ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 69 ไป๋ตี้คือแซ่ (ตอนปลาย)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

พลังกระบี่ ก็คือกระบี่ที่ไร้รูปร่าง

ขณะนี้พลังกระบี่ออกจากห้องโถงใหญ่ของตำหนัก แทงทะลุไปยังประตูตำหนัก ผู้อาวุโสเขาหลีซานมีปราณแท้ที่ลึกซึ้งล้ำเลิศจากการฝึกบำเพ็ญเพียรด้วยความทุกข์ทรมานมานานหลายปี ไม่ว่าฟ้าดินมีรูปร่างหรือไร้รูปร่างก็คงจะถูกกระบี่เล่มนี้ผ่าออกเป็นสองซีก ไม่ว่าจะเป็นลั่วลั่วหรือว่าจะเป็นเฉินฉางเซิงที่ถือกระบี่อยู่ตรงหน้าเมื่อใดก็ตามล้วนแต่ไม่อาจต้านทานกระบี่เล่มนี้ได้

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น เงาร่างหนึ่งมาอยู่ตรงหน้ากระบี่เล่มนั้นอย่างรวดเร็วปานอสนีบาต

เสียงเปรี้ยงดังขึ้นเบาๆ พลังกระบี่ของเสี่ยวซงกงองอาจกล้าหาญไม่อาจต้านทานได้ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถต้านทานเช่นนี้ได้!

สิ่งที่ทำให้ผู้คนในตำหนักตกตะลึงก็คือ คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่สามารถต้านทานพลังกระบี่นี่ได้จะเป็นฝ่ามือคู่หนึ่ง!

ฝ่ามือคู่นั้นปกคลุมด้วยแสงสีทองของกระบี่บางๆ คล้ายกับถูกหล่อหลอมด้วยทองคำมิปาน

ทั่วทั้งผืนเงียบสงัด

ระหว่างพลังกระบี่ของผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงกับฝ่ามือคู่นั้น มีเสียงเปรี้ยงปร้างดังขึ้นมา

ในเวลาต่อมา ความมืดยามราตรีด้านนอกของวังเว่ยหยาง ทั้งยังมีเสียงดังเปรี้ยงปร้างดังตามขึ้นมา!

กระบี่กับฝ่ามือหยุดนิ่งอยู่ด้านหน้าสายตาของฝูงชน บรรยากาศโดยรอบคล้ายกับว่าจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ความมืดมิดยามราตรีด้านนอกตำหนักราวกับว่าได้แตกสลายไปเรียบร้อยแล้ว

เสียงโครมดังขึ้น!

ด้านนอกวังเว่ยหยาง ค่ายกลที่แม้แต่ลมฤดูใบไม้ร่วงที่ไม่สามารถทะลุผ่านได้ พังทลายในพริบตา!

ความมืดยามราตรีที่หนาวเย็นเล็กน้อยพรั่งพรูเข้ามา โชยพัดเสื้อคลุมยาวของบรรดานักเรียนอาจารย์สำนักต่างๆ ที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งเกิดเสียงพึ่บพั่บดังขึ้น มีลำแสงของไข่มุกราตรี เวลานี้ราวกับว่ากวัดแกว่งไปมา!

ผู้คนที่อยู่ใกล้บริเวณประตูตำหนัก ล้มหงายหลังติดต่อกัน ใบหน้าซีดเผือด หมดหนทางที่จะสูดลมหายใจเข้าออก จึงไม่สามารถตะโกนออกมาได้

ปราณแท้ที่แข็งแกร่งชนปะทะกัน ก่อเกิดเป็นการปะทะที่น่าหวาดกลัว

ด้านในตำหนักยังคงเงียบสนิท มีเพียงเสียงคำรามของลมยามค่ำคืน

พลังกระบี่ค่อยๆ สลายตัวไป

ฝ่ามือคู่นั้นค่อยๆ ชักกลับไป

เจ้าของฝ่ามือคู่นั้น เป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีรูปร่างหน้าตาและจิตใจธรรมดา บุรุษวัยกลางคนผู้นี้อ้วนท้วมเล็กน้อย สวมเสื้อผ้าไหมเต็มไปด้วยลวดลายของเหรียญกษาปณ์ทองแดง มองแล้วเหมือนคนร่ำรวยที่มักจะพบเห็นในชนบท ไหนเลยจะมีกิริยาท่าทางเหมือนคนที่มีฝีมือ เมื่อยืนอยู่ด้านในของตำหนักเหมือนกับว่าเข้ากันไม่ได้อย่างยิ่ง

บุรุษที่ธรรมดาคนนี้ ใช้เพียงฝ่ามือทั้งคู่ ก็สามารถต้านทานพลังกระบี่ที่แอบแฝงไปด้วยความโกรธแค้นของเสี่ยวซงกงได้สบาย!

