“คุณย่าโทรหาฉัน ขอให้ฉันไปขอความเมตตาที่ตระกูลจ้าว และเป็นตัวแทนตระกูลหวางไปเซ็นสัญญาของโครงการเมืองใหม่”
หวางซีรู้สึกโกรธมาก
พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นตัวอะไร?
เป็นผ้าขี้ริ้วหรือ? เมื่อไม่ต้องการก็ทิ้งไป?
หลี่หลานกล่าวด้วยความโมโหว่า “พวกเราทำเพื่อตระกูลหวางมากมายขนาดนี้ ไม่เพียงไม่ได้รับรางวัล แต่กลับถูกขับไล่ออกจากตระกูล แล้วยังให้พวกเรารับภาระหนี้สินจำนวนหนึ่งร้อยล้านอีก พวกเขากลั่นแกล้งพวกเราขนาดนี้ได้อย่างไร”
หลี่หลานกล่าวด้วยความโมโหว่า “พวกเราปิดโทรศัพท์แล้วออกไปเที่ยว”
เย่เซิ่งเทียนเหลือบมองแม่ยายด้วยความประหลาดใจ และแน่นอนว่าแม่ที่กำลังปกป้องลูกนั้นไม่ใช่คนที่จะสามารถล่วงเกินได้ง่าย ๆ
“เป็นเรื่องยากที่พวกเราจะได้มีโอกาสไปทานอาหารข้างนอกพร้อมหน้ากันสักมื้อ พวกเราไปทานข้าวที่ดอกบานพูนสุขกันเถอะ ผมจะพาพวกคุณไปทานอาหารดี ๆ สักมื้อ อาหารที่นั่นรสชาติไม่เลว”
เย่เซิ่งเทียนกอดซือซือและกล่าว
หลี่หลานกล่าวประชดว่า “คุณคิดว่าตนเองกลายเป็นคนใหญ่โตไปแล้วหรือ? คุณคู่ควรไปทานอาหารที่ดอกบานพูนสุขหรือ? อาหารมื้อหนึ่งของที่นั่นเริ่มต้นก็ห้าพันแล้ว คุณไม่มองหรือว่าตนเองนั้นยากจนขนาดไหน? ฉันจะบอกคุณ ถ้าไม่มีบ้านไม่มีรถ ก็อย่าคิดจะแต่งงานกับลูกสาวฉัน”
ซือซือนอนแนบอยู่บนไหล่ของเย่เซิ่งเทียน และกระซิบข้างหูว่า “คุณยายข่มขู่คุณเท่านั้น หนูกับแม่ไม่ต้องการรถและบ้าน”
หลี่หลานรู้สึกโมโหมาก และตบซือซือเบา ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ว่า “เจ้าเด็กอกตัญญู อย่าพูดอะไรอีก”
หวางซีอดที่จะยิ้มไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางที่ดื้อรั้นของแม่ ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
“เรื่องทานอาหารนั้นช่างเถอะ ตอนนี้พวกเราต้องใช้เงินทุกทาง ต้องจ่ายหนี้สิน และต้องเก็บเงินไว้บ้าง เพราะค่าใช้จ่ายสำหรับให้ซือซือไปโรงเรียนนั้นหลายหมื่นต่อปี ตอนนี้คุณก็ยังไม่มีงานทำ เงินปลดประจำการนั้นจะใช้ได้นานแค่ไหน?”
ในใจของเย่เซิ่งเทียนรู้สึกอบอุ่น และกล่าวว่า “คุณแม่ ซีเอ๋อร์ พวกคุณไม่ต้องกังวล มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
หลี่หลานกล่าวด้วยความโมโหว่า “เศษสวะอย่างคุณ แล้วหูของคุณนั้นเป็นหูลาหรือไง? ถึงได้ฟังไม่เข้าใจ และชอบใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย คุณรู้จักการใช้ชีวิตไหม? การทานอาหารที่ฉันทำแล้วจะทำให้คุณตายหรือไง? คุณรู้ไหมว่าการทานอาหารที่นี่มื้อหนึ่ง เพียงพอให้พวกเราทานที่บ้านได้ครึ่งปีแล้ว!”
ความตระหนี่ของแม่ยาย ทำให้ในใจของเย่เซิ่งเทียนรู้สึกอบอุ่น ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนปากร้าย แต่สุดท้ายเธอก็ยอมรับตนเอง
ยังไม่ทันที่เย่เซิ่งเทียนจะพูดอะไร เขาก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ “โอ้ คนยากจนอย่างพวกคุณ! แม่งฉิบหายไม่มีเงินแล้วยังจะมาทานอาหารที่นี่อีก พนักงานรักษาความปลอดภัยของดอกบานพูนสุขตายไปหมดแล้วหรือ? ถึงได้ปล่อยให้พวกยากจนเข้ามาที่นี่ได้ หลีกทาง อย่ามาขวางทาง”
หลี่หลานซึ่งโกรธอยู่แล้ว ถูกกระตุ้นด้วยคำพูดเหล่านี้ ทำให้อารมณ์ของเธอปะทุทันที
“คุณพูดอย่างนี้ได้อย่างไร พวกเราไม่มีเงินแล้วมันหนักศีรษะคุณหรือ? ยังหนุ่มยังแน่นแต่ไม่มีใครอบรมสั่งสอน? พ่อแม่คุณอบรมสั่งสอนคุณมาอย่างไร?”
