ตอนที่ 315 ยากลำบาก

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

จิตใจของโจวเสาจิ่นเป็นทุกข์ยิ่งนัก นางจึงคิดถึงพี่สาวมากเป็นพิเศษ ตอนนี้ได้ยินว่าฝากจดหมายไปให้พี่สาวได้ นางไหนเลยจะนั่งติดที่ได้อีก!

นางยิ้มร่าพลางกล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับเฉิงฉือ จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ กลับเรือนฝูชุ่ยไป

ด้านหนึ่งนางบอกให้ชุนหว่านไปจัดเก็บผ้าคุณภาพดีหลายพับสำหรับใช้ตัดเย็บเสื้อผ้าอาภรณ์ให้กับพี่สาวและเลี่ยวเส้าถัง อีกด้านหนึ่งก็บอกให้ปี้เถาไปเปิดโต๊ะเครื่องแป้งของตนและนำเครื่องประดับศีรษะทองคำลายแปะก๊วยที่เพิ่งหล่อขึ้นใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อนชุดนั้นให้ไปด้วย ทั้งยังให้เสี่ยวถานนำความไปแจ้งภรรยาของหม่าฟู่ซาน ให้นางซื้อขนมและของหวานต่างๆ ที่โจวชูจิ่นชอบกินเป็นประจำเข้ามา ส่วนตนเองก็เริ่มฝนหมึก เตรียมจะเขียนจดหมายให้พี่สาว…งานยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนเลยทีเดียว

กลับเป็นฝานหลิวซื่อที่เกลี้ยกล่อมโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรอง ท่านไม่ต้องรีบนักก็ได้ พรุ่งนี้นายท่านสี่ถึงจะออกเดินทางเจ้าค่ะ!”

“ข้ามีข้าวของมากมายที่อยากจะฝากไปให้ท่านพี่นี่นา!” โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางถลกแขนเสื้อขึ้น ทว่าพอนั่งลงไปแล้วกลับไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรให้ดี

เรื่องของท่านน้าฉือก็เล่าให้ฟังไม่ได้!

เรื่องของเฉิงเจียกับหลี่จิ้งก็บอกไม่ได้ด้วยเช่นกัน!

นางยังจะเล่าเรื่องอะไรให้พี่สาวฟังได้อีกเล่า

นางกับพี่สาวกลายเป็นห่างเหินกันตั้งแต่เมื่อไรนะ

โจวเสาจิ่นอารมณ์ห่อเหี่ยวลง เล่าแต่เรื่องสัพเพเหระที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ของตนเอง แล้วจึงวางพู่กันลง ไปเลือกเสื้อผ้ากับเครื่องประดับให้พี่สาวพร้อมกับชุนหว่าน

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับดื่มน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ พลางเอ่ยถามเฉิงฉือยิ้มๆ ว่า “เจ้าไปไหวอันครั้งนี้ ตั้งใจจะเดินทางไปทางน้ำหรือ เสาจิ่นเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ความคิดยังใสซื่ออยู่”

แต่ก่อนเพื่อเป็นการประหยัดเวลาเฉิงฉือมักจะขี่ม้าไปทุกครั้ง เร่งรุดไปทั้งวันทั้งคืน แม้จะลำบาก แต่เพียงไม่กี่วันก็ถึงแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดเช่นนี้ เป็นการบอกเป็นนัยเฉิงฉือว่าโจวเสาจิ่นไม่เข้าใจความคิดความอ่านของเขาเลยสักนิด

เฉิงฉือคิดว่าเรื่องบางเรื่องควรจะบอกมารดาให้ชัดเจนไปเลยจะดีกว่า สุดท้ายแล้วโจวเสาจิ่นยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในสายตาของมารดา หากทำให้มารดาไม่พอใจขึ้นมา มีแต่จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนเป็นยุ่งยากซับซ้อนขึ้น เขาให้เสาจิ่นอยู่ข้างกายมารดาเพื่อที่จะปกป้องนาง มิใช่เพื่อให้เสาจิ่นมามีศัตรูเพิ่มขึ้น

สีหน้าของเขาผ่อนคลาย ยกจอกชาขึ้นมาจิบน้ำชาอย่างช้าๆ แล้วถึงได้กล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “นางเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นคนหนึ่ง จะเข้าใจอะไรได้หรือขอรับ เพียงเห็นว่านางมาอาศัยอยู่ในบ้านญาติตั้งแต่เล็กๆ ช่วยอะไรนางได้ก็ช่วยไปจะดีกว่า สำหรับเรื่องการสำนึกบุญคุณเหล่านั้น ข้าก็มิใช่ผู้ที่คอยสำรวจสีหน้าของผู้อื่นประเภทนั้นเหมือนกัน จะดีหรือไม่ดี ข้าก็รู้อยู่แก่ใจขอรับ!”