บุรุษวัยกลางคนชักฝ่ามือกลับ จ้องมองเสี่ยวซงกงที่อยู่ด้านในตำหนัก ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่ง หลังจากนั้นจึงถอยกลับไปอยู่ด้านหลังของลั่วลั่ว

เมื่อยืนอยู่ด้านหน้าลั่วลั่วก็เป็นเศรษฐีธรรมดา ยืนอยู่ด้านหลังของลั่วลั่วก็เป็นเศรษฐีธรรมดา ไม่ได้เผยสง่าราศีแห่งปรมาจารย์ออกมาสักนิด และก็ไม่ได้มีท่าทีแสดงละครเป็นผู้ดูแลที่จงใจ

เพราะว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงเศรษฐีธรรมดา เขาชื่นชอบเพียงแค่เงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทอง

แต่บรรดาผู้คนที่อยู่ในตำหนักคงจะไม่คิดอย่างนี้แน่ๆ สายตาของผู้คนที่จ้องมองบุรุษวัยกลางคนเต็มไปด้วยความตกใจกับงงงวย

เป็นบุรุษที่ทัดเทียมกับผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงแห่งเขาหลีซาน อย่างน้อยก็คงจะเป็นบุคคลระดับเหมาชิวอวี่หัวหน้าสำนักเทียนเต้า แล้วจะเป็นเศรษฐีที่ธรรมดาอย่างไร?

บรรดาคณะทูตทางใต้ไม่เอ่ยสิ่งใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาลูกศิษย์ของเขาหลีซาน ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ถึงแม้เป็นอาจารย์ปู่ก็นำความโกรธเคืองออกมาภายใต้กระบี่ เพราะว่าสาเหตุอยู่ที่ตำหนักต้าโจวจึงไม่สามารถปล่อยพละกำลังทั้งหมดออกมาได้ แต่บุรุษวัยกลางคนอาศัยเพียงแค่ฝ่ามือที่เป็นเนื้อหนังทั้งคู่ คิดไม่ถึงว่ามิได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง!

เสี่ยวซงกงยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะจ้องมองบุรุษวัยกลางคนที่อยู่บริเวณประตูตำหนัก ความรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าคิดเรื่องอะไรบางอย่างออก ทว่ากลับไม่อยากจะเชื่อ

มีเสียงบางสิ่งขาดดังขึ้นเบาๆ

เสียงนี้เบาอย่างยิ่ง มีเพียงกวนเฟยไป๋กับบรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ถึงจะได้ยิน

มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถมองเห็นชัดเจน เอวของผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงมีฝักกระบี่เหน็บอยู่……ปรากฏรอยแตกเส้นหนึ่ง!

มีฐานะเป็นศิษย์ของเขาหลีซาน แล้วเหตุใดพวกเขาถึงไม่เข้าใจว่านี่ความหมายว่าอย่างไร?

มิใช่เป็นการทัดเทียม และก็มิใช่การตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง บุรุษวัยกลางคนที่คล้ายกับธรรมดา คาดไม่ถึงว่าการแข่งขันครั้งนี้จะเอาชนะผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงได้

……

……

ในตำหนักเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง สายตาของผู้คนทั้งหมด ร่วงหล่นลงร่างกายของบุรุษวัยกลางคนธรรมดาที่อยู่ด้านหลังของลั่วลั่ว

สีหน้าของสวีซื่อจีเขียวก่ำ ในใจมีคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง เขารู้ว่านักเรียนสตรีผู้นั้นเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวงมีความเป็นมาลึกลับ ฐานะไม่ธรรมดา กลับคาดคิดไม่ถึง นางจะสามารถปราบผู้มีวิทยายุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่น่าเกรงกลัว เช่นนั้นบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นคือผู้ใด แล้วหญิงสาวที่นามว่าลั่วลั่วเป็นใคร

