บทที่ 35 พ่ายแพ้เสียหายกันทั้งสองฝ่ายและการตายของซูหลิน (4) Ink Stone_Romance
ในขณะเดียวกันนั้นเองฉู่อี้อันยังคงคุยราชกิจกับฮ่องเต้อยู่ในห้องทรงอักษร ฉู่สวินหยางเองก็กำลังเบื่ออยู่พอสมควร นางนั่งชันเข่าข้างเดียวอยู่บนแท่นรถม้ามองไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ แล้วคิดเรื่องเรื่อยเปื่อยไปพลางๆ ราวกับว่าความเคลื่อนไหวภายนอกรบกวนจิตใจนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ถึงเวลาพระอาทิตย์ตกพอดี ท้องฟ้าสีทองอร่ามอันกว้างใหญ่ โอบล้อมสาดส่องร่างของนางลงมาอย่างนุ่มนวล
ริมฝีปากของนางยกขึ้นยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยองศาอันโค้งมนอย่างเป็นธรรมชาติ
ขนตาที่งอนเป็นแพคู่นั้นเมื่อกระทบเข้ากับแสงอาทิตย์แล้ว มันก็ยิ่งมองเห็นชัดเจนขึ้นไปอีก น่ารักสวยงามราวกับหญิงบอบบางก็ไม่ปาน เค้าโครงหน้าอันสละสลวยนั้น มันทำให้คนที่มองอยู่ไม่กล้าเข้าไปรบกวน
ที่จริงฉู่ฉีเหยียนรู้อยู่แล้วว่านางมองเห็นตนตั้งนานแล้ว ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเดินเข้ามาใกล้ นางก็ลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่ว สะบัดชายกระโปรงแล้วกระโดดลงมาจากรถม้า
“ดูท่าท่านอาบาดเจ็บมาไม่น้อยเลย ซื่อจื่อท่านไม่ต้องคอยดูแลเขาตลอดเวลางั้นหรือ?” ฉู่สวินหยางยิ้มถาม รอยยิ้มที่ไม่สนใจใยดีนั้นแฝงไปด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยเล็กน้อย “อาการป่วยของท่านแม่ดีขึ้นพอดี ช่วงนี้ใต้เท้าเหยียนหลิงน่าจะว่างแล้วแหละ หากซื่อจื่อไม่วางใจ เชิญเขาไปดูอาการให้ท่านอ๋องก็ได้นะเจ้าคะ”
ฉู่ฉีเหยียนมองนาง เม้มปากฟังนางพูด
ทว่าฉู่สวินหยางเองก็ไม่รู้สึกกดดันที่ต้องพูดอยู่ฝ่ายเดียว นางกะพริบตาเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นต่อ “ก็แค่เล่นละครน่ะเจ้าค่ะ ไม่มีทางเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงหรอกหนา เพราะหากวันหน้าท่านอามีอาการบาดเจ็บร้ายแรงถึงชีวิตเข้าจริงๆ แถมตัวเขาเองก็เลอะๆ เลือนๆ เยี่ยงนั้น ในฐานะที่ซื่อจื่อเป็นลูกเป็นหลานของเขา ดูท่าคงต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตแน่เลย แบบนั้นมันไม่คุ้มค่าหรอกนะเจ้าคะ!”
ใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนเผยให้เห็นอารมณ์ท่าทางขึ้นเล็กน้อย เขาเดินก้าวขาไปด้านหน้าหนึ่งก้าว หยุดยืนลงตรงหน้าฉู่สวินหยาง
ระยะห่างระหว่างสองคนเหลือเพียงแค่ก้าวเล็กๆ ก้าวเดียว เขายืดอกยืนตัวตรงหันหลังให้พระอาทิตย์เอาไว้ พยายามเอาตัวบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงบนใบหน้าของอีกฝ่าย เพื่อให้เห็นใบหน้าของนางที่แท้จริงชัดๆ
ริมฝีปากอันโค้งมนของหญิงสาวที่ยิ้มขึ้นเมื่อครู่ คราวนี้ดูเหมือนว่ามันจะพูดเกินความเป็นจริงไปพอสมควร แต่ละคำพูดที่เปล่งออกมานั้นมันช่างดูถูกทำร้ายจิตใจมาก แต่แปลกเหลือเกิน…
ใบหน้าของนางนั้นมองแล้วมันทำให้คนฟังเชื่อในสิ่งที่นางพูดขึ้นจริงๆ ใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เหลือเกิน
ฉู่ฉีเหยียนจ้องมองนาง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมความรู้สึกโกรธเมื่อครู่ถึงได้หายไปเกือบหมดสิ้นแล้ว หลังจากที่สองฝ่ายยืนจ้องกันอย่างเงียบๆ อยู่นาน เขาก็ถอนหายใจออกมา เบนสายตามองไปด้านข้าง แล้วค่อยๆ เปล่งเสียงขึ้นอย่างอารมณ์เสียว่า “เจ้ารู้ได้ยังไง?”