กล่าวอีกนัยก็คือ เป็นบุตรชายของตนที่สนใจอยู่เพียงฝ่ายเดียว!

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็รู้สึกหดหู่ใจ

บุตรชายของตนเองหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ทั้งมียศเป็นถึงจิ้นซื่อ และมีฐานะร่ำรวย ยามที่ออกไปข้างนอกมีหญิงสาวจากตระกูลใดบ้างที่ไม่มองเขาอย่างชื่นชม เหตุใดถึงต้องไปเอาอกเอาใจเด็กน้อยคนนั้นด้วยเล่า

แล้วเด็กน้อยผู้นั้นก็ยังโง่เขลาไม่รู้อะไรเลยอีกด้วย

บุตรชายของนาง เคยได้รับความอยุติธรรมเช่นนี้เมื่อไรกัน!

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดกล่าวเสียงสูงไม่ได้ว่า “ข้าไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่เจ้าทำความดีโดยไม่ทิ้งชื่อไว้!”

เฉิงฉือเองก็รู้ว่ามารดาจะมีปฏิกิริยาตอบกลับเช่นนี้ เขายกยิ้มขึ้นมาอย่างซุกซน พลางตอบว่า “เช่นนั้นท่านแม่ปรารถนาให้ข้าทิ้งชื่อไว้อย่างนั้นหรือขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดอะไรไม่ออก

รู้ดีว่าหากพูดต่อไปอีกก็จะเป็นการพูดเจาะถึงประเด็นเอาได้

จึงด่าไปประโยคหนึ่งว่า “ไอ้คนไม่รักดี” แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย “เมื่อวานข้าให้คนเอาแตงโมไปส่งให้เจียซ่าน ได้ยินคนที่ไปกลับมารายงานว่า เจียซ่านพันผ้าเช็ดหน้าไว้รอบคอ และจุ่มเท้าในน้ำ อ่านตำราอย่างคร่ำเคร่งยิ่ง เจ้าเป็นอาคนหนึ่งของเขาก็ควรไปดูเขาสักหน่อยถึงจะถูก”

เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวว่า “หลายวันก่อนข้ายังมอบหมายให้เขาเขียนความเรียงหลายหัวข้ออยู่เลยขอรับ ท่านคงไม่อาจให้ข้าไปสอบแทนเขาหรอกกระมัง! อีกอย่าง ท่านก็เห็นๆ อยู่ว่า ในบ้านมีจิ้นซื่อทั้งหมดถึงห้าคน มีคนไหนบ้างที่ไม่ได้ผ่านการตรากตรำอ่านตำรามาอย่างยากลำบากเช่นนี้ เหตุใดพอถึงคราวของเขาแล้วจึงรู้สึกว่าลำบากมากเป็นพิเศษเล่า มิน่าผู้อื่นถึงได้กล่าวกันว่าเด็กคนนี้ไม่อาจเติบโตมากับปู่ย่าได้ เพราะคงจะถูกตามใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นแน่”

“พูดจาเหลวไหล” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างไม่คล้อยตามว่า “ไม่ว่าจะเป็นเจิงเจี่ยเอ๋อร์ เซียวเจี่ยเอ๋อร์หรือเซิงเจี่ยเอ๋อร์ มีคนไหนบ้างที่ไม่ได้โตมากับข้า แต่ละคนล้วนเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมและฉลาดหลักแหลม พวกบุรุษศึกษาเล่าเรียนได้ไม่ดีเอง ไฉนถึงได้กล่าวโทษสตรีในห้องหอเล่า!”

สองแม่ลูกโต้เถียงกันอยู่นาน พอฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ระบายความอัดอั้นตันใจออกมาแล้ว เฉิงฉือก็ลุกขึ้นขอตัวกลับไป

แต่พอเฉิงฉือออกไปแล้ว ในใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับรู้สึกอ้างว้างขึ้นมาอีกครั้ง

ปี้อวี้เก็บจอกชาไปด้วย พลางกล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับนายท่านสี่นี่ช่างดีจริงๆ นะเจ้าคะ! ไม่เหมือนแม่ลูกคู่อื่นๆ ที่เวลาอยู่ด้วยกัน นอกจากคารวะกันแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นให้คุยกันอีก”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตะลึงงัน จากนั้นก็ยิ้มร่าขึ้นมา

เจ้าเด็กร้ายกาจผู้นี้ หากตั้งใจจะหลอกล่อให้ผู้อื่นดีใจขึ้นมา ก็จะหลอกล่อผู้นั้นจนหัวหมุนได้

เขาเห็นว่าตนอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นจึงหยอกเย้าตนเป็นพิเศษ!