ชุดคลุมยาวที่อยู่บนร่างกายที่ผอมโซของเสี่ยวซงกงปลิวสะบัดเบาๆ นั่นเป็นเพราะว่าถูกสายลมยามราตรีด้านนอกตำหนักพัดโชยมา และก็เป็นเพราะว่ามือทั้งสองที่อยู่ในแขนเสื้อสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนหน้าที่ปะทะกัน เป็นเพียงแค่เวลาชั่วพริบตาแล้วแยกออกไป แต่เขาชัดเจนยิ่งนักว่าตนพ่ายแพ้แล้ว และยังได้รับการบาดเจ็บไม่น้อย ชีพจรได้รับการสั่นสะเทือน ปราณแท้ทะลักออกมาข้างนอก……แต่แท้จริงแล้วทำให้เขาได้รับความกระทบกระเทือนไม่น้อย มิใช่เพราะว่าความแข็งแกร่งของบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น แต่เป็นเพราะเขาคิดถึงเรื่องบางเรื่อง และคนบางคนได้รางๆ

เรื่องในปีนั้น คนในปีนั้น

เสี่ยวซงกงหรี่ตามองบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น รู้สึกลังเล พลางถามออกไป “ เจ้าคือ……”

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นยืนอยู่ด้านหลังของลั่วลั่ว กระแอมเบาๆ สองครั้ง ฟังออกว่า การประลองก่อนหน้านี้ เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

เสียงกระแอมเบาอย่างยิ่ง เข้ามาในโสตประสาทของเสี่ยวซงกง กลับราวกับเสียงของฟ้าผ่ามิปาน

บุรุษวัยกลางคน กล่าวว่า “ ไม่ผิด เป็นข้า ”

สีหน้าของเสี่ยวซงกงเปลี่ยนฉับพลัน แก้มที่เหี่ยวย่นขาวซีดประหนึ่งหิมะ ความโกรธแค้นทะลักออกมาทางแววตาอย่างไร้ขอบเขต กลับไร้หนทางที่จะปกปิดความหวาดกลัวที่อยู่ด้านลึกในใจ

“จินอวี้ลวี่!”

“ เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”

……

……

เสียงตะโกนของผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงเต็มไปด้วยความโกรธอาฆาตแค้น ดังก้องในวังเว่ยหยาง

นอกจากเสียงนี้ก็มิได้มีเสียงใดๆ ดังขึ้นมา

ทุกคนล้วนแต่ตกตะลึง จ้องมองในสายตาของบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น มิได้มีความงงงวย หลงเหลือเพียงแค่ความตกใจหรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นความยำเกรง

โก่วหานสือ กวนเฟยไป๋และลูกศิษย์ของเขาหลีซาน ล้วนแต่เคยได้ยินเรื่องที่ท่านอาวุโสเสี่ยวซงกงเกลียดชังที่สุดนับตั้งแต่เกิดมา เวลานี้จ้องมองบุรุษวัยกลางคนด้วยความสับสน

คนที่หยิ่งทระนงและเย็นชาดังเช่นถังซานสือลิ่ว หลังจากได้ยินนามของจินอวี้ลวี่ ก็จ้องมองบุรุษผู้นั้นด้วยความตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง คล้ายกับกำลังคิดยืนยันให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเห็นเป็นคนจริงๆ หรือไม่

เฉินฉางเซิงรู้จักบุรุษวัยกลางคนผู้นี้ เขาเพียงรู้ว่าบุรุษวัยกลางคนผู้นี้เป็นเพียงแค่พ่อบ้านที่อยู่ข้างกายลั่วลั่วเท่านั้น ทุกวันอาหารที่ส่งมาจากสวนร้อยหญ้าล้วนแต่เป็นการจัดเตรียมด้วยความตั้งอกตั้งใจของคนผู้นี้ เขาเคยทักทายกับบุรุษวัยกลางคนไม่กี่ครั้ง มองไม่เห็นถึงความพิเศษใดๆ รู้สึกว่า……บุรุษวัยกลางคนผู้นี้จู้จี้จุกจิกอย่างยิ่ง เหมือนกับเป็นคุณป้าท่านหนึ่งเสียมากกว่า

บุรุษวัยกลางคนผู้นี้เป็นเสนาธิการจินแห่งสวนร้อยหญ้า

เฉินฉางเซิงไหนเลยจะคาดคิดถึงว่า เสนาธิการจินที่เหมือนกับคุณป้าท่านหนึ่ง แท้จริงแล้วเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งเช่นนี้

แต่ว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อของจินอวี้ลวี่ ดังนั้นจึงหมดหนทางที่จะเข้าใจความเงียบสงัดในตำหนักกับสายตาแปลกๆ ของผู้คน

