เจ้าหรู่เฉิงครอบครัวมีกินมีใช้ เขาซื้อบ้านใกล้ๆ กับสำนักเต๋าไว้พักเองหลังหนึ่ง มีข้ารับใช้นับสิบคนคอยปรนนิบัติรับใช้ จึงไม่ค่อยมาอยู่ที่หอพัก ส่วนตู้เหยี่ยหู่พอกลิ่นสุราเริ่มติดตัวก็ใช่ว่าจะหยุดได้ในเวลาเพียงครู่เดียว
ด้วยเหตุนี้เมื่อเจียงวั่งกลับถึงหอพัก จึงพบว่าในห้องที่ปกติจะเอะอะวุ่นวายเหลือเพียงเขาคนเดียว
หลังจากปิดประตู เขามองไปยังเตียงฝั่งซ้ายมือด้านในสุดตามจิตใต้สำนึก
บนเตียงมีเครื่องนอนซักสะอาดพับซ้อนกันเป็นระเบียบ คุณภาพวัสดุไม่ต่างจากเครื่องนอนของคนอื่นในหอพัก ตอนนี้บนเตียงไม่มีคนอยู่ หลังจากนี้ก็จะไม่ปรากฏตัวอีกตลอดกาล
นี่คือเตียงของฟางเผิงจวี่ ตระกูลของเขาร่ำรวย แต่ไม่เคยหยุมหยิมกับเรื่องเล็กน้อย ร่วมกินดื่มกับคนอื่น ไม่เคยจู้จี้จุกจิกเลย
เตียงฝั่งตรงข้ามกับฟางเผิงจวี่ว่างเปล่า ด้านบนมีสัมภาระกองอยู่มากมาย
เตียงทั้งสองฝั่งถูกแบ่งเช่นนี้ หนึ่งฝั่งมีสามเตียง
เตียงที่สองฝั่งซ้ายมือติดกับฟางเผิงจวี่เป็นเตียงที่รกสุดในห้อง เครื่องนอนกองรวมกันเป็นก้อน ประดับประดาด้วยเสื้อผ้าระเกะระกะ หากลองดมจะได้กลิ่นสุราอ่อนๆ หากก้มลงมองใต้เตียงจะเห็นไหสุรามากมายเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ พอเทียบกับสิ่งแวดล้อมที่เจ้าของเตียงพักอยู่ ไหสุราพวกนี้ถูกดูแลอย่างดิบดีทีเดียว
เตียงแรกสุดของฝั่งซ้ายอยู่ติดประตู จึงเป็นเตียงของหลิงเหอ…เขามักจะรับผิดชอบเปิดปิดประตูให้คนอื่น บนเครื่องนอนยังมีรอยเย็บปะที่ไม่เตะตานักอยู่หลายแห่ง แต่ว่าถูกซักไว้สะอาดสะอ้านยิ่ง
เตียงแรกทางฝั่งขวาเป็นของเจียงวั่ง เครื่องนอนของเขาไม่ต่างอะไรจากของหลิงเหอนัก แม้จะไม่ได้กลับมานานแล้ว เตียงก็ยังคงสะอาดเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่ามีคนคอยดูแลให้บ่อยๆ อาจจะเป็นหลิงเหอ อาจจะเป็นเจ้าหรู่เฉิง…หรืออาจจะเป็นฟางเผิงจวี่ก็ได้
เตียงที่สองทางฝั่งขวาถัดจากเจียงวั่งเป็นเตียงของเจ้าหรู่เฉิง เตียงของเขามีเอกลักษณ์ที่สุดในหอพัก เครื่องนอนผ้าปูทั้งหมดล้วนเป็นสินค้าชั้นเยี่ยมจากร้านเมฆาพาฝัน บนเตียงหอพักหลังเล็กๆ ยังมีมุ้งปักดิ้นทองกางไว้อีก เทียบกับตู้เหยี่ยหู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วต่างกันราวฟ้ากับเหว
คนที่ไม่สนิทด้วยส่วนใหญ่จะคิดว่าเจ้าหรู่เฉิงคบหายาก แต่แท้จริงแล้วแค่มาตรฐานการใช้ชีวิตของเขาสูงไปหน่อยเท่านั้น ถึงแม้จะมาพักที่หอพักเพียงครั้งคราว ก็ต้องสุขสบายมากที่สุด เขากระทั่งเคยคิดจะใช้เงินมหาศาลปรับปรุงทั้งห้องให้เป็นห้องพักชั้นสูงอันดับหนึ่งด้วยซ้ำ…ถ้าไม่ใช่เพราะโดนเจียงวั่งซัดไปยกหนึ่งเสียก่อน
นับตั้งแต่สอบเข้าสำนักเต๋าสายนอกตอนอายุสิบสี่จนถึงปัจจุบัน เจียงวั่งใช้ชีวิตอยู่ที่ห้องพักนี้มาสามปีแล้ว คุ้นเคยรายละเอียดทุกซอกมุมในห้องเป็นอย่างดี
สิ่งของคงอยู่ทว่าคนจากไปแล้ว
เจียงวั่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอดถุงเท้า ปลดเสื้อนอก ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงของตนเอง
เขาเหนื่อยมาก ล้ามาก ทว่าจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็หลับอย่างวางใจได้เสียที
ยามตื่นก็จมดิ่งอยู่กับเรื่องราวสารพัน ยามหลับก็เฝ้ารอให้ถึงช่วงฟ้าสาง