“ข้าเดาน่ะ!” ฉู่สวินหยางยิ้ม “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในจวนของท่านแบบนั้น ดูจากความฉลาดเฉลียวปราดเปรียวของซื่อจื่อแล้ว หากท่านคิดจะสนใจจริงๆ ทำไมท่านถึงยอมปล่อยให้เรื่องมันบานปลายมาถึงขั้นนี้เล่า? แต่ท่านอาก็ทำให้ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ผลลัพธ์แบบนี้มันคงดียิ่งกว่าที่ท่านคิดไว้อีกใช่ไหมล่ะเจ้าคะ?”
นางอ่านใจเขาออกทุกอย่าง ฉู่ฉีเหยียนไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิด ทว่ายังกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
ฉู่อี้หมินหุนหันพลันแล่นเกินไป แถมก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายมาถึงขั้นนี้ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองของฉู่อี้หมินกับคนแซ่เจิ้ง กลับคิดที่จะไปโวยวายกับพวกสกุลซูให้ได้ จนสุดท้ายเรื่องมาถึงมือฮ่องเต้เข้าแบบนี้
ทว่าเขากลับไม่คิดเลยว่าฉู่อี้หมินจะควบคุมนิสัยอารมณ์ตัวเองไม่ได้ถึงขนาดนี้ ไม่เพียงแต่จะทำเรื่องวุ่นวายจนเกือบถึงแก่ชีวิต ยังเกือบทำให้เรื่องมันเลวร้ายจนช่วยเหลือพลิกสถานการณ์ไม่ได้
เพื่อจะปิดให้เรื่องเงียบ ฮ่องเต้ประทานของปลอบโยนให้ซูหลินนั้นก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว
แต่วิธีการแก้ไขปัญหาตอนนี้…
ไม่มีสิ่งใดที่เหมาะสมที่สุดไปมากกว่านี้อีกแล้ว!
เพราะงั้นฉู่สวินหยางพูดถูกทุกอย่าง เขาตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เอง
เดิมทีหากเขาไม่ได้พูดขึ้นมา ฉู่อี้หมินเองก็คงไม่มีทางลดตัวลงไปหาถึงจวนของพวกสกุลซูหรอก เพราะฉะนั้นตั้งแต่เริ่มจนจบเรื่อง มันอยู่ในแผนของเขาทั้งหมด
เขาไม่ปฏิเสธ แสดงว่าเขายอมรับ
ที่จริงแล้วฉู่สวินหยางนับถือตัวเขามาก คนคนนี้เป็นศัตรูกับนางโดยเนื้อแท้ อยู่แล้ว แถมแผนการของเขาแต่ละครั้งมันก็เปิดเผยไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใด เขาเป็นคนกล้าทำกล้ายอมรับ หากเขาทำจริงเขาก็ยอมรับเสมอ
“เรื่องของฉู่หลิงซิ่ว ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฉู่สวินหยางยิ้มแล้วเอ่ยถามขึ้น
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ” ฉู่ฉีเหยียนตอบ สีหน้านิ่งเฉย มองไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นชัดเจนทุกถ้อยคำ “สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ…ซูอี้จะกลับมาแล้ว!”
สงครามชายแดนทางเหนือกำลังจะจบลง พวกเขาขับไล่พวกชนเผ่ากลุ่มน้อยพวกนั้นออกไปได้สำเร็จ ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกยินดีปลื้มปิติเป็นอย่างมาก จึงมีรับสั่งให้ประทานรางวัลให้ พร้อมทั้งยังเรียกให้แม่ทัพทั้งสองนายกลับเมืองหลวง เพื่อให้บำเหน็จตามความชอบอีกด้วย
ถึงแม้ตั้งแต่ต้นจนจบจะไม่ได้กล่าวถึง ‘ซูชิงสุ่ย’ สามคำนี้เลยก็ตาม แต่ไม่ต้องคิดเขาก็รู้ ว่าเขาคนนั้นย่อมตามกลับมาพร้อมกันอยู่แล้ว
ฉู่ฉีเหยียนรู้เป้าหมายที่ฉู่สวินหยางฝากฝังให้ซูอี้ไปทำดี เพราะเหตุนั้นการที่ซูอี้ได้กลับมายังเมืองหลวงคราวนี้ ทางวังบูรพาย่อมมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน ต้องคอยช่วยออกโรงหาโอกาสให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแน่
ส่วนเขา…
จะปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น แล้วนั่งมองอยู่เฉยๆ ไม่ได้เด็ดขาด!
