“เจียวเจียวร์ เจ้าจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้ พวกเราจะก็ต่างคนต่างอยู่ แต่ขออย่างเดียว ปล่อยตระกูลโจวไป…” นายใหญ่โจวเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสลด
“ท่านจะบอกว่า ที่พวกท่านเอ่ย เป็นเพราะข้าหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“ไม่ใช่เพราะเจ้า” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางสะอื้น “เป็นเพราะพวกเรา”
เฉิงเจียวเหนียงเผลอยิ้ม มองนายใหญ่โจวครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
“ในเมื่อท่านลุงเป็นคนเอ่ยปากเอง เรื่องนี้ก็ช่างเถิด” นางเอ่ย
สาวใช้และปั้นฉินตกใจเล็กน้อย ส่วนนายใหญ่โจวกลับดีใจ
“เจียวเจียวร์ ข้าว่าแล้ว ว่าเจ้าจะไม่ละเลย” เขาเอ่ย พร้อมกับยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา ก่อนจะเดินเข้าไปหาด้วยความคาดหวัง
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“เช่นนั้น พวกเราต้องกินยาอะไรบ้างหรือ” นายใหญ่โจวถามอย่างลังเล
“ไม่ต้องกินยา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ยารักษาอาการป่วยของพวกท่านก็คือตัวพวกท่านเอง”
นายใหญ่โจวมีสีหน้าสงสัยเต็มประดา
“ท่านลุงทำเรื่องพวกนี้ ก็เพื่อหวังดีกับข้าใช่ไหม” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“ก็ใช่น่ะสิ ก็ใช่น่ะสิ” นายใหญ่โจวพยักหน้าไม่หยุด “เจียวเจียวร์ เจ้าจะต้องเชื่อพวกข้านะ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เรื่องนี้ ขอแค่หนึ่งประโยคก็แก้ได้” นางเอ่ย
หนึ่งประโยคก็แก้ได้อย่างนั้นหรือ
นางสาปพวกเขาจริงๆ สินะ
อีกอย่างไม่สนว่านางจะพบกับผู้บำเพ็ญพรตหลี่จริงๆ ไหม แต่สามารถแน่ใจได้ว่านางพบกับบุคคลพิเศษ
ได้ยินมาว่ามีบุคคลพิเศษบางคนสามารถทำร้ายคนอื่นด้วยการสาปแช่งได้ เฉกเช่นดัยวกับพ่อมดแม่มดตามตรอกบนท้องถนนนั่น
“พูดว่าอย่างไรหรือ” นายใหญ่โจวรีบถาม
“ก็คือคำที่ท่านลุงพูด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พลางยิ้มบาง “พวกท่านทำเรื่องเหล่านี้ ก็เพราะหวังดีกับข้า หากพวกท่านเชื่อคำพูดนี้ ข้าก็เชื่อ ทั้งท่านและข้าต่างเชื่อ เช่นนั้นอาการป่วยของพวกท่านก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยา ไม่กี่วันก็หาย”
แค่นี้หรือ ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ
นายใหญ่โจวตกใจเล็กน้อย
เนื่องจากนายใหญ่โจวอยู่ ประตูของตระกูลเฉิงจึงเปิดไว้
จินเกอร์ที่อยู่หน้าประตูกำลังว่าง จึงมองคนที่ผ่านไปมาบนท้องถนน ก่อนจะเห็นคนสองคนเดินเข้ามา เมื่อเห็นชัดๆ หนึ่งคนในนั้นแล้ว จึงร้องเอ๋ออกมา
“เหตุใดเจ้ามาอีกแล้ว” เขาถาม
บ่าวตรงหน้าไม่ตกใจกลัวยามเจอตนเองเหมือนครั้งก่อน ในทางตรงกันข้ามกลับมีท่าทีสบายๆ
“พี่ชาย ท่านชายของข้าเชิญหมอมาดูอาการให้นายหญิงของเจ้า” ผู้ติดตามวัยเยาว์เอ่ย พร้อมกับชี้หมอที่สะพายกระเป๋ายายืนอยู่ด้านหลัง
