ครั้นเห็นว่าจ้าวเหวินเทามาแล้ว จงย่งก็รีบเดินเข้ามา “พี่จ้าว ผมกำลังรอพี่มาอยู่พอดีเลย ถั่วงอกวันนี้ผมเหมาหมดเลยนะ แล้วก็เนื้อด้วย ผมเหมาหมดเหมือนกัน!”

จงย่งพูดอย่างภาคภูมิใจ จ้าวเหวินเทามองจำนวนคนที่ยืนต่อแถวปราดหนึ่ง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขายให้คนเหล่านี้หมดก็ใช้เนื้อกับถั่วงอกจำนวนมากของฉันไม่หมดหรอก นายไปเจอลูกค้ารายใหญ่คนไหนมาล่ะ?”

จงย่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็มีสองสามบ้านนี่แหละที่กลับมาอุดหนุนอีก บอกว่าอยากกินเกี๊ยว แถมยังต้องการในปริมาณมากด้วยนะ”

“นี่ถ้านายเป็นแบบนี้ทุกวันงานของฉันคงเบาลงเยอะเลย” จ้าวเหวินเทานำถั่วงอกและเนื้อวางไว้ให้เขา ก่อนจะถามอีกว่า “ฉันยังมีกระดูกด้วยนะ กระดูกแกะกับกระดูกหมู นายเอาไว้สักหน่อยไหมล่ะ?”

อย่าถามคนอื่นว่าอยากได้ไหม แต่บอกไปตรง ๆ เลยว่าให้นายเอาไว้สักหน่อย นี่คือทักษะการเจรจาของจ้าวเหวินเทา

“กระดูกเหรอ?” จงย่งมองถุงกระสอบนั้น พูดด้วยความประหลาดใจ “พี่จ้าว ทำไมพี่ถึงเอากระดูกมาเยอะแยะขนาดนี้ล่ะ กระดูกไม่มีเนื้อเลย”

“นี่นายคงไม่รู้สินะ?” จ้าวเหวินเทามองเขา “กระดูกสามารถนำไปต้มน้ำแกงได้นะรู้ยัง? ใช้น้ำแกงกระดูกเป็นน้ำแกงบะหมี่ อย่าหาว่าพี่ชายคนนี้ไม่สนใจนายเลย นายคิดดูเอาเองก็แล้วกัน”

จงย่งดวงตาเป็นประกาย เขายกนิ้วโป้งพร้อมกับกล่าวชม “พี่ใหญ่จ้าวหัวใสจังครับ!”

จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้ำแกงจากการต้มกระดูกเรียกว่าน้ำสต๊อก เอาไว้ราดเส้นบะหมี่ เกี๊ยว เอามาทำเป็นเสี่ยวหลงเปา แล้วก็เอามาทำอาหารได้ หอมกว่าเติมน้ำธรรมดาตั้งเยอะ แถมยังมีโภชนาการด้วย”

อย่าว่าแต่คนรุ่นหลังเลย ทุกคนล้วนรู้จักประโยชน์ของน้ำสต๊อกกันทั้งนั้น แต่ในตอนนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทราบ อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีประชาชนตัวเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ อย่างพวกจงย่งนี่แหละที่ยังไม่ทราบ ถึงอย่างไรคนที่ดิ้นรนอยู่บนเส้นทางในการตามหาความอบอุ่นและความอิ่มท้อง คนที่ต้องคิดว่าทำอย่างไรถึงจะเติมท้องให้อิ่มในทุกทุกวัน จะไปมีแนวคิดเกี่ยวกับน้ำสต๊อกได้อย่างไรกัน สิ่งนี้จ้าวเหวินเทาก็ได้ยินมาจากภรรยาถึงได้ทราบ

จงย่งได้เรียนอีกหนึ่งเคล็ดลับ จ้าวเหวินเทาไม่ใช่คนใจแคบ เขาพูดแบ่งปันไปไม่น้อย “วันนี้นายเอาไปลองฟรี ๆ ก่อนก็ได้ ครั้งหน้าถ้าจะเอากระดูกก็ต้องคิดเงินแล้วนะ”