จินอวี้ลวี่ เป็นบุคคลในตำนานของดินแดนต้าลู่

เมื่อเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจร่วมมือกันต่อสู้กับเผ่ามารติดต่อกันหลายปีในครานั้น เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าดูแลเสบียงทั้งหมดสามครั้ง

หัวหน้าฝ่ายเสบียงสำคัญอย่างยิ่ง เพียงแค่ระยะเวลาผิดพลาด ไม่แน่อาจจะทำให้มีผลลัพธ์ที่พังพินาศน่าขมขื่น

เมื่อเขาบอกว่าขุนพลของอาหารจะส่งไปที่ไหนเมื่อไหร่ ก็จะต้องส่งให้ถึงเมื่อนั้น ไม่มีสักครั้งที่จะเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย

เพราะว่าเขากล่าวเพียงหนึ่งไม่มีสอง

คนที่ซักถามการตัดสินใจใดๆ ของเขา ล้วนแต่ถูกย้ายไปที่ดินแดนหิมะทางทิศเหนือ

จินอวี้ลวี่ เป็นแม่ทัพใหญ่หนึ่งในสี่ของเผ่าปีศาจ

จักรพรรดิไท่จงของต้าโจว เขียนชื่นชมเขาด้วยพระหัตถ์ว่า ปฏิบัติตามระเบียบอย่างยอดเยี่ยม!

……

……

เหมาชิวอวี่เจ้าสำนักเทียนเต้าอุทานออกมาเบาๆ พลันยืดตัวลุกขึ้น

เฉินหลิวอ๋องจนปัญญาอย่างยิ่ง ยืดตัวลุกขึ้น

ม่อ​อวี่ปวดศีรษะเล็กน้อย นวดระหว่างคิ้ว ในที่สุดก็ยืดตัวลุกขึ้น

ตามคุณธรรมและประสบการณ์ความดีความชอบในการสู้รบของจินอวี้ลวี่ เป็นธรรมดาที่จะต้องเคารพเช่นนี้ แต่สำหรับบุคคลที่ล่วงรู้ความลับของผู้ยิ่งใหญ่ในสวนร้อยหญ้า สิ่งสำคัญก็คือ ฐานะของจินอวี้ลวี่ได้เปิดเผยออกมาชัดแจ้ง เช่นนั้นฐานะของบางคนก็จะต้องชัดแจ้งออกมาด้วย ในเมื่อทุกคนในตำหนักจะต้องลุกขึ้น เช่นนั้นพวกเขาลุกขึ้นก่อนไม่ดีกว่าหรือ

การชุมนุมไม้เลื้อยในค่ำคืนนี้ จะต้องถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เป็นแน่

ผ่านไปชั่วขณะ ผู้คนที่เหลือในตำหนักในที่สุดก็มีท่าทีตอบสนองขึ้นมา

สายตาของพวกเขาเริ่มจากเสนาธิการจิน เบนไปยังร่างกายของหญิงสาวผู้นั้น เคลื่อนย้ายไปด้วยความเชื่องช้า เพราะว่าหนักอึ้งอย่างยิ่ง

สีหน้าของผู้คนในคณะทูตทางใต้ขาวซีด กวนเฟยไป๋มีความรู้สึกไม่ยินยอมแอบแฝงอยู่ ถอนหายใจหนักหน่วงออกมาหลายครั้ง

จิตใจของโก่วหานสือจริงจังหนักแน่น ในใจครุ่นคิดเดิมทีอยู่ในจิงตูมาตลอด

ณ ที่นั่งของสำนักเทียนเต้า จวงห้วนอวี่ค่อยๆ ยืดตัวลุกขึ้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ลำตัวสั่นไหวเล็กน้อย สุดท้ายแล้วมีท่าทางเหมือนกับวิญญาณออกจากร่างมิปาน

เมื่อการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนแรกได้เริ่มขึ้น มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนได้คาดเดาความเป็นมาของหญิงสาวในสำนักฝึกหลวงผู้นั้น

ผู้คนต่างรู้ว่านางมีความเป็นมาไม่ธรรมดา มีฐานะลึกลับ กลับไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาได้ถูกต้อง

จะกล่าวให้ถูก ไม่มีผู้ใดกล้าคาดเดาไปในทิศทางนั้น

ค่ำคืนนี้ จินอวี้ลวี่ยืนอยู่ด้านหลังของหญิงสาวผู้นั้นเงียบๆ ดูเหมือนว่าฐานะของหญิงสาวจะแสดงออกมาชัดเจน