“ทำไม ผมว่าพวกคุณยากจนแล้วไม่พอใจหรือ? พวกคุณทั้งครอบครัวอาศัยเรื่องที่รับกระสุนแทนเจ้าเทพ! แล้วทำตัวบ้าคลั่งไม่มีที่สิ้นสุด เจ้าเทพได้มอบงานแต่งงานให้พวกคุณแล้ว เขาเมตตาและรักษาสัจจะกับพวกคุณจนถึงที่สุดแล้ว! และการที่เจ้าเทพมาเมืองเฉียนถัง นั่นเป็นความโชคดีของพวกเรา แต่พวกคุณกลับใช้ชื่อเสียงของเจ้าเทพ วันนี้ผมจะสั่งสอนพวกคุณแทนเจ้าเทพเอง!”
ชายหนุ่มชื่อซุนหมิน เป็นคุณชายใหญ่ตระกูลซุน เขาต้องคุกเข่าให้เย่เซิ่งเทียนในงานแต่งงาน และตกใจจนฉี่แตก แล้วเขาจะลืมความแค้นนี้ไปได้อย่างไร!
เขาเห็นเย่เซิ่งเทียนและคนอื่น ๆ จากระยะไกล และเขามาที่นี่เพื่อระบายความแค้นโดยเฉพาะ จึงสั่งว่า “กล้าพูดยอกย้อนกูหรือ? ไปตบปากเธอให้แตก”
บอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้างพุ่งไปหาหลี่หลานทันที
“ไสหัวไป”
เย่เซิ่งเทียนยืนขวางอยู่ข้างหน้าหลี่หลาน และมองคนกลุ่มนี้อย่างเย็นชา และจัดการบอดี้การ์ดสองคนล้มลงบนพื้นด้วยการเผชิญหน้าเพียงครั้งเดียว
“เย่เซิ่งเทียน รีบจัดการคนเลว อย่าให้พวกเขารังแกคุณยาย!” ซือซือกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน
หวางซีรีบปิดตาของเธอและกล่าวว่า “เด็กไม่ต้องยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่”
“เย่เซิ่งเทียน ไอ้สุนัขสารเลวกล้าทำร้ายคนของผม!”
ซุนหมินกล่าวด้วยความโมโห “ผมคิดว่าคุณเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่ไหม? ตอนนี้คุกเข่าขอโทษก็ยังไม่สาย มิฉะนั้น…….”
“งั้นก็คุกเข่าลงเถอะ”
หลังจากเย่เซิ่งเทียนกล่าวจบ ใช้เท้าเตะไปที่เข่าของเขา
หน้าของซุนหมินแนบพื้น ฟันหักไปหลายซี่ ปากของเขาเต็มไปด้วยเลือด และด่าเสียงดัง
“แม่งฉิบหาย ผมคือซุนหมินแห่งตระกูลซุน กล้าลงมือทำร้ายผมหรือ? ผมจะฆ่า…….”
เย่เซิ่งเทียนวางเท้าบนใบหน้าของเขา
หลี่หลานและหวางซีตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี และไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี
ซุนหมินเป็นถึงคุณชายใหญ่ตระกูลซุน เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่!
ตอนนี้เจ้าเทพได้บุญคุณของเย่เซิ่งเทียนไปจนหมดแล้ว เย่เซิ่งเทียนไปทำร้ายเขา และตระกูลซุนจะไม่ยอมรามืออย่างแน่นอน
“แม่งฉิบหาย ผมจะฆ่าคนพวกคุณทั้งครอบครัว คุณ ……”
ซุนหมินยังคงข่มขู่ แต่เย่เซิ่งเทียนเตะไปที่ปากของเขาอีกครั้ง
“พ่อของผมคือ……”
ปัง
เย่เซิ่งเทียนใช้เท้าเตะไปอีกครั้ง
“เย่เซิ่งเทียน อย่า……อย่าเตะอีกเลย ผมขอโทษ ผมขอโทษ”
ซุนหมินร้องไห้ เขารู้สึกหวาดกลัวจริง ๆ
“คุณไม่คู่ควร”
เย่เซิ่งเทียนเตะซุนหมินกระเด็นออกไป
“ตระกูลซุนไม่ปล่อยคุณแน่นอน”
ซุนหมินหมดสติไป
“แล้ว แล้วจะทำอย่างไรดี”
หลี่หลานและหวางซีรู้สึกร้อนใจจนแทบบ้า เย่เซิ่งเทียนทำร้ายคุณชายของตระกูลซุน ตระกูลซุนไม่ยอมรามือแน่นอน
“คุณชายซุน คุณชายซุน คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ขณะนี้เอง ผู้จัดการล็อบบี้เดินมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
เมื่อเห็นภาพนี้ เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก และชี้ไปที่เย่เซิ่งเทียนด้วยความโมโห “เหี้ย จัดการมัน”
ซุนหมิน เป็นคุณชายใหญ่ที่โปรดปรานที่สุดของตระกูลซุน
ถ้าตระกูลซุนซักถามขึ้นมา เขาไม่สามารถแบกรับเรื่องนี้ได้
เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะทำให้เย่เซิ่งเทียนจัดการก่อน และรอตระกูลซุนมาจัดการอีกที
“จัดการผม คุณแน่ใจนะ?”