“พี่จ้าว ผมรู้แล้ว ๆ” จ่งยงรู้สึกว่าจ้าวเหวินเทาคือผู้พลิกชีวิตให้เขา เหมือนกับที่เปิดร้านนี้ หากไม่มีพี่จ้าวค่อยชี้แนะก็คงทำไม่ได้จริง ๆ ยกตัวอย่างเช่นทำความรู้จักกับสถานีตำรวจทางฝั่งนั้น เขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน แต่หลังจากพี่จ้าวชี้แนะให้ นาน ๆ ทีเขาก็จะนำของไปให้นิด ๆ หน่อย ๆ เปิดร้านมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอันธพาลหน้าไหนกล้าเข้ามาทำตัวกำเริบเสิบสาน

จงย่งรับกระดูกไป ทั้งยังหยิบกระดาษไขมาห่อซาลาเปาร้อน ๆ สามลูกให้พี่จ้าวของเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

จ้าวเหวินเทาวางกระดูกแกะและกระดูกหมูไว้ส่วนหนึ่ง กลับไปก็จะเอาไปให้ภรรยาของเขาลองต้มน้ำแกงดูด้วย เขาเคยแต่ได้ยินภรรยาพูดแต่ยังไม่เคยได้ชิมเลย

เป็นเพราะจงย่งต้องการทั้งหมด เขาจึงไม่ต้องเดินไปตามถนนตรอกซอย ทั้งยังประหยัดเวลาด้วย จ้าวเหวินเทารับประทานซาลาเปาจนอิ่มท้องก็เดินทางกลับบ้าน

ตอนที่มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ก็พบว่ามีคนในหมู่บ้านกำลังขนฟืนเข้าไปในบ้าน จึงคิดขึ้นได้ว่าบ้านตัวเองก็ยังขาดฟืนอยู่ไม่ใช่เหรอ?

เขาใช้ขาข้างหนึ่งค้ำรถจักรยานไว้ ก่อนจะเรียกเด็กหนุ่มอายุ 15-16 ปีที่อยู่ในนั้น “ชุยต้า มานี่หน่อย”

ชุยต้าพักอยู่ด้านหลัง แม่ของเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว เขาอาศัยอยู่กับพี่และน้องชายพึ่งพากันและกันเพื่อความอยู่รอด ไม่ต้องพูดถึงการใช้ชีวิตที่แร้นแค้นนั้นหรอก ในแต่ละปีตอนที่เกิดความขาดแคลนชั่วคราวก็ต้องไปขอความช่วยเหลือจากในทีม

“พี่จ้าวหก พี่เรียกผมเหรอ” ชุยต้าจูงสัตว์เดินเข้ามา

“นี่เป็นฟืนที่นายขนมาเหรอ?” จ้าวเหวินเทาบุ้ยปากชี้

“ใช่ ฟืนนี้ของผมเอง ตอนนี้ต่างก็ขนฟืนกันหมด ช่วงนี้ก็ใกล้จะไม่มีแล้วล่ะ ต้องไปขนจากที่ไกล ๆ คงเหนื่อยแย่” ชุยต้ามองฟืนที่อยู่ด้านหลังพลางพยักหน้ากล่าว

“นี่เป็นฟืนอะไรเนี่ย?” จ้าวเหวินเทามองไปบนรถ “ยังมีฟืนตะกอนด้วย?”

ฟืนตะกอนก็คือกิ่งไม้แห้งที่หล่นลงไปในแม่น้ำแล้วถูกโกยขึ้นมาจากในน้ำ

ชุยต้ายิ้มอย่างซื่อ ๆ “ใช่แล้ว เพราะไม่มีฟืนแล้ว ผมก็เลยต้องโกยฟืนตะกอนขึ้นมาจากแม่น้ำสักหน่อยน่ะ”

จ้าวเหวินเทากล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “นายอย่าไปโกยฟืนตะกอนเลย นั่นอันตรายมากเลยนะ ตอนนี้น้ำก็เย็นมาก ถ้านายตกลงไปคงปีนขึ้นมาไม่รอดแน่ เดินไปไกลอีกหน่อย แต่ก็ปลอดภัยกว่า เข้าใจไหม?”