หาไม่แล้วเขาจะหยิบยกเรื่องของตนเองกับโจวเสาจิ่นขึ้นมาพูดได้อย่างไรเล่า

หากว่าเรื่องราวถูกเปิดโปงขึ้นมา เกรงว่าเขาก็คงไม่รู้จะทำอย่างไรไปชั่วขณะเหมือนกันกระมัง

สุดท้ายเขาก็เป็นน้าชายผู้หนึ่ง ส่วนเสาจิ่นก็ยังเด็กอยู่ หากเรื่องราวถูกเปิดเผยขึ้นมา คนอื่นคงได้แต่กล่าวหาว่าเป็นความผิดของเขา…

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงคิดว่าบุตรชายเองก็อยู่ในสภาวะลำบากมากเช่นเดียวกัน

นางก็อย่าไปสร้างปัญหาให้บุตรชายเพิ่มอีกเลย

ให้เขาไปจัดการเองดีกว่า

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทอดถอนใจ

ซางมามาเห็นโจวเสาจิ่นตระเตรียมข้าวของให้โจวชูจิ่นหลายหีบ ก็อดปาดเหงื่อบนหน้าผากไม่ได้ กระซิบเตือนโจวเสาจิ่นไปว่า “คุณหนูรอง ครั้งนี้นายท่านสี่เดินทางไปไหวอันทางบกเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจไปชั่วขณะ

ซางมามาจึงได้แต่อธิบายไปว่า “นายท่านสี่ต้องเร่งเดินทางให้ถึงไหวอันภายในสองวันเจ้าค่ะ จะเปลี่ยนม้าที่ศาลาพักม้าแต่ละแห่ง ขากลับถึงจะแวะไปเจิ้นเจียงเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วใบหน้าร้อนผะผ่าว กล่าวอย่างกระดากอายว่า “ขะ…ข้าไม่รู้เลย ข้านึกว่าเป็นทางผ่าน ดังนั้นจึง…”

นายท่านสี่ให้ความสำคัญกับคุณหนูรองท่านนี้ถึงเพียงนี้ คงไม่อาจทำให้นางผิดหวังกลับไปหรอกกระมัง

ซางมามาขบคิดแล้วกล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “ถ้าหากคุณหนูรองไม่รีบ ไม่สู้ฝากจดหมายให้นายท่านส่งไปก่อน ส่วนข้าวของอื่นๆ ค่อยส่งไปให้ทางน้ำน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ”

“นี่…นี่จะดีหรือ” หากส่งของไปทางน้ำ ก็ได้แต่จ่ายเงินฝากของไว้กับผู้อื่น ถ้าหากเงินน้อย เกรงว่าจะมีคนมาจับจ้องสิ่งของในหีบห่อเหล่านั้น ต้องรู้ว่า สิ่งของในหีบห่อเหล่านี้อย่างน้อยที่สุดก็มีค่าถึงห้าร้อยเหลี่ยง ถึงเวลานั้นนอกจากสิ่งของจะหายไปแล้ว ยังมีสิ่งของบางอย่างที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ในห้องหอ หากว่าถูกคนที่มีเจตนาร้ายนำไปใช้ประโยชน์คงแย่แน่ โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นว่า “ข้าเก็บของเหล่านี้กลับไปดีกว่า”

ซางมามายิ้มพลางกล่าวว่า “คุณหนูรองไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ในอีกไม่กี่วันพวกข้าจะมีเรือเดินทางไปฉางโจว หากว่าท่านไว้ใจข้า ก็จดใบรายการแนบไปกับจดหมายให้นายท่านสี่เอาไปที่เจิ้นเจียง แล้วมอบหีบห่อเหล่านี้ให้ข้าช่วยส่งไปให้ท่านก็ได้เจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นย่อมไว้ใจซางมามาอยู่แล้ว

นางกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วมอบหีบเหล่านั้นให้ซางมามาไป

ฝานหลิวซื่อกล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าซางมามาผู้นี้มีพื้นเพภูมิหลังเช่นไร นายท่านสี่มีคนเช่นนางรับใช้อยู่ข้างกาย ไม่รู้ว่ารู้สึกเบาใจขึ้นมากเพียงใดนะเจ้าคะ!”

