแรงเปล่า

เพราะด้านหลังของนางมีลู่เฉินหนุนหลัง

เขาคือบุคคลที่สามารถออกคำสั่งกับฉีเจินเทียนจวินได้ตามใจชอบ

เฮ้อเสี่ยวเหลียงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

จึงไม่ได้ตอบคำถามของเฉินผิงอันเสียที

เฉินผิงอันจึงได้แต่รอเงียบๆ

“ต่อให้ลู่เฉินจะวางแผนลึกล้ำยาวไกลแค่ไหน ก็เป็นแค่การกระทำที่คล้อยไปตามสถานการณ์เท่านั้น” จู่ๆ ดวงตาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็เป็นประกายวาบ ลุกพรวดขึ้นยืน คล้ายกับคลายปมบางอย่างในใจตัวเองได้ “ที่แท้วาสนานี้คือสวรรค์ที่ประทานมาให้”

แต่หัวใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง

นางพอจะจำได้ว่า ครั้งแรกที่พบเจอเด็กหนุ่ม นางมองออกแค่ว่าเขามีโชควาสนากับตน แต่โชควาสนานั้นบางเบานัก

นี่ต่างหากถึงจะเป็นเจตนารมณ์เดิมของมหามรรคานาง

แต่เหตุใดตอนนี้นางถึงได้รู้สึกว่าโชควาสนาของเขาลึกล้ำ? ถึงขั้นรู้สึกว่าพวกเขาเป็น ‘คู่ที่ฟ้าประทานมาให้’?

นี่ก็คือแผนการที่เจ้าลัทธิเต๋านามว่าลู่เฉินผู้นั้นอนุมานไว้!

แล้วก็จริงดังคาด เพราะมีเสียงเกียจคร้านแฝงแววยั่วเย้าดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจของนาง “ถูกแล้ว สามารถคิดจนเข้าใจในข้อนี้ ก็แสดงว่าเจ้าผ่านด่านนี้ไปได้แล้ว เมื่อถามหัวใจตัวเองแล้ว เจ้าก็ได้มอบคำตอบที่ถูกต้องออกมา กระจกแห่งหัวใจที่แตกร้าวของเจ้าได้รับการซ่อมแซมชดเชยอย่างครบถ้วน ต่อให้วันหน้าบาดเจ็บสาหัสอีกครั้ง ก็ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่แค่ปริแตกก็แหลกสลายได้ทันที หลังจากนี้เจ้าสามารถท่องไปในกุรุทวีปได้แล้ว”

“แต่บอกไว้ก่อนว่า ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้แอบฟังหรือแอบดู เพียงแต่ว่าฝังบางสิ่งบางอย่างไว้ในทะเลสาบหัวใจของเจ้านานแล้ว เมื่อเจ้าได้คำตอบ มันก็จะคลายออก และข้าผู้เป็นนักพรตก็จะรับรู้ได้”

“ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตขอถามคำถามอีกข้อหนึ่งที่เจ้าต้องถามใจตัวเอง เจ้าควรจะจัดการกับเฉินผิงอันอย่างไร?”

“อืม พูดแบบนี้ออกจะสุภาพไปหน่อย ไม่ใช่ลักษณะการพูดของข้าผู้เป็นนักพรต ไม่สู้เปลี่ยนเป็นว่า ‘เฮ้อเสี่ยวเหลียง ลองลูบคลำหัวใจที่ซ่อนไว้อย่างมิดชิด ถามนโมธรรมในใจของเจ้าดูว่าจะตัดรากถอนโคน ตบคนที่มีวาสนา…ซึ่งไม่รู้ว่าวาสนานี้จะเป็นบุญสัมพันธ์หรือกรรมสัมพันธ์ตรงหน้านี้ให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว หลีกเลี่ยงไม่ให้ปมในใจกลายมาเป็นเงื่อนตาย ส่งผลร้ายต่อรากฐานมหามรรคาของเจ้าในอนาคตดีหรือไม่?’”

แม่ชีสาวที่หน้าตางดงามอย่างถึงที่สุดมองไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ใบหน้าของนางแดงปลั่ง ดวงตาเย็นเยียบ

เฉินผิงอันประสานสายตากับนาง

ด้วยความรู้สึกเหมือนตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง

ชูอีและสืออูที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวตั้งท่าเตรียมพร้อม

ฆ่าหรือไม่ฆ่าเด็กหนุ่ม?