ชุยต้ายิ้ม “ขอบใจที่เตือนนะพี่หกจ้าว แต่ผมไม่ไปแล้วล่ะ”

เด็กคนนี้เติบโตมาแบบนอนกลางดินกินกลางทราย โดยปกติแล้วมีไม่กี่คนที่เป็นห่วงเขา จ้าวเหวินเทาพูดแค่ไม่กี่ประโยคก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาแล้ว แน่นอนว่า สาเหตุที่มากไปว่านั้นก็คือก่อนหน้านี้จ้าวเหวินเทาเคยให้ไข่ไก่ฟ้ากับเขา เขายังจำได้ไม่ลืม

“พี่จ้าวหก พี่เรียกผมมีอะไรหรือเปล่า?” ชุยต้าไม่ใช่คนโง่ เขาจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อน

จ้าวเหวินเทายิ้ม “ก็มีนิดหน่อย ฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลาไปขนฟืน ฉันอยากถามนายว่าช่วยฉันขนฟืนสักสองสามคันรถเพื่อให้ฉันใช้ช่วงฤดูหนาวได้ไหม นายไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้ให้นายทำงานฟรี ๆ หรอก ฉันจะจ่ายเงินให้นายด้วย”

เป็นเพราะชุยต้าตัวผอม ดวงตาคู่นั้นของเขาจึงดูกลมโตมาก ครั้นได้ยินประโยคนี้ดวงตาก็ยิ่งโตเข้าไปใหญ่ เขาพูดด้วยความประหลาดใจว่า “พี่หก พี่พูดจริงเหรอ?”

“อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ฉันยังจะหลอกนายอีกเหรอ ฉันเคยหลอกนายหรือไง ก่อนหน้านี้ฉันก็ให้ไข่ไก่ฟ้านายไปตั้งหลายฟอง จะทำไหมล่ะ? ถ้าไม่ทำฉันจะได้ไปหาคนอื่น” จ้าวเหวินเทายิ้ม

ชุยต้ารีบพูด “พี่หก ผมจะทำ! เรื่องดี ๆ แบบนี้ ทำไมผมจะไม่ทำล่ะ แต่พี่หก ผมขอไม่เอาเงินได้ไหม ผมอยากได้ข้าว พี่ให้ข้าวผมได้ไหม?”

จ้าวเหวินเทาชะงักไปเล็กน้อย “ทำไมล่ะ?”

ชุยต้าแอบรู้สึกไม่ดี ทว่าน้ำเสียงของเขาก็แฝงด้วยความขมขื่น “พี่หก ถ้าพี่ให้เงินผมแล้วเกิดอารองของผมรู้เข้า เขาคงเอาเงินไปหมดแน่”

พ่อของชุยต้ามีพี่น้องสองคน นอกจากพ่อของเขาแล้วก็ยังมีอารองของเขา ครอบครัวอารองของเขาใช้ชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม มีความสุขไร้กังวล เพียงแต่ชีวิตที่ดีนี้กลับมาจากการเอารัดเอาเปรียบครอบครัวของชุยต้า

ครอบครัวนี้ไม่มีผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นของอะไรก็เก็บไว้ไม่อยู่ ทั้งสามคนทำงานหนักมาตลอดหนึ่งปี แต่ก็แทบจะเป็นการทำงานให้ครอบครัวอาของชุยต้า แบบนี้ล่ะมั้งที่ทำให้เขายังไม่หิวตาย

ทุกคนต่างก็รู้ดีถึงสถานการณ์ของตระกูลชุย เพียงแต่รู้ไปแล้วจะทำอะไรได้ อีกฝ่ายเป็นพี่น้องแท้ ๆ จึงทำได้แค่พูดว่าไม่ยุติธรรมนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปจัดการกับความอยุติธรรมได้ ถึงอย่างไรเจ้าตัวเองก็ยังไม่ได้โวยวายขึ้นมา