จินเกอร์ไม่ได้เอ่ยอะไร หมอคนนั้นมีสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนจะเอื้อมมือไปจับผู้ติดตาม
“พี่ชาย ท่านเชิญข้ามาดูอาการคนของตระกูลนี้หรือ” เขาถาม
ผู้ติดตามอายุน้อยหันหน้ามามองเขา เห็นสีหน้าเหมือนเจอผีของหมอ
“ทำไมหรือ ท่านตรวจคนไข้ ยังจะเลือกนั่นเลือกนี้อีกหรือ” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ ขอรับ ท่านก็รู้…” หมอคนนั้นส่ายหัวพลางเอ่ย
ยังไม่ทันเอ่ยจบ ผู้ติดตามอายุน้อยก็เอ่ยขัดอย่างรำคาญ
“มีเรื่องอะไรเอาไว้ค่อยพูด” เขาเอ่ย ก่อนจะฉีกยิ้มให้จินเกอร์ พร้อมกับดึงเขาให้มาอยู่ข้างๆ
“ทำอะไร” จินเกอร์สบัดมือพลางเอ่ย
“พี่ชาย คิดไม่ถึงว่าตระกูลลุงของนายหญิงท่านจะเก่งกาจเพียงนี้” ผู้ติดตามอายุน้อยเอ่ย ก่อนจะหัวเราะร่า
“เขาหรือ เก่งกาจตรงไหน” จินเกอร์เอ่ย ก่อนจะส่งเสียงเฮอะ
”พี่ชาย มีตระกูลลุงที่เก่งเพียงนี้ เป็นเรื่องที่ดีนะ อย่าปิดบังเลย” ผู้ติดตามอายุน้อยยิ้มพลางเอ่ย “ตระกูลลุงของท่านมีหมอเทวดา เช่นนั้นตระกูลของนายหญิงท่านคงไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
จินเกอร์เหลือบมองเขา โดยไม่ได้เอ่ยอะไร
“แล้วก็ เรือนนางฟ้า เรือนไท่ผิงอะไรนั่น ก็เป็นของตระกูลโจว…” ผู้ติดตามอายุน้อยยิ้มพลางเอ่ย
เขายังไม่ทันได้เอ่ยจบ ก็ได้ยินเสียงคนร้องเฮ้ยออกมา
ผู้ติดตามหันไปมอง เป็นชายวัยกลางคนตัวอ้วนผิวดำกำลังมองตนเองอยู่
มองไม่ออกว่ากำลังถลึงตาอยู่หรือไม่ เพราะใบหน้าของเขาบวมเต่งจนมองไม่เห็นดวงตา
“เจ้าพูดจาซี้ซั้วอะไร!”
นายใหญ่โจวตะโกน เขาเพิ่งเดินออกมาอย่างสบายใจได้เล็กน้อย เพิ่งเดินออกมาก็ได้ยินคนคนนี้พูด ณ ที่นี้ว่าเรือนนางฟ้าเรือนไท่ผิงเป็นของตน!
นี่ไม่เท่ากับโยนอุจจาระให้ตนเองหรอกหรือ
อุจจาระกองนี้เป็นตายถึงชีวิตเชียวนะ!
“เจ้าเป็นใคร”
“ข้าเป็นคนตระกูลหวัง เป็นญาติของนายใหญ่โจว” ผู้ติดตามอายุน้อยเอ่ยอย่างภูมิใจ “เรื่องของญาติ ข้าจะพูดซี้ซั้วได้อย่างไร…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็มีฝ่ามือคู่หนึ่งลอยเข้ามา
นายใหญ่โจวฝึกการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก เก่งกาจมากกว่าผู้หญิงเหล่านั้น สองฝ่ามือทำเอาผู้ติดตามอายุน้อยหมุนอยู่กับที่ ก่อนจะล้มลงบนพื้น
“ชั่วช้า! หากพูดจาซี้ซั้วอีก ข้าจะเล่นเจ้าให้ตาย!”
เมื่อเอ่ยจบ นายใหญ่โจวผู้ที่ยิ่งคิดถึงชีวิตของตนเองมากกว่าเดิม รีบเดินขึ้นไปบนรถ
ไฉนถึงถูกตีอีกแล้วเล่า
เขาพูดว่าอะไรนะ
เจ้านี่มันเป็นใคร!
พอเขาเงยหน้าขึ้นมา ชายใบหน้าบวมเต่งตรงหน้าก็ไม่อยู่แล้ว บ่าวเฝ้าประตูก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน ประตูบ้านตระกูลเฉิงก็ปิดสนิท แม้กระทั่งหมอที่เชิญมาก็ไม่เห็นแล้ว…
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ดวงเขาชงกับฮวงจุ้ยหน้าประตูของตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ
“โธ่โว้ย ข้าจะไม่มาอีกแล้ว!”