ดูเหมือนว่าทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของลู่เฉิน อยู่ในแผนการของเขา

ครั้งแรกเฮ้อเสี่ยวเหลียงต้องผ่านด่านของตัวเอง ครั้งนี้กลับต้องผ่านด่านที่เจ้าลัทธิเต๋าจัดวางไว้ให้ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าลู่เฉินไม่มีทางทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง หาไม่แล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากการฆ่าคนโดยตรง เห็นได้ชัดว่าเขาฝากความหวังไว้มากกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง จึงไม่ต้องถึงขั้นตบบ้องหูตัวเองด้วยมือตัวเอง

แม่ชีสาวหน้าตางดงามถามใจตัวเองเป็นครั้งที่สอง ดวงตาที่เย็นเยียบเริ่มค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลดุจเส้นไหม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซีกแก้มที่แดงก่ำซึ่งยิ่งทำให้ดวงหน้าที่เดิมทีเรียบร้อยสุภาพของนางเปลี่ยนมาเป็นแปลกตาอย่างถึงที่สุด

เพียงแต่ว่าในทะเลสาบหัวใจของนางกลับเกิดคลื่นยักษ์ถาโถม น่าตะลึงพรึงเพริด เจ็บปวดจนพูดไม่ออก

เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงแค่จ้องเขม็งไปยังแม่ชีสาวของสำนักโองการเทพที่มีท่าทางประหลาด

เขายังถึงขั้นสงสัยว่า อีกฝ่ายจะใช่จิ้งจอกปีศาจที่เชี่ยวชาญการล่อลวงใจคนจำแลงกายมาเป็นเฮ้อเสี่ยวเหลียงหรือไม่ หาไม่แล้วทำไมถึงมีลักษณะของคนสองคนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง?

แต่ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่า ตอนนี้ระหว่างพวกเขามีเพียงเส้นบางๆ กางกั้นระหว่างความเป็นและความตาย

เฮ้อเสี่ยวเหลียงใช้มือสองข้างค้ำยันบนโต๊ะอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ เหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา เส้นผมสีดำยุ่งเหยิง

นอกประตูหัวใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงมีเสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ คล้ายบังคับกดทับคลื่นยักษ์ที่โถมตัวอยู่ในทะเลสาบหัวใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงลงไป “เฮ้อเสี่ยวเหลียง อันที่จริงข้าผู้เป็นนักพรตได้ให้คำตอบไปนานแล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าถูกมหามรรคาบดบังจิตใจ หากเจ้าฆ่า ข้าผู้เป็นนักพรตก็จะต้องขัดขวาง เจ้าไม่ฆ่า ข้าผู้เป็นนักพรตก็ไม่ฝืนใจ อย่างไรเจ้าก็ต้องผ่านด่านนี้ไปได้อยู่ดี แต่เจ้าดันหยิบไม่ขึ้น แล้วก็วางไม่ลง สับสนมึนงง สุดท้ายยังคิดจะทำเรื่องที่เลวร้ายที่สุดโดยหวังสังหารเฉินผิงอัน แล้วค่อยผูกสัมพันธ์แต่งงานกับวิญญาณของเขา ทั้งสามารถตัดขาดบุญกรรม และไม่ต้องทำให้ตัวเองละอายใจ น่าขันยิ่งนัก วิธีการที่ยึดถือผลประโยชน์เป็นสำคัญเช่นนี้จะช่วยให้เจ้าเดินไปถึงยอดเขาได้หรือ? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เหตุใดเฉินผิงอันที่พบเจอกับอุปสรรคมาทั้งชีวิต แต่เดินมาได้จนถึงวันนี้ เจ้าที่มีชีวิตราบรื่นสุขสบาย พรสวรรค์โดดเด่นเลิศล้ำ แต่สุดท้ายแล้วกลับเดินข้ามธรณีประตูที่ข้ามได้ง่ายที่สุดนี้ไปไม่ได้?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเทพธิดาที่สูงส่งจนไม่อาจเอื้อมของทวีปหนึ่งนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยว ฟุบศีรษะลงไปบนโต๊ะ สีหน้าแปรเปลี่ยนรวดเร็วเหมือนกระแสน้ำขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ นางหอบหายใจหนักหน่วง ดวงตาที่มีไอน้ำปกคลุมบางๆ คู่นั้นจ้องมองมายังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ในดวงตามีทั้งความเจ็บแค้นและละอายใจ

ทว่าไม่มีจิตสังหารหลงเหลืออยู่

ทำเอาเฉินผิงอันที่มองอยู่มึนงงไปหมด

เกิดอะไรขึ้น?