ถังซานสือลิ่วจ้องมองลั่วลั่ว สีหน้าสับสน มิรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

ทั่วทั้งผืนเงียบสนิท ไร้เสียงของผู้คน

ในที่สุดก็มีคนมาทำลายความเงียบงันเสียที

เฉินฉางเซิงหันกายจ้องมองลั่วลั่วเงียบๆ

ลั่วลั่วก้มหน้าลง เอ่ยงึมงำ “อาจารย์ ข้าไม่ได้ตั้งใจหลอกลวงท่าน”

ครั้นเมื่ออยู่สำนักฝึกหลวงนางเคยถามแล้ว เพียงแค่เฉินฉางเซิงเอ่ยถามออกมา นางจะตอบทุกคำถาม

เฉินฉางเซิงไม่ได้กล่าวถาม

ตอนนี้ไม่ต้องถามก็รู้แล้ว

แต่คล้ายกับว่าจะขาดสิ่งใดไปบางอย่าง

เฉินฉางเซิงท่าทางตึงเครียดจ้องมองหญิงสาว ยิ้มออกมา พลางกล่าวถามอย่างอ่อนโยน “เจ้าคือใคร”

นางครุ่นคิด จึงตอบว่า “ข้าคือลั่วลั่ว”

เฉินฉางเซิงกล่าวด้วยความจริงจัง “นี่มิใช่เรื่องเลวร้าย เป็นเรื่องที่สมควรภาคภูมิใจ”

“ใช่แล้ว อาจารย์”

ลั่วลั่วเงยหน้าขึ้นมา จ้องมองสายตาที่มีลักษณะแปลกประหลาดหลากหลายของผู้คนในตำหนัก เดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างสงบนิ่ง

สายลมยามราตรีพัดโชยมาในตำหนัก เส้นผมตรงข้างแก้มทั้งสองปลิวไสวเบาๆ

นางสวมชุดของสำนักฝึกหลวง รูปร่างหน้าตางดงาม มีความอ่อนเยาว์ เป็นเพียงหญิงสาวที่ธรรมดาคนหนึ่ง

แต่เมื่อนางเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ราวกับยืนอยู่ด้านหน้าของทั่วทั้งใต้หล้า ยืนอยู่ต่อหน้าของทุกคน

ชุดสำนักฝึกหลวงของนาง ราวกับว่าแปรเปลี่ยนเป็นชุดของจักรพรรดินี ความรู้สึกสูงส่งมีเกียรติแผ่ออกมาจากร่างนาง

ผู้คนล้วนแต่รู้สึกว่าด้านหน้ามีแสงสว่าง

ที่นั่งในตำหนักคล้ายกับว่ามีแสงสว่างขึ้นมาจริงๆ

นี่เป็นความรู้สึกสูงส่งมีเกียรติจริงๆ

ผู้คนหลบสายตาของนางตามจิตใต้สำนึก มีบางคนจนถึงขนาดว่าถอยไปด้านหลังด้วยความหวาดกลัว ไม่มีผู้ใดกล้าจ้องมองสายตากับนางโดยตรง

ไม่ใช่เพราะว่าหวาดกลัว แต่เป็นเพราะสว่างเจิดจ้าเกินไป

นางเหมือนกับพระอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้นยามอรุณ

เงียบนิ่งและแดงอบอุ่น แต่จำเป็นต้องรักษาระยะห่างและความเคารพยำเกรงให้เพียงพอ

นางจ้องมองผู้คนในตำหนักด้วยความสงบนิ่งและภาคภูมิใจ พลางกล่าวออกมา “ ข้าแซ่ไป๋ตี้ ไป๋ตี๋ที่แปลว่าจักรพรรดิขาว ”

อาณาจักรเผ่าปีศาจทางทิศตะวันตกไกลหมื่นลี้ ส่วนลึกของดินแดนมีเมืองใหญ่ เป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำทุกสาย ภูเขาสูงใหญ่วิวทิวทัศน์งดงาม มีแม่น้ำแดงโอบล้อมผ่านแปดร้อยลี้

เมืองนี้มีชื่อว่าเมืองไป๋ตี้ เพราะว่าจักรพรรดิขาวพำนักอยู่ในเมืองนี้

นางเป็นธิดาคนเดียวของจักรพรรดิขาว

เนินดินทั้งสองฝั่งของแม่น้ำแดงไกลแปดร้อยลี้ล้วนแต่เป็นดินแดนของนาง

นางคือลั่วลั่ว

นางคือองค์หญิงลั่วลั่ว