ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 163 ขายหน้าจนถึงเขาไร้พรมแดน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอมายังเบื้องหน้าหลิวเซิ่งเฟิง

หลิวเซิ่งเฟิงหมอบอยู่บนพื้น ในดวงตาทั้งสองพลันมีแสงสีดำอันแปลกประหลาดไม่อาจคาดเดาได้ส่องประกายวาบผ่านไป

เขาก้มศีรษะลง เหมือนกับว่ากำลังลังเล

ครั้นรู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารที่ไม่ปิดบังแม้แต่น้อยของเยี่ยนจ้าวเกอ หลิวเซิ่งเฟิงก็เงยหน้าโดยพลัน ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มอันถ่อมตนมีมรรยาทจนคล้ายกับประจบสอพลอ “เจ้าพูดถูก ดวงตาคู่นี้ของข้า ไม่รู้จักมังกรแท้จริงๆ นั่นแหละ ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าอีกไม่นานก็จะมีพลังเหนือกว่าเจ้าอยู่แล้ว จึงถือโอกาสลงมือเสียตอนนี้ แต่ความเป็นจริงพิสูจน์ว่าข้ามีตาหามีแววไม่ ไม่ต้องรอจนถึงหลังจากนี้ เพราะตอนนี้ข้าก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า นับแต่นี้ไป ข้าก็ควรหลบเลี่ยงเจ้า”

หลิวเฟิ่งเซิงกล่าวด้วยความสัตย์จริง “เจ้าผู้ยิ่งใหญ่มีพลังมากล้น อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับข้าเลย”

หมีสยงเมายักษ์ตัวนั้นกะพริบตาปริบๆ เหมือนกับว่าไม่เข้าใจสถานการณ์เบื้องหน้าอยู่บ้าง

ส่วนจางเหยากับจอมยุทธ์วัยกลางคนผู้นั้นล้วนอ้าปากตาค้าง นี่คือคำพูดที่ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะท้ายสามารถกล่าวออกมาได้หรือ

นี่คือคำพูดที่ศิษย์สืบทอดหลักแห่งเขาไร้พรมแดน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งภูผาพิภพสามารถกล่าวออกมาได้หรือ

นี่คือคำพูดที่หลิวเซิ่งเฟิงผู้โหดเหี้ยมอำมหิตหยิ่งยโส ใช้อำนาจบาตรใหญ่ก่อนหน้านี้จะสามารถกล่าวออกมาได้หรือ

ดูเหมือนว่าหลิวเซิ่งเฟิงกลับไม่ใส่ใจกับเรื่องเหล่านั้นแม้แต่น้อย เขาพูดกล่าวได้ลื่นไหลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “เสื้อเกราะภูผาวิญญาณ อาวุธวิญญาณระดับล่างชิ้นนี้บนร่างกายข้า ข้ายินดีมอบให้เป็นการขออภัย”

เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “แน่นอน เจ้าสังหารข้าก็สามารถเอาเสื้อเกราะไปได้เช่นกัน แต่หลายปีมานี้ข้าก็มีสะสมไว้อยู่บ้าง แม้ว่าจะไม่ได้ล้ำค่านัก แต่ก็มีของที่พบเห็นได้น้อยอยู่บ้าง ล้วนมอบให้ได้ทั้งสิ้น”

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูหลิวเซิ่งเฟิง ไม่ได้พูดกล่าวอะไร