สำหรับเรื่องแบบนี้ เขานั้นตัดสินใจว่องไว จัดการได้อย่างคล่องแคล่วไม่ชักช้า
ฉู่สวินหยางยิ้ม รู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้โมโหเพราะเรื่องนั้น พวกเขาสองคนทักทายดังเช่นปกติ บรรยากาศระหว่างเขาสองคนนั้นสงบนิ่งช่างเป็นมิตร
ฉู่ฉีเหยียนปรายตามองนาง แววตามืดมนลงอย่างไม่รู้สึกตัว กวาดตามองนางอย่างมีพิรุธอยู่พักใหญ่
แต่ฉู่สวินหยางกลับไม่สนใจ หันหลังกระโดดขึ้นรถม้า เอนตัวพิงลงบนที่นั่งคนขับ
ความสามารถระหว่างนางกับฉู่ฉีเหยียนนั้นเคียงคู่สูสีกันมาตลอด
เขาเป็นพวกตัดสินใจลงมืออย่างว่องไวแถมโหดเหี้ยม ส่วนนาง…
ทำเรื่องแต่สิ่งที่คนอื่นคาดไม่ถึง มีความสามารถในการพลิกสถานการณ์จากร้ายกลายเป็นดีได้
การต่อกรแบบนี้ ใครก็บอกไม่ได้หรอกว่าตนเองมั่นใจว่าจะชนะ ทำได้แค่เพียงสู้สุดฤทธิ์ไม่ถอยก็เท่านั้น
ฉู่ฉีเหยียนตกใจจนสงบสติอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ จู่ๆ เขาก็เดาใจนางไม่ออก และในขณะที่เขากำลังเหม่อลอยไปนั้น ฉู่อี้อันก็เดินออกมาจากพระราชวังพอดี
เขารีบดึงสติกลับมาแล้วทำความเคารพอีกฝ่าย จากนั้นแต่ละฝ่ายก็แยกย้ายกันกลับจวนไป
ข่าวการกลับไปจวนอ๋องฉางซุ่นของซูหลินแพร่สะพัดออกไปอย่างว่องไว ขอเพียงแค่ฮ่องเต้ต้องการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ใครหน้าไหนก็สาวสืบไม่เจอต้นตอแน่นอน
การเคลื่อนไหวของซูหลินเองก็ว่องไว ไม่ถึงสามวันเขาก็เตรียมของทุกอย่างเสร็จสรรพ พาตัวพระชายาฉู่หลิงซิ่วกับคนในครอบครัวของเขาเดินทางออกจากเมืองหลวงไป
หลัวอวี่ก่วนยืนมองอยู่ตรงนั้น ในที่สุดก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก วางใจลงได้เสียที และในวันเดียวกันก่อนที่ซูหลินจะเดินทางออกจากเมืองหลวง เขาแวะมาหาฮูหยินใหญ่หลัว บอกว่าตนจะนำป้ายวิญญาณท่านพ่อและท่านแม่ของตนกลับไปไว้ที่บ้านเกิด
ฮูหยินใหญ่หลัวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสงสัย แต่เมื่อปรึกษากับหลัวซืออวี่แล้ว ก็ทำเพียงแค่พยักศีรษะเห็นด้วย…
พี่น้องของหลัวอวี่ก่วนไม่ได้คิดเห็นไปในทางเดียวกันเสียหมด หากมีคนน้อยไปหนึ่งคน เรื่องวุ่นวายก็จะน้อยลงตามไปด้วย
ในตอนกลางคืนของวันเดียวกันนั้นเองหลัวเสียงก็แวะมาหาเช่นกัน เดินเข้าประตูมาก็ด่าหลัวอวี่ก่วนกราดด้วยความโมโห “นี่มันป่านนี้แล้วนะ สมองเจ้ามีปัญหาหรือเจ้าเป็นอะไรไปแล้วกันแน่เนี่ย? กลับบ้านเกิดเนี่ยนะ? บ้านนอกชนบทแบบนั้นกลับไปทำอะไร? จะอยู่เฝ้าเรือนผุพังจนแก่ตายไปงั้นเหรอ?”