ทุกทิศของเมืองเฟิงหลินถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ จวนเจ้าเมืองตั้งอยู่ใจกลาง ทอดแผ่ออกไปสี่ทิศ เมืองด้านตะวันออกคือพื้นที่ของสำนักเต๋า ตระกูลชนชั้นสูงอยู่ด้านตะวันตกของเมือง เมืองทางทิศใต้ส่วนใหญ่คือชาวบ้านทั่วไป ส่วนพวกพ่อค้าคหบดีจะรวมตัวอยู่ทางเหนือของเมือง
พอเห็นเจียงวั่งออกมาจากห้องฝึกสมาธิของเจ้าสำนักอย่างปลอดภัย หลิงเหอจึงค่อยอุ้มศพฟางเผิงจวี่ออกจากสำนักเต๋าไปคนเดียว
ฟางเผิงจวี่ครั้งยังมีชีวิตอยู่มีคนสนับสนุนมากมาย มีสหายหลายคน ตอนตายไปกลับไม่มีใครเหลียวแล
เขาทำเรื่องต่ำช้าสามานย์ สมควรแล้วที่ถูกคนเกลียด
หลิงเหอไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจแทนเขา เพียงรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง
เขาใช้เสื้อคลุมของตนห่อร่างฟางเผิงจวี่ไว้ เสื้อคลุมแม้จะเก่าแต่ก็สะอาดสะอ้าน
ส่วนการเดินเท้าของเขา จากตะวันออกของเมืองไปทางตะวันตกของเมืองไม่ถือว่าไกลอะไร เส้นทางไปคฤหาสน์ตระกูลฟางก็แสนจะคุ้นเคย ทว่าหลิงเหอเดินช้ายิ่ง ย่างก้าวหนักอึ้งนัก
เขาอาลัยอาวรณ์
เขาอายุมากที่สุด เขาควรจะดูแลน้องทั้งสี่ให้ดี แต่กลับทำไม่ได้
เขายังจำภาพที่ทั้งห้าคนร่วมสาบานกันริมแม่น้ำหลิวขจีได้เป็นอย่างดี จำรอยยิ้มเจิดจ้าของพี่น้องทุกคนได้
แม่น้ำหลิวขจีแตกสาขามาจากแม่น้ำชิง ทอดยาวอ้อมผ่านภูเขาหัวโค น้ำในแม่น้ำใสสะอาด สามารถส่องสะท้อนใบหน้าหนุ่มแน่นกับจิตใจของคนวัยหนุ่ม ปีนั้นพวกเขาพกกระบี่ออกเดินทาง ยกแก้วร่วมเสวนา ลับฝีมือวิชายุทธ์กันนับครั้งไม่ถ้วน สนทนาพาทีกันใต้แสงเทียนไม่รู้กี่ค่ำคืน
พวกเขาสัญญากันไว้ว่าจะเข้าสำนักสายในด้วยกัน จะปกครองฟ้าดินด้วยกัน จะยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน ความทรงจำเหล่านั้น…สัญญาเหล่านั้น
หลิงเหอไม่เคยคิดเลยว่าห้าคนที่ถูกคอกันอย่างดี มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น จะมีวันที่แตกหัก ต้องห้ำหั่นจนตายกันไปข้าง
นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน
หลิงเหอขบคิด
เขาคิดไม่ออก แต่ก็ยังอุ้มศพที่เย็นเหมือนน้ำแข็งของฟางเผิงจวี่เดินมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลฟางในที่สุด
“เจ้าจะทำอะไร” คนเฝ้าประตูขวางเขาไว้พร้อมถาม
คฤหาสน์ของตระกูลฟางช่างสูง สูงเสียเหลือเกิน
“อ้อ” หลิงเหออุ้มศพของฟางเผิงจวี่ ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย “ฟางเผิงจวี่จากไปแล้ว ข้ามาส่งศพของเขากลับ ให้ตระกูลของท่านทำพิธีฝัง”
ถ้าหากไม่มีคนทำพิธีฝัง ศพจะถูกทางการนำไปจัดการรวมกันที่สุสานศพไร้ญาติ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่พวกมารนอกรีตชอบไปเยี่ยมเยียนเป็นที่สุด ตายไปก็ยากจะหลับอย่างสงบ
คำพูดนี้หลิงเหอคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูด เขาไม่ใช่คนชอบโอ้อวดความดีความชอบ และไม่คิดว่านี่เป็นคุณงามความดีอะไร
คนเฝ้าประตูหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นปิดประตูใหญ่ลั่นดาล ส่งเสียงลอดออกมาจากหลังประตู “เจ้าพาไปเถอะ! นายท่านบอกว่าไม่ให้เขาผ่านประตูเข้ามา!”