หลิวเซิ่งเฟิงยิ้มกล่าวด้วยความสุภาพนุ่มนวล “เจ้าไม่ต้องกังวลว่าปล่อยข้าไปแล้วข้าจะเป็นอันตรายในภายหลัง เจ้าพูดแล้วนี่ ว่าข้ารังแกผู้อ่อนด้อยกว่าด้วยกลัวยอดฝีมืออย่างไรเล่า เมื่อรู้ชัดแล้วว่าเจ้าแกร่งกว่าข้า ข้าจะยังเข้าไปขนไข่ไก่กับหินได้อย่างไรเล่า และถ้าหากข้ายังหลบเจ้าไม่ทันน่ะหรือ สถานที่ที่เจ้าจะปรากฏตัวในภายภาคหน้า ข้าจะถอยให้สามเซ่อทันที เจ้าคือเยี่ยนผู้ไร้เทียมทานรุ่นใหม่ ต่อไปจะต้องเหมือนบิดาเจ้าอย่างแน่นอน เหมือนเช่นผู้สะเทือนสวรรค์ ผู้อาวุโสผู้สูงส่งในสำนักเจ้า กลายเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงสืบไป ข้ามันก็แค่ผู้เล็กผู้น้อยคนหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจนัก คิดเสียว่าข้าเป็นแค่ลม ปล่อยข้าไปเถิด”

เขาเอ่ยพูดอย่างฉับไว คล้ายกับกลัวว่าหากตนเองพูดช้า เยี่ยนจ้าวเกอจะสังหารตนได้

จางเหยาไม่อาจดูต่อไปได้แล้วจริงๆ นางอดไม่ได้ที่จะกล่าว “ท่านไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของตนเองนะ แต่ท่านเป็นศิษย์ของเขาไร้พรมแดนด้วย!”

“ข้าคือความอัปยศอดสูของท่านอาจารย์ วันนี้หากสามารถรักษาชีวิตกลับไปได้ หลังจากกลับสำนักแล้วยินดีรับโทษไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม” หลิวเซิ่งเฟิงกล่าวพร้อมหัวเราะร่า “แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้จำเป็นต้องหยิบยกท่านอาจารย์มาพูด ถึงอย่างไรศิษย์น้องเยี่ยนผู้นี้…โอ้ ไม่ใช่สิ เป็นศิษย์พี่เยี่ยน ถึงอย่างไรศิษย์พี่เยี่ยนก็คงไม่เกิดความพะว้าพะวังภายใจด้วยเหตุนี้ หากเขาคิดไปเองว่าข้ากำลังคุกคามอยู่ เกิดโกรธยิ่งขึ้นในเวลาอันสั้น เช่นนั้นชีวิตน้อยๆ ของข้าจะไม่ยิ่งไม่มั่งคงหรอกรึ”

สตรีนางเดียวในเหตุการณ์อ้าปากตาค้าง มองดูหลิวเซิ่งเฟิงจนพูดไม่ออก

หลิวเซิ่งเฟิงไม่มองนางอีกต่อไป ทว่าหันกลับไปมองทางเยี่ยนจ้าวเกอ ดิ้นรนผุดกายลุกขึ้น ทั้งสองมือซ้ายขวากางออก ตบหน้าตนเองไปหลายครา “ข้าสมควรถูกตี ข้าสมควรได้รับโทษ ขอร้องเจ้าเพียงไว้ชีวิตข้าเท่านั้น”

เยี่ยนจ้าวเกอมองหลิวเซิ่งเฟิงอย่างสงบนิ่ง “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกไม่ใช่หรือ ว่าเจ้ามองข้าแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ต้องสังหารข้าเท่านั้น ถึงจะรู้สึกสบายใจ”

“ศิษย์พี่เยี่ยน นั่นข้าพูดจาเพ้อเจ้อ เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย” หลิวเซิ่งเฟิงรีบเร่งตบหน้าตนเองสองครา “สำหรับผู้ที่แกร่งกว่าข้า แต่ไหนแต่ไรล้วนเคารพนับถือนอบน้อม ข้าขอร้องเจ้าเพียงแค่ไว้ชีวิตข้าเท่านั้น อย่าสังหารข้า เจ้าให้ข้าทำสิ่งใด ข้าล้วนทำทั้งนั้น”

ชายหนุ่มไม่ตอบ เพียงยื่นมือออกไปคว้ากระบี่วิญญาณมังกรมรกตที่ยังฝังอยู่ในช่องเกราะภูผาวิญญาณบนร่างหลิวเซิ่งเฟิง จากนั้นก็กระตุกครั้งหนึ่ง