ผู้ติดตามอายุน้อยปีนป่ายขึ้นมา ก่อนจะสะบัดมือแล้ววิ่งหนีไป
ฉากเล็กๆ หน้าประตูเป็นเพียงเรื่องในชั่วพริบตา นอกจากจินเกอร์แล้ว คนที่อยู่ในประตูก็ไม่ได้มีใครสนใจ
เมื่อส่งนายใหญ่โจวกลับไปแล้ว สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติเฉิงเจียวเหนียงกินข้าว เก็บตะเกียบและเตรียมตัวจะกินข้าว เห็นปั้นฉินโบกมือให้ตนอยู่ตรงประตูห้องครัว
“มีอะไรหรือ” นางเดินไป ก่อนจะถาม
ปั้นฉินมองเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ในห้องรับแขกแวบหนึ่ง ก่อนจะดึงสาวใช้เข้ามา
“นายหญิงทำพวกเขาจริงๆ…” นางถามเสียงเบาด้วยน้ำเสียงทั้งตื่นเต้นและสงสัย “อาการป่วยของพวกเขา เป็นเพราะนายหญิงจริงๆ หรือ…”
สาวใช้ยิ้มบาง
“ก็คงใช่กระมัง” นางคิดไปคิดมา ก่อนจะพยักหน้า
ปั้นฉินถอนหายใจ ก่อนจะตบอก นึกถึงความตกใจกลัว ความเดือดดาล ไหนจะความโกรธเคือง
“เช่นนั้นก็รักษาพวกเขาให้หายอย่างง่ายดายเช่นนี้น่ะหรือ” นางถาม
สาวใช้หัวเราะ
“ง่ายหรือ” นางเอ่ย พร้อมกับส่ายหัว “นี่มันไม่ง่ายหรอก”
ไม่ง่ายหรือ
ปั้นฉินมึนงงเล็กน้อย ก็แค่ประโยคเดียวไม่ใช่หรือ ไฉนถึงไม่ง่ายเล่า
……
“พวกเราทำเช่นนี้ ก็เพื่อช่วยเจ้า หวังดีต่อเจ้า”
“พวกเราทำเช่นนี้ ก็เพื่อช่วยเจ้า หวังดีต่อเจ้า”
ในห้องรับแขกของตระกูลโจว มีเสียงผู้ชายและผู้หญิงท่องซ้ำวนไปวนมาไม่หยุด
ฮูหยินโจวนอนอยู่บนเตียง บนหัวมีกอเอี๊ยะแปะไว้อยู่ สีหน้าซีดขาว ขยับปากขมุบขมิบ ไร้เรี่ยวแรง
“นายใหญ่ ต้องท่องสิ่งนี้แล้วจะได้ผลจริงๆ หรือ” นางถาม
“ใช่ ก็เหมือนกับเมื่อก่อนตอนที่เจ้าสวดมนต์นั่นแหละ จะได้ผลก็ต่อเมื่อเชื่ออย่างจริงใจเท่านั้น” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางพยักหน้า พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบหน้าตัวเองด้วยความปรีดา “ข้าคิดว่า ใบหน้าของข้าเริ่มหายบวมแล้ว…”
เมื่อเอ่ยจบก็เริ่มท่องต่อ
ฮูหยินโจวร้องอ๋อ ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบตรงกลางอก และเริ่มท่องเช่นกัน ท่องไปได้ไม่เท่าไร ก็หยุดลงทันใด
“นายใหญ่ เมื่อครู่ท่านบอกว่า จะได้ผลก็ต่อเมื่อเชื่ออย่างจริงใจเท่านั้นหรือ” นางถาม
นายใหญ่โจวถูกขัดจังหวะ จึงไม่สบอารมณ์
“ก็ใช่น่ะสิ นางบอกว่า ขอแค่พวกเราเชื่อ นางก็เชื่อ แล้วก็จะหายอย่างไรเล่า” เขาเอ่ย ก่อนจะรีบท่องต่อ “พวกเราทำเช่นนี้ ก็เพื่อช่วยนาง หวังดีต่อนาง…”
“นายใหญ่!” ฮูหยินโจวยื่นมือไปจับเขา พลางตะโกน “ท่านเชื่อไหม”
นายใหญ่โจวผงะไปครู่หนึ่ง
“เชื่อน่ะสิ” เขาเอ่ย ท่องมาค่อนวัน เขาคิดว่าดีขึ้นแล้วจริงๆ…
“ท่านเชื่อว่าที่พวกเราทำเช่นนี้ ก็เพื่อช่วยนาง หวังดีต่อนางหรือ” ฮูหยินโจวร้องด้วยสีหน้าซีดขาว
ทำเช่นนี้ ก็เพื่อช่วยนาง หวังดีต่อนาง…
ใช่ ใช่กระมัง…
สีหน้าของนายใหญ่โจวซีดเผือดเช่นกัน ริมฝีปากสั่นระริก ไม่ว่าอย่างไรก็เอ่ยตัวหนังสือที่อยู่ในจดหมายนั้นออกมาไม่ได้
“ข้าไม่เชื่อนะ” ฮูหยินโจวเอื้อมมือมากุมกลางอก พลางตะโกนออกมา ก่อนจะล้มหน้าคว้ำลงไป “ข้าจะตายแล้ว…”
เมื่อประโยคนี้เอ่ยออกมา นายใหญ่โจวก็รู้สึกว่าใบหน้าเริ่มบวมขึ้นทันใด
ศีรษะและใบหน้าของเขาดูบวมขึ้นด้วยความเร็วที่เขาเห็นด้วยตาเปล่า เขาก็ร้องออกมาเช่นกัน และก้มศีรษะลงไป
ง่ายหรือ ให้ตัวเองเชื่อในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เชื่อ เป็นสิ่งที่ยากที่สุดในโลก!
เจียวเจียวร์ ไว้ชีวิตเราเถิด เราหวังดีต่อเจ้าจริงๆ…