“พี่ชายน้อย” หลิงเหอเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ “โปรดเข้าไปแจ้งประมุขตระกูลท่านสักนิดเถิด เผิงจวี่ถึงอย่างไรก็เป็นสายเลือดตระกูลฟาง พวกเขาอาจจะแค่โกรธเคืองช่วงหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางไม่สนใจหรอก”
คนเฝ้าประตูลังเลพักหนึ่ง “ข้าจะไปถามอีกรอบ…เจ้าอย่าถือโอกาสนี้บุกรุกเข้ามาล่ะ!”
“พี่ชายน้อยวางใจเถิด”
หลิงเหออุ้มศพฟางเผิงจวี่ไว้ ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลฟาง ฟังเสียงฝีเท้ารีบร้อนนั้นห่างออกไปไกล
เขาก้มหน้าลงพูดกับใบหน้าที่เย็นเยียบไปนานแล้วของฟางเผิงจวี่ “เผิงจวี่ ดูซิว่าเจ้าก่อเรื่องอะไรเอาไว้ ตายไปก็ไม่มีใครจดจำความดีของเจ้าแล้ว แม้แต่เทพผียังรังเกียจ”
ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงของคนเฝ้าประตูถึงจะดังมาจากด้านหลังประตูอีกครั้ง
“นายท่านบอกว่า” เขาเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยทวนน้ำเสียงของประมุขตระกูล “ตายก็ตายไปแล้ว ยังจะแบกกลับมาทำไม”
หลิงเหอตกตะลึง กล่าวเสียงแผ่วว่า “ตระกูลฟางเป็นตระกูลมีเกียรติ ควรจะให้เกียรติเผิงจวี่บ้าง”
“นายท่านบอกว่า ท่านรู้สาเหตุการตายของฟางเผิงจวี่ชัดเจนแล้ว คนที่ไร้คุณธรรมเช่นนี้ไม่ใช่คนตระกูลฟาง!”
“แต่ว่าเขาเป็นคนตระกูลฟาง” หลิงเหอพูดขึ้น
“เจ้าไปเสียเถอะ!” คนเฝ้าประตูโยนเหรียญมีด[1]ออกมาจากร่องประตู “ถ้ายังไม่เลิกวุ่นวายพวกเราจะแจ้งทางการ!”
เหรียญมีดเหล่านั้นหล่นลงพื้นดังกรุ๊งกริ๊ง ดึงดูดสายตาคนอย่างมาก ถ้าหากนำมาใช้ฝังศพศพหนึ่งแบบเรียบง่ายถือว่าเหลือเฟือ เงินที่เกินมาถือเป็นค่าจัดการ
นี่คือท่าทีของตระกูลฟาง
หลิงเหอนิ่งงัน
เขาไม่พยายามพูดอะไรต่ออีก
เขายากจนมาก ขัดสนตั้งแต่เด็ก เขาขาดแคลนเงิน เสื้อคลุมตัวเดียวที่สมบูรณ์ดีห่ออยู่บนศพของฟางเผิงจวี่ เสื้อตัวในของเขาก็มีรอยปะอยู่มากมาย เขายืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลฟางที่หรูหราร่ำรวย ราวกับญาติจนๆ ที่ถูกปิดประตูไม่รับแขกคนหนึ่ง
เขาอุ้มศพฟางเผิงจวี่หันหลังเดินจากไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่เหลียวมองเหรียญมีดพวกนั้นเลย
นี่ก็คือท่าทีของหลิงเหอ
……………………………………….
[1] เหรียญมีดหรือเตาปี้ เป็นเงินที่ใช้กันแพร่หลายในยุคชุนชิวจ้านกั๋ว มีลักษณะคล้ายกับมีดเล็กๆ