โจวเสาจิ่นนึกถึงซางมามาที่แบกนางไว้บนหลังขณะขึ้นไปหลบอยู่บนต้นตั๊กแตนต้นใหญ่หลังหอชิงเยียน ทั้งนึกถึงจี๋อิ๋งที่บั่นแขนข้างหนึ่งของเจียวจื่อหยางจนขาดสะบั้นในดาบเดียวแล้ว ก็พึมพำขึ้นว่า “เกรงว่าพวกนางล้วนไม่ใช่คนธรรมดา…ทำให้คนเหล่านี้มาทำงานให้เขาได้ เขาก็ต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน..”

แต่เขาไม่ใช่คนธรรมดาแล้วอย่างไร

เขาดีกับนางขนาดนี้!

รู้ว่าตนคิดถึงพี่สาว ตอนจะออกเดินทางไปต่างเมืองก็อาสาจะนำจดหมายไปให้พี่สาวให้นาง…นอกจากนี้ยังไม่ใช่ทางผ่านอีกด้วย…โชคดีที่มีซางมามาช่วยเตือนนางเอาไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นนางคงจะมอบหีบห่อเหล่านั้นให้เขาไปทั้งหมดเสียแล้ว เกรงว่าคิ้วของเขาจะต้องขมวดเข้าหากันแน่นจนบีบแมลงวันตายได้เลยทีเดียว…แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เขาก็คงจะช่วยส่งของไปถึงมือพี่สาวให้นางโดยไม่เอ่ยคำใดอย่างแน่นอนอยู่ดี…ทว่าพอนึกถึงท่าทางของเขาที่ลากหีบห่อหลายใบระหว่างเร่งรุดเดินทางอย่างหงุดหงิดแล้ว นางก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่พร้อมกับเอนนอนลงบนเตียง แล้วถามฝานหลิวซื่อยิ้มๆ ว่า “เจ้าว่า ท่านน้าฉือไปไหวอันพรุ่งนี้ ข้าควรไปส่งเขาหรือไม่”

นางอยากจะไปส่งเขา แต่กลัวจะถูกคนอื่นสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

ฝานหลิวซื่อเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “ท่านคิดเช่นนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ การขี่ม้าล่องเรือนั้นล้วนแล้วแต่อันตรายยิ่ง นายท่านสี่จะเดินทางไปข้างนอก แน่นอนว่าท่านต้องไปส่งเขาอยู่แล้ว! ไม่เพียงต้องไปส่งเขาเท่านั้น นอกจากนั้นยังควรแขวนพวกยันต์คุ้มครองความปลอดภัยบนตัวเขาสักอันหนึ่งด้วย เพื่อปกป้องคุ้มครองให้นายท่านสี่เดินทางโดยสวัสดิภาพถึงจะถูก ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้ว ก็จะได้รู้สึกปลาบปลื้มยินดีด้วยเจ้าค่ะ” แล้วแนะนำนางอีกว่า “นายท่านสี่เดินทางไปต่างเมือง ท่านควรจะสวดพระธรรมคุ้มครองความปลอดภัยให้นายท่านสี่มากขึ้นอีกสักสองสามบทสวดด้วยเจ้าค่ะ”

ในเมื่อฝานหลิวซื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว แสดงว่านางทำเช่นนี้ได้อย่างแน่นอนแล้ว

โจวเสาจิ่นใจเต้นขึ้นมาอีกครั้ง

นางคัดพระธรรมคุ้มครองความปลอดภัยม้วนหนึ่งให้เฉิงฉือทั้งคืน วันรุ่งขึ้นก็ลุกขึ้นตั้งแต่เช้ามืดตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่าง ล้างหน้าแต่งตัว แล้วไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคุ้นเคยกับการที่เฉิงฉือเดินทางไปข้างนอกอยู่บ่อยๆ จึงยังไม่ลุกขึ้นจากเตียง เอนพิงหัวเตียงขณะสอบถามเรื่องของเฉิงฉือว่า “…เขาตื่นหรือยัง นอกจากไหวซานแล้ว ยังพาใครไปด้วยอีกบ้าง จัดเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วหรือยัง”