กระบี่อัสนีทองคำม่วงและดาบอัสนีบินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นพร้อมกัน ทอแสงแพรวพราวสอดประสานกับกระบี่วิญญาณมังกรมรกต

ขณะนี้หลิวเซิ่งเฟิงสิ้นแรงขยับกาย แม้ว่าเกราะภูผาวิญญาณบนกายเขาจะตอบสนองแรงกระตุ้น กระนั้นกลับเอาชนะอาวุธวิญญาณที่เยี่ยนจ้าวเกอขับเคลื่อนไม่ได้ จึงคลายตัวไปในทันที

“เกราะภูผาวิญญาณนี้ แน่นอนว่าต้องเชื่อฟังศิษย์พี่เยี่ยน” หลิวเซิ่งเฟิงไม่ใส่ใจนัก

จางเหยาอ้าปาก ไม่มีเสียงใดลอดออกมา

นั่นคืออาวุธวิญญาณเชียวนะ!

ต่อให้เป็นศิษย์สืบทอดหลักแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนนาง เหมือนซือคงจิง เหมือนเฉาหยวนหลง เหมือนเซียวอวี่ เหมือนหลี่จิ้งหว่านเช่นนี้ ทั่วไปแล้วไม่อาจได้รับอาวุธวิญญาณเช่นกัน

อาวุธวิเศษระดับบนหรือไม่ก็อาวุธวิเศษระดับกลางสิถึงจะเป็นบรรทัดฐาน

โดยทั่วไปแล้ว ศิษย์สืบทอดหลักของกลุ่มอิทธิพลระดับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ต้องสำเร็จระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาเสียก่อร อาจารย์ถึงจะมอบอาวุธวิญญาณให้ ผู้ที่ไม่บรรลุขั้นเคียงนภาแต่มีอาวุธวิญญาณ ถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษที่ตนทัศนาจรอยู่ภายนอก ก็เป็นผู้ที่ภูมิหลังตระกูลไม่ธรรมดาสามัญเหมือนเยี่ยนจ้าวเกอ เซียวเซิง และหลินโจวเช่นนี้

ไม่ว่าจะเป็นข้อแรกหรือข้อสอง ก็ล้วนมีจำนวนน้อยยิ่ง

แม้จะเป็นเช่นนี้ สำหรับจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์แล้ว อาวุธวิญญาณก็คือของล้ำค่ายิ่งชีพ

ถึงแม้ว่าชะตาชีวิตของหลิวเซิ่งเฟิงจะดูเหมือนอยู่ในกำมือของเยี่ยนจ้าวเกอ กระนั้นปฏิกิริยาโต้ตอบเช่นนี้ ก็ยังทำให้จางเหยางุนงงเพราะเขาอยู่ดี

ส่วนจอมยุทธ์วัยกลางคนที่บาดเจ็บสาหัสด้านข้าง ยิ่งทั้งริษยาทั้งขื่นขม ด้วยอิทธิพลฐานะเดิมของเขา ทั่วทั้งสำนักมีอาวุธวิญญาณเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น ถือเป็นของล้ำค่ายิ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอรื้อเกราะภูผาวิญญาณของหลิวเซิ่งเฟิง พลันผุดยิ้ม “คงมีเคล็ดสังหารสินะ เพียงแต่ ข้าไม่สนใจรอว่าเคล็ดสังหารของเจ้าเป็นลักษณะเช่นไร”

สิ้นเสียงกล่าว กระบี่วิญญาณมังกรมรกตส่องประกายกระบี่วูบวาบ

หลิวเซิ่งเฟิงเบิกตาโพลง

กลางอากาศพลันมีเสียงทอดถอนใจทอดส่งมา เยี่ยนจ้าวเกอคุ้นเคยกับสุ้มเสียงนี้นัก เพราะมาจากซานสือเวิง ผู้อาวุโสจากเขาไร้พรมแดน