เย่เซิ่งเทียนขมวดคิ้ว คนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ช่วยคนเลวทำความชั่ว
ผู้จัดการล็อบบี้กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “แม่งฉิบหาย กล้ามาลงมือทำร้ายคนที่นี่ เจ้านายของพวกเราคือเกาเจี๋ยเชียวน่ะ แม่งฉิบหายผมคิดว่าคุณคงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่ไหม? อย่ามาพูดจาไร้สาระ หักแขนกับข้างของมันข้างหนึ่ง มันเป็นเรื่องยุติธรรมที่สุดแล้ว”
“ไอ้เกา?”
เย่เซิ่งเทียนกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ทางที่ดีคุณโทรไปถามเขาดี ผมชื่อเย่เซิ่งเทียน”
ผู้จัดการล็อบบี้ถ่มน้ำลายลงบนพื้นและกล่าวด้วยอย่างดุร้ายว่า “ผมจะถามแม่มึงดิ ถ้าหักแขนกับขาของคุณไปข้างหนึ่งแล้ว คุณก็จะสงบเสงี่ยมเอง”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนถือกระบองบุกเข้าไปทันที แต่เย่เซิ่งเทียนเตะต่อยไปไม่กี่ครั้งก็สามารถจัดการพวกเขาได้ทั้งหมด
ผู้จัดการล็อบบี้ตกตะลึง คนเหล่านี้ท่านเกาเป็นคนคัดเลือกด้วยตนเอง ปกติแล้วคนห้าหกคนจะไม่สามารถเข้ามาใกล้พวกเขาได้เลย
ตอนนี้ พวกเขาถูกทำร้ายจนล้มลงบนพื้น โดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้สักรอบ?
“ถ้าแน่จริงก็อย่าเพิ่งไป รอให้ท่านเกามาก่อน คุณจะได้เห็นดีอย่างแน่นอน” ผู้จัดการล็อบบี้ถอยกลับไปสองก้าวและด่าอย่างรุนแรง
“โอเค”
เย่เซิ่งเทียนกล่าวด้วยความสงบ
ผู้จัดการล็อบบี้รีบโทรศัพท์ทันที
“กล้ามาก่อเรื่องในอาณาเขตของผมหรือ? มันชื่ออะไร? นำมันไปฝัง”
เกาเจี๋ยรู้สึกอารมณ์เสีย
เดิมทีเขาเป็นผู้คุ้มกันของเจ้าเทพ แต่เนื่องจากเรื่องของตระกูลจ้าว ทำให้เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่กับเจ้าเทพอีกต่อไป
ทันทีที่ได้ยินว่ามีคนมาหาเรื่อง เขาก็รู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที
ผู้จัดการล็อบบี้รีบกล่าวว่า “ท่านเกา เขาบอกว่าชื่อเย่เซิ่งเทียน และตอนนี้เขาได้ทำร้ายคุณชายใหญ่ของตระกูลซุนจนหมดสติไปแล้ว”
“ขุดหลุมให้เสร็จ ผมไปถึงก็จะ……..เดี๋ยวก่อน เขาชื่ออะไรน่ะ”
เกาเจี๋ยมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที
“เย่ หย่เซิ่งเทียน”
เกาเจี๋ยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และด่าว่า “ไอ้เหี้ย สมองของคุณมีแต่ขี้เลื่อยหรือ? คุณรีบคุกเข่าลงทันที และขอร้องให้คุณเย่ยกโทษ ถ้าคุณเย่ไม่ยกโทษให้คุณ ผมจะฝังคุณทั้งเป็น ไอ้หน้าโง่ แม่งฉิบหาย ซุนหมินตายหรือยัง? ถ้ายังไม่ตายก็ฆ่ามันให้ตาย เพื่อเป็นการขอโทษคุณเย่”