ข้าไม่ได้รังแกเจ้าสักหน่อย กระบี่บินที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยังไม่ได้ออกมาเลยนะ

อีกอย่างหากสู้กับผู้ฝึกลมปราณใหญ่อย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่อยู่ตรงหน้านี้ ต่อให้ตนเรียกทั้งชูอีและสืออู่ออกมา หรือแม้แต่ใช้กำจัดปีศาจปราบมารด้วยก็ยังมีแต่คำว่าแพ้และคำว่าตายเท่านั้น

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเหม่อลอยอยู่นาน ไอน้ำในดวงตาเริ่มจางหายไป กระแสน้ำขึ้นก็เริ่มถดถอยกลับ หัวใจแน่วแน่มั่นคงได้ในที่สุด นางลุกขึ้นยืน คลี่ยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม ในที่สุดนางก็กลับมามีท่าทีของเทพธิดาสาวที่มีกวางขาวเคียงคู่ ทั่วร่างล้อมวนไปด้วยปราณแห่งเซียนเหมือนครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้พบเจอนางอีกครั้ง

นางกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เฉินผิงอัน รอวันใดที่เจ้าตายไป เจ้าก็จะกลายมาเป็นสามีของข้าเฮ้อเสี่ยวเหลียง!”

สุดท้ายนางก็เลือกที่จะยืนหยัดตามความตั้งใจเดิมของตนครึ่งหนึ่ง เลือกทำตามสิ่งที่ตนตั้งใจไว้เมื่อแรกเริ่มสุดครึ่งหนึ่ง

ไม่ฆ่าคน แต่ผูกสัมพันธ์

บนทะเลสาบหัวใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียง เสียงทุ้มต่ำหนาทึบของลู่เฉินแฝงไว้ด้วยความชื่นชมอย่างไม่ปิดบังดังขึ้นช้าๆ “ฝูเซิงอู๋เลี่ยงเทียนจุนขออำนวยพรให้เจ้ามีความสุขอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ (ฝูเซิงอู๋เลี่ยงเทียนจุนเป็นชื่อของพระเป็นเจ้าลัทธิเต๋าองค์หนึ่งมีนัยเป็นการอำนวยพรให้ความสุขอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ มักจะใช้เป็นคำทักทายของนักพรตเต๋า) เฮ้อเสี่ยวเหลียง นับจากบัดนี้ไป เจ้าเป็นศิษย์ในสำนักของข้าลู่เฉิน เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนที่หก สามารถก่อสำนักตั้งพรรคที่กุรุทวีปได้แล้ว”

เฉินผิงอันอึ้งงันเป็นไก่ไม้ หลุดปากถามไปตามจิตใต้สำนึก “เฮ้อเซียนซือ เจ้าพูดอะไร? หรือว่าข้าหูฝาดไป เจ้าพูดอีกรอบได้หรือไม่?”

อะไรตายไปแล้ว อะไรคือเป็นสามี

เฉินผิงอันยิ่งมั่นใจว่า ‘เฮ้อเสี่ยวเหลียง’ ที่อยู่ตรงหน้านี้มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ชอบปั่นหัวกลั่นแกล้งคนอื่น

เฮ้อเสี่ยวเหลียงอับอายจนพานเป็นความโกรธจึงถลึงตาใส่เฉินผิงอันที่เป็นฝ่ายได้เปรียบตน

นางมองเฉินผิงอันด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง แล้วจึงจากไป

เฉินผิงอันนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วแน่น

คล้ายจริงคล้ายหลอก คล้ายฝันคล้ายภาพลวงตา

—–