สื่อมามาไปสืบข่าวที่เรือนหลีอินมาตั้งแต่เช้าแล้ว ขานตอบว่า “นายท่านสี่ตื่นตั้งแต่ยามเหม่าชู[1] และจัดเก็บข้าวของเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเจ้าค่ะ นอกจากไหวซานแล้ว ยังพาฉินจื่ออันไปด้วย คาดว่าจะมากล่าวอำลาท่านในอีกสามเค่อเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้ลุกออกจากเตียง มีสาวใช้และบ่าวหญิงคอยปรนนิบัตินาง พอได้ยินว่าโจวเสาจิ่นมาถึงแล้ว ก็ไม่ได้หลีกเลี่ยงนางให้เกิดความสงสัย บอกให้สาวใช้เด็กเชิญนางเข้ามา

โจวเสาจิ่นสูดหายใจเข้าลึก

ชาติที่แล้ว พี่เขยเคยบอกนางว่า ยิ่งตอนที่มีเรื่องอะไรอยู่ในใจก็ยิ่งต้องทำตัวให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

นางคลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน เดินเข้าไปด้วยสีหน้าผ่อนคลาย แล้วมอบพระธรรมที่คัดให้เฉิงฉือให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว พร้อมกับกล่าวว่า “หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าท่านน้าฉือต้องเดินทางไปต่างเมือง ก็คงจะไปขอยันต์คุ้มครองความปลอดภัยให้ท่านน้าฉือที่วัดสักอันแล้วเจ้าค่ะ! ในเมื่อไม่มียันต์คุ้มครองความปลอดภัย ข้าจึงคัดพระธรรมให้ม้วนหนึ่งแทน เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับมันดี ควรเผาให้องค์กวนอิมหรือถวายไว้ในห้องพระ หรือว่านำไปที่วัดดี…ข้าไม่เคยทำเรื่องพวกนี้มาก่อน คงต้องขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ”

นี่หากว่าไม่มีความคิดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นของเจ้าสี่จะดีมากเพียงใดนะ!

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจ พลางตบมือของโจวเสาจิ่นอย่างเอ็นดูเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “เด็กดี หายากที่เจ้าจะมีหัวใจเช่นนี้ พรุ่งนี้พวกเราไปจุดธูปที่วัด และถวายพระธรรมที่เจ้าคัดให้วัดก็แล้วกัน”

โจวเสาจิ่นดีใจเป็นอย่างมาก

นอกจากนางจะทำอะไรบางอย่างให้ท่านน้าฉือได้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็รู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างมากเหมือนที่ฝานหลิวซื่อได้บอกไว้ ความเย็นชาที่มีให้นางเมื่อวานนั้น ก็เปลี่ยนเป็นเอ็นดูและอบอุ่นขึ้นมาแล้ว

โจวเสาจิ่นจึงปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวล้างหน้าแต่งตัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ปล่อยให้นางช่วยเช่นกัน

ไม่นานนัก เฉิงฉือก็เข้ามากล่าวอำลา

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้โจวเสาจิ่นช่วยประคองนางออกจากห้องชั้นใน

เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นปรากฎตัวข้างหลังมารดา ก็รู้ว่านางมาส่งตนเอง เฉิงฉือจึงอารมณ์ดียิ่ง

หลังจากกำชับให้ “ระวังตัวตอนเดินทาง” และรับประทานมื้อเช้ากับมารดาและโจวเสาจิ่นเรียบร้อยแล้ว เขาก็ออกเดินทาง

โจวเสาจิ่นมองเขาขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่วว่องไวนั้นแล้ว น้ำตาเกือบจะไหลลงมา

ไหวอันอยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้น ต้องเร่งรุดให้ถึงภายในสองวัน การเดินทางในครั้งนี้ของท่านน้าฉือช่างลำบากยิ่งนัก

การหาเงินไม่ง่ายเลยจริงๆ!

ท่านลุงใหญ่เวิ่นไม่ควรจะผลาญเงินที่ท่านน้าฉือตรากตรำทำงานไปกิน ดื่ม เที่ยวหอนางโลมและเล่นการพนันเลยจริงๆ หนำซ้ำยังเลี้ยงอนุอยู่ข้างนอกผู้หนึ่งอีกด้วย

ไม่รู้ว่าหลังจากที่อู๋เป่าจางแต่งเข้าบ้านแล้วจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเฉิงนั่วได้หรือไม่!

แต่อย่าให้เป็นเหมือนที่ท่านน้าฉือคาดคะเนเอาไว้ที่ว่าไปพัวพันกับเฉิงลู่อะไรนั่นอีกก็แล้วกัน!

………………………………………………………………….

[1] ยามเหม่าชู เวลา 5.00 น.