“ถ้าข้าไม่ไปแล้วจะทำอย่างไรได้เล่า?” หลัวอวี่ก่วนมองเขาแล้วน้ำตาก็ไหลออกมา “ตอนนี้ขนาดตัวท่านพี่เองยังไม่มีเวลาดูแล หากข้าไปแล้วก็ทำให้ท่านพี่ลำบากน้อยลง ไม่มีข้าคอยเป็นตัวถ่วง ชีวิตของท่านน่าจะสบายขึ้นนะเจ้าคะ”
“เจ้า…” หลัวเสียงโมโหกระทืบเท้า แต่ว่าหากคิดดูดีๆ แล้ว หลัวอวี่ก่วนจะอยู่หรือจะไป มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขามากเท่าไรนัก
หลัวอวี่ก่วนต้องไว้ทุกข์ เพราะฉะนั้นภายในสามปีนี้จึงต้องพักเรื่องแต่งงานไว้ก่อน ถึงแม้จะมีความคิดที่อยากจะใช้เรื่องการแต่งงานมาเป็นข้ออ้างก็ทำไม่ได้
แต่ว่าการที่หลัวอวี่ก่วนทำตัวไปโดยพลการแบบนี้ มันก็ทำให้เขาโมโหเหมือนกัน สองพี่น้องทะเลาะกันเสียงดัง สุดท้ายก็แยกหนีกันไปคนละฝั่งอย่างหมางเมิน
“คุณหนูเจ้าคะ คุณชายเขา…” เมื่อหลัวเสียงเดินจากออกไปแล้ว เซียงเฉ่าก็เอ่ยปากขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไม่ต้องสนใจเขา” หลัวอวี่ก่วนยกมือเช็ดคราบน้ำตา แล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เก็บของเสร็จหรือยัง? ไปตรวจอีกรอบไป อย่าลืมของชิ้นไหนเชียวล่ะ”
โอกาสครั้งนี้นางวางแผนมานานมาก ใครหน้าไหนก็อย่าได้คิดขวางทางนางเป็นอันขาด
ค่ำคืนนี้นางพลิกตัวไปมาบนเตียงอยู่นาน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกหรือรู้สึกไม่ปลอดภัยกับอนาคตที่จะเกิดขึ้นกันแน่ สุดท้ายตอนที่กำลังจะสะลึมสะลือหลับลง เซียงเฉ่าก็เข้ามาปลุกนางให้ตื่น
เมื่อนางตื่นขึ้นมา พลันรู้สึกปวดหัวมึนเล็กน้อย เก็บของเสียเรียบร้อยจากนั้นก็เตรียมตัวเดินทางออกจากเรือน
พวกข้ารับใช้รีบยกของขึ้นรถม้าอย่างขยันขันแข็ง ฮูหยินใหญ่หลัวออกมาส่งนางถึงประตูบ้านด้วยตนเองด้วยท่าทางเอาใจใส่ กำชับนางอย่างเป็นห่วงด้วยความหวังดี “ต้นตระกูลทางนั้นมีข้ารับใช้ของสกุลหลัวดูแลอยู่ หากเจ้าต้องการอะไร เจ้าก็สั่งให้นางพวกนั้นไปทำให้เสีย อยู่ที่นั่นคนเดียวต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก!” หลัวอวี่ก่วนยิ้มขึ้นอย่างอ่อนแอ
ในขณะที่เซียงไช่กำลังพยุงตัวนางให้ขึ้นไปนั่งรถม้า จู่ๆ ก็มีม้าเร็ววิ่งเข้ามา คนที่อยู่บนม้าเร็วกระโดดลงมาอย่างร้อนรน จากนั้นพูดกับฮูหยินใหญ่หลัวว่า “ฮูหยินขอรับ เมื่อครู่เพิ่งได้ข่าวมา เกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ ในระหว่างทางที่ซื่อจื่อ แห่งจวนอ๋องฉางซุ่นเดินทางออกจากเมืองหลวง เกิดอุบัติเหตุขึ้นขอรับ ทั้งซื่อจื่อและพระชายาต่างสิ้นชีวิตลงแล้วขอรับ!”
“อะไรนะ?” ฮูหยินใหญ่หลัวอึ้งจนแทบสติหลุด เมื่อรู้สึกตัวก็เอ่ยถามซ้ำขึ้นอีกครั้งว่า “เจ้าบอกว่าใครนะ?”
“ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉางซุ่นกับพระชายาขอรับ!” คนคนนั้นตอบ “พอเรื่องเกิดขึ้นก็มีคนเข้าไปกราบทูลข่าวการตายของพวกเขาตั้งแต่เช้าตรู่ทันทีเลยขอรับ!”
คำพูดยังไม่ทันจบลง เซียงเฉ่าที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ตกใจร้องขึ้นมา ส่วนหลัวอวี่ก่วนขาอ่อนหมดแรงจนล้มลงไปแล้ว
——————————————-