จ้าวเหวินเทาเองย่อมเข้าใจดี แบบนี้อย่างไรล่ะที่เรียกว่าแต่ละบ้านต่างก็มีปัญหาเป็นของตัวเอง

“ได้ ฉันจะให้ข้าวนาย ฉันจะให้ทุกวันก็แล้วกันนะ ให้นายมาก ๆ เดี๋ยวอารองของนายก็คงเอาไปที่บ้านเขาจนหมด” จ้าวเหวินเทาคิด

ชุยต้าพยักหน้า “ใช่ ๆ พี่หกให้ผมแต่ละครั้งก็ไม่ต้องมากนะ ให้ผมกินได้สักสองมื้อก็พอแล้ว กินเข้าไปอยู่ในท้องหมดพวกเขาก็ไม่มาเอาไปแล้วล่ะ”

จ้าวเหวินเทาอดไม่ได้ที่จะพูด “พวกเขาอยากได้นายก็ให้เหรอ? นายหนักแน่นสักหน่อยไม่ได้เลยหรือไง?”

ชุยต้าละอายใจ แต่กลับพูดด้วยความไม่เต็มใจว่า “พี่หก ผมเองก็อยากห้ามอยู่หรอก แต่ผมก็อยู่บ้านตลอดเวลาไม่ได้ พ่อของผอยากให้ ผมจะทำอะไรได้ล่ะ?”

ยอมเขาเลย มีพ่อแบบนี้นับว่าซวยชะมัด

“เอาล่ะ นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ตอนเช้านายก็ขนฟืนมาให้ฉัน ตอนบ่ายนายก็ขนฟืนให้ตัวเอง ดูจากความจุของรถในตอนนี้แล้ว ฉันคาดว่าช่วงเช้าน่าจะขนได้สามคันรถ แล้วฉันจะให้ธัญพืชกับนายหนึ่งชั่งครึ่ง นายคิดว่าไง?”

“ได้ครับ” ชุยต้าพยักหน้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ธัญพืชหนึ่งชั่งครึ่ง เวลาแบบนี้กินแบบประหยัดสักหน่อย หนึ่งคนก็สามารถรับประทานได้สองวันแล้ว!

ชุยต้าพูดอีกว่า “พี่หก งานนี้พี่ให้ผมทำนะ อย่าให้คนอื่นทำล่ะ”

“ก็ต้องดูที่ประสิทธิภาพของนายแล้วล่ะ ฉันไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นฟืนอะไร ขอแค่จุดไฟติดก็พอ แต่ฉันบอกไปแล้วนะ ห้ามไปโกยฟืนตะกอนอีก ถ้าเกิดอันตรายขึ้นมาฉันคงรับผิดชอบนายไม่ไหว” จ้าวเหวินเทาพูดเตือนนำไว้ก่อน

“ผมไม่ทำแบบนั้นแล้ว ผมจะไปที่ไกล ๆ” ชุยต้ารับปาก

“อืม นายก็ระวังด้วยล่ะ เรียกให้น้องชายไปเป็นเพื่อน ตอนที่มาส่งฟืนที่บ้านพี่สะใภ้ของนายจะช่วยจดบัญชีไว้ ตอนบ่ายหรืออาจจะเป็นตอนค่ำหลังจากฉันกลับมา ฉันจะเอาข้าวไปจ่ายเป็นค่าจ้างให้” จ้าวเหวินเทาพูดถึงขั้นตอนการแลกเปลี่ยนซื้อขายอย่างละเอียดเสร็จก็กลับบ้านไป

……………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เหวินเทาช่วยคนอื่นไว้เยอะเหมือนกันนะ เห็นท่าทางเอ้อระเหยลอยชายแบบนั้นน่ะ

ครอบครัวชุยต้าลำบากจัง หาอะไรมาได้ก็โดนครอบครัวบ้านรองเอาไปหมด

ไหหม่า(海馬)