“สำนักเคราะห์ไม่ดี สำนักเคราะห์ไม่ดีเสียนี่”

ลมเมฆบนเกาะน้อยปรวนแปร มือยักษ์ประดุจขุนเขาข้างหนึ่งยื่นออกมา กลางฝ่ามือส่งแรงดูดมหาศาลรับเอาหลิวเซิ่งเฟิงไป

ซานสือเวิงกลับไม่ได้มาถึงที่แห่งด้วยตนเอง บัดนี้ยอดฝีมือจากหอคลื่นโหมทำให้เกิดผลอันน่าทึ่งผ่านการขับเคลื่อนค่ายกล

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ไม่เพียงแต่อยู่ในสายตาของซานสือเวิง ผู้มีอำนาจของสำนักอื่นๆ ก็เห็นอยู่ในสายตาเช่นกัน

แม้ว่าซานซือเวิงจะชรากว่าทุกผู้ทุกคน ทว่าบัดนี้ก็รู้สึกว่าบนใบหน้าร้อนผ่าวอยู่พักหนึ่ง

ขายหน้า ตั้งแต่ทะเลสาบปิดนภา ตลอดจนหนทางกลับเขาไร้พรมแดนเสียแล้ว!

“ศิษย์ผู้นี้จะถูกควบคุมตัวอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น ไม่ให้เขาก่อเรื่องอีก ข้ารับประกัน” ซานสือเวิงทอดถอนใจพลางกล่าวถึงเยี่ยนจ้าวเกอว่า “สหายน้อยเยี่ยนท่านนี้ ศิษย์ใต้สำนักข้าล่วงเกินไปมากยิ่ง ยังต้องขออย่าได้ถือโทษ และยินดีต้อนรับเจ้ามาเป็นแขกเขาไร้พรมแดนอีกครั้ง”

ประโยคสุดท้ายนี้ หมายความว่าจะมีการชดใช้เช่นกัน

“ผู้อาวุโสเกรงใจเกินไปแล้วแล้วขอรับ” เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้สนใจการชดเชยนัก เทียบกันแล้ว เขาอยากจะสังหารหลิวเซิ่งเฟิงเสียมากกว่า

คนผู้นี้กล่าววาจาไม่เข้าหู ข่มเหงผู้อ่อนด้อยหวาดกลัวยอดฝีมือ ไร้ยางอาย ยามเรืองอำนาจกำเริบเสิบสานอำมหิต ยามหมดอำนาจไร้ซึ่งจิตใจที่หยิ่งจะในศักดิ์ศรี

ผ่านไปสักครู่หนึ่ง อาหู่และเซี่ยโยวฉานก็มาถึงแล้วเช่นกัน หลังจากทราบความเป็นมาเป็นไปของเรื่องราวแล้ว อาหู่ก็พลันแยกเขี้ยวยิงฟัน “น่าเสียดายที่อยู่บนเขตของหอคลื่นโหม น่าเสียดายที่มีผู้มีอำนาจแห่งเขาไร้พรมแดนเข้ามาแทรก ไม่อย่างนั้นต่อให้เขาเป็นคนของเขาไร้พรมแดน เขาก็ไปไหนไม่ได้”

เซี่ยโยวฉานและจางเหยาที่อยู่ด้านข้างได้ยินแล้ว ต่างก็สบตากันยิ้มขื่น

“คราวนี้หลิวเซิ่งเฟิงไม่มีหน้าเข้าร่วมการประชุมฝ่านภาแล้วเป็นแน่” เซี่ยโยวฉานฟังการเล่าบรรยายของจางเหยาจบ นางก็มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอพลางชื่นชม “ศิษย์น้องเยี่ยน เจ้าแกร่งยิ่งกว่าในคำร่ำลือเสียอีก การประชุมฝ่านภาครานี้ แม้ว่าจะมีพวกศิษย์พี่สวีเข้าร่วม แต่เจ้าก็จะกลายเป็นผู้ล้ำเลิศเหนือคนอื่นเช่นกัน”

………………..