เมื่อมาถึงด้านนอกพระที่นั่งบำรุงฤทัยมาหา ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปหาหนานกงเย่ สวีกงกงรีบมาบอกฉีเฟยอวิ๋นว่าเขาอยู่ที่ตำหนักข้าง ดังนั้นนางจึงไปที่หนานกงเย่ที่ตำหนักข้าง
เมื่อมาถึงตำหนักด้านข้าง ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นหนานกงเย่กำลังวาดรูปอยู่ นางจึงเดินไปดู เป็นภาพของภูเขาและแม่น้ำที่สวยงาม
ฉีเฟยอวิ๋นก็เคยเรียนวาดภาพจีนโบราณ และค่อนข้างมีความรู้เกี่ยวกับการวาดภาพ หลังจากที่เห็นภาพวาดของหนานกงเย่แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็นึกถึงคำสี่คำ ทรงพลังมาก!
ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังมองดูภาพวาดอย่างเหม่อลอย หนานกงเย่ก็ยื่นพู่กันในมือให้กับนาง และพูดอย่างใจเย็นว่า:“เขียนให้ข้าสักสองสามคำสิ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่พู่กันด้ามนั้น นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบพู่กัน จากนั้นก็เขียนคำสองสามคำลงใต้ภาพวาด
ภูเขาแม่น้ำอันงดงาม
หนานกงเย่มองไปที่คำสองสามคำนั้นอย่างชื่นชอบ และอดไม่ได้ที่จะยิ้ม:“ข้าดูถูกเข้าเกินไปจริง ๆ ”
“อ้อ?”
ฉีเฟยอวิ๋นวางพู่กันลงและแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หนานกงเย่จึงถามว่า:“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงไปชั่วขณะ และมองไปที่หนานกงเย่ด้วยความประหลาดใจ หนานกงเย่มองนางแล้วยิ้ม:“ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่รู้ว่าข้าลองหยั่งเชิง ดูเหมือนว่าจะเป็นข้าที่คาดการณ์ผิดพลาด”
“ท่านอ๋องทรงต้องการให้หม่อมฉันพูดถึงคำนั้น ไม่สู้บอกหม่อมฉันมาเลยจะดีกว่าเพคะ หม่อมฉันจะได้ทำตามความคิดเห็นของท่านอ๋อง”
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบพู่กันขึ้นมาและเตรียมจะพูดคำนั้น
“ข้าคิดว่าข้าเคยเจอเจ้ามาก่อน ท่าทางนั้น กิริยานั้น ลักษณะนั้น ลายมือนั้น คำพูดที่ท้อแท้นั้น ไม่ว่าจะจงใจสักเพียงใดก็ดูไม่เหมือนการจงใจ จึงยังตื้นเขินอยู่ ลึกลงไปอีกก็คือความฉลาดและความละเอียดรอบคอบ” หนานกงเย่พูดจาไพเราะน่าฟัง
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหม่าและพูดไม่ออกเมื่อถูกถาม
หนานกงเย่ไม่ได้ตั้งใจจะหยุด และมองอย่างพินิจพิจารณา:“สิ่งสำคัญคือแววตาที่ลึกล้ำ เป็นข้าเองที่กลัวการคิดมาก ดวงตาที่สวยงามและลึกล้ำเช่นนี้ จะถูกปิดบังไว้ได้อย่างไร เพียงแต่ข้าเองก็มองไม่ทะลุปรุโปร่งว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น
พระชายา เจ้าไม่อยากอธิบายให้ข้าฟังหน่อยหรือ ?”
ฉีเฟยอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึก ๆ คนผู้นี้น่ากลัวจริง ๆ แต่ละคำช่างเปิดเผยและราบเรียบ ราวกับว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องทั่วไป ๆ
“ในวันอภิเษกสมรส หม่อมฉันเป็นเช่นนั้น ท่านอ๋องก็ทรงไม่สงสาร แน่นอนว่าหม่อมฉันหมดอาลัยตายอยาก เดิมทีหม่อมฉันเลอะเลือนและมีใจรักใคร่เสน่หาต่อท่านอ๋อง ในตอนนี้หม่อมฉันกลับเนื้อกลับตัวและสงบมากขึ้น หม่อมฉันเพียงอยากจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขและไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นใด”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเบา ๆ ด้วยความรู้สึกผิด ดวงตาสีเข้มของหนานกงเย่ลึกราวกับทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลและไร้ขอบเขต
“พระชายาผู้รู้วิชาแพทย์ ข้าถือว่านั้นเป็นการเพิ่มพูนความรู้” จู่ ๆ หนานกงเย่ก็พูดขึ้นมา และฉีเฟยอวิ๋นก็พูดไม่ออก
“แต่…… ข้าไม่สนใจหรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่……ในเมื่อเจ้าเป็นคนของข้าแล้ว เจ้าห้ามไปจากข้า ข้าหึงหวงและระวังตัวมาก หากเจ้ากล้านอกใจข้าหรือทำอะไรที่ผิดต่อข้า ข้าจะไม่ให้อภัย ชีวิตของแม่ทัพฉีและคนในจวนแม่ทัพกว่าสองร้อยชีวิตจะต้องจบลง”
“ความคับแค้นใจระหว่างท่านกับข้า เกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วย ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่ยินยอม หนานกงเย่เดินเข้ามาใกล้อย่างเย็นชา ฉีเฟยอวิ๋นถูกบังคับให้ต้องถอยหลังไปสองก้าว
ทั้งสองมองหน้ากัน หนานกงเย่ถามว่า:“ข้าดีหรือไม่ดี ?”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นตามความคิดหนานกงเย่ไม่ทันแล้ว และไม่ตอบอยู่นาน
“สายน้ำไม่ไหลกลับ ข้าไม่โต้เถียงกับเจ้าแล้ว และเจ้าก็อย่าพูดถึงเรื่องที่ไม่ดีต่อเจ้าอีก ระหว่างเจ้ากับข้าเท่าเทียมกัน หากต้องการพูดถึงการกระทำอันชั่วช้าของเจ้า แล้วทำให้ดวงตาของข้ามืดบอดจนมองไม่เห็นดวงตาอันงดงามของเจ้าอย่างชัดเจน แล้วเจ้าก็หนีตามผู้อื่นไป ข้าก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่หากเจ้ากล้าที่จะไปจากข้า แน่นอนว่าข้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจในภายหลัง !”
“หนานกงเย่ ท่านข่มขู่ข้าหรือ ?” ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมามองอย่างโกรธเคือง อยากจะทะเลาะใช่หรือไม่ ?
“เอาตามนั้นเถอะ” หนานกงเย่กล่าวอย่างช่วยไม่ได้ ฉีเฟยอวิ๋นต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง เขาหยิบพู่กันด้ามนั้นไปแล้ววางลง จากนั้นก็หยิบภาพวาดขึ้นมาแล้วเดินไปที่เตาอั้งโล่ข้าง ๆ แล้วโยนมันเข้าไป
ภาพวาดค่อย ๆ ไหม้เป็นขี้เถ้าด้วยเปลวไฟ หนานกงเย่เดินกลับมา:“เป็นอย่างไรบ้าง ?ฮองเฮาทรงสบายดีหรือ ?
หนานกงเย่เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วจนฉีเฟยอวิ๋นต้องยอมนับถือ นางไม่อยากจะทะเลาะกับเขา โดยคิดซะว่าเขาเป็นโรคประสาท
“ทรงสบายดีเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าควรบอกเรื่องแมวดาวสับเปลี่ยนองค์ชายกับหนานกงเย่หรือไม่ และไม่ได้พูด จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากตำหนักข้าง
หนานกงเย่เดินตามหลังออกมา และได้ยินเขาพูดว่า:“ไม่มีมารยาท ข้ายังไม่ได้ไป แล้วเจ้าไปได้หรือ”
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดและรอหนานกงเย่ นางไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยจริง ๆ
หนานกงเย่เดินมาจูงมือขอนางและเดินออกไปนอกวัง
จักรพรรดิอวี้ตี้ยืนอยู่บนกำแพงพระราชวังและมองลงมา จากนั้นก็ตรัสว่า:“ช่วงนี้อ๋องเย่ค่อนข้างอารมณ์ดีเลยทีเดียว”
สวีกงกงรีบมองลงไปและกล่าวว่า:“พระชายาเย่ทรงเป็นผู้ที่โน้มน้าวได้อย่างยอดเยี่ยมพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาพระพันปีก็ทรงโปรดปรานพระองค์เป็นอย่างมาก และทรงพระราชทานรางวัลให้มากมายพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ?เช่นนั้นข้าก็ควรจะมีพระมหากรุณาธิคุณบ้างเช่นกัน”
สวีกงกงมองดูใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของจักรพรรดิอวี้ตี้ แล้วก้มหน้าลง ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าทรงคิดอะไรอยู่
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ บ่าวตื่นตระหนก”
“มีพระราชโองการให้วังทั้งสองมีมงคลคู๋มาบรรจบพบความสุขทวีคูณ ตั้งครรภ์แล้วมีพระโอรสไปด้วยกัน ข้ามีความปีติยินดีและมีวินัยในตนเอง ข้าต้องการมีพระโอรส แต่เกรงว่าราชสำนักจะวุ่นวาย และละอายใจต่อประชาชนอันเป็นที่รักแห่งต้าเหลียง พระราชบัญชาของบรรพบุรษ……มีพระราชโองการให้อ๋องเย่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อแบ่งเบาพระราชกรณียกิจของข้า”
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ผู้สำเร็จราชการแทนต้องควบคุมดูแลทั้งหกกรม ฝ่าบาท……” สวีกงกงรู้ว่าไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองได้ จึงกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป
จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่เห็นด้วย:“ไปเถอะ เขาเป็นน้องชายของข้า ข้ารู้จักหนักเบา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นยังกลับไปไม่ถึงจวน ทังเหอก็คุกเข่าอยู่ด้านนอกแล้ว และพระราชโองการก็ถูกส่งมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้า นางก็เห็นทังเหอกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น และกำลังนำมือไปรอรับพระราชโองการ
หนานกงเย่ลงมาจากรถม้า แล้วทังเหอก็นำพระราชโองการมายื่นให้ในทันที:“ท่านอ๋องเย่ พระราชโองการของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่หยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดดู จากนั้นก็ส่งให้ฉีเฟยอวิ๋น แล้วเข้าไปในจวนอ๋องเย่
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในจวนอ่องเย่แล้วจึงเปิดดู นางเข้าใจความหมายข้างต้นและอดไม่ได้ที่รู้สึกจะสงสัย
ผู้สำเร็จราชการแทน ต้องกำกับดูแลทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องบ้านเมือง ซึ่งประกอบไปด้วยหกกรม อันได้แก่ กรมขุนนาง กรมพิธีการ กรมกลาโหม กรมการคลัง กรมยุติธรรม และกรมโยธาธิการ
เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้วาสมัยโบราณมีกฎเกณฑ์การปกครองมากมาย แต่หลังจากที่เกิดเรื่อง นางจึงเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น
และเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่าทั้งหกกรมนี้ ควบคุมดูแลกิจการและงานต่าง ๆ ของบ้านเมือง เมื่อได้ควบคุมแล้วก็เท่ากับได้ควบคุมชีวิตของคนทั้งเมือง
หัวใจของฉีเฟยอวิ๋นสั่นสะท้าน อำนาจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่เสียดายได้อย่างไร ?
ฉีเฟยอวิ๋นวางพระราชโองการลง และเดินไปข้างหน้าหนานกงเย่:“ท่านคิดว่าอย่างไร ?”
หนานกงเย่ดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางนั่งลงบนตักของเขา
“วันดี ๆ ของข้าสิ้นสุดลงแล้ว เดิมทีข้าไม่ต้องการจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จึงไปออกรบ ในตอนนี้บ้านเมืองสงบสุขแล้ว และเมืองอื่นโดยรอบก็ไม่มารุกราน ข้าจึงหาข้ออ้างในการหลบเลี่ยงไม่ได้ เผือกร้อนตกมาอยู่ในมือของข้าแล้ว คำนวณผิดพลาดไปจริง ๆ !”
หนานกงเย่ตีฉีเฟยอวิ๋นเบา ๆ ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเต็มไปด้วยความเศร้าใจ:“ท่านอ๋อง ท่านหมายความว่าอย่างไรเพคะ ?หรือว่าท่านหวังว่าจะได้ไปออกรบ?”
“การสู้รบก้เป็นเรื่องที่ดีและมีอะไรให้ทำ แต่เรื่องในราชสำนักนั้นน่าเบื่อหน่ายมาก และต้องอยู่กับเหล่าขุนนางที่ดื้อดึงทั้งวัน ฟังพวกเขาพูดจาอ่อนหวานแต่ไม่จริงใจ ข้ารู้สึกรำคาญ”
“เช่นนั้นก็น่าเบื่อมากเพคะ !” ฉีเฟยอวิ๋นพอที่จะจินตนาการได้ว่าการที่หนานกงเย่ต้องฟังคนที่ปากหวานก้นเปรี้ยวเหล่านั้นพูดทั้งวัน มันเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดมากแค่ไหน”
“แต่เดิมข้าผลักดันให้ทำมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ประการแรกคือข้ายังอายุน้อย ประการที่สองคือข้าเป็นหนึ่งในมกุฎราชกุมารที่ถูกกำหนดไว้ การเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นมกุฎราชกุมาร และฝ่าบาทก็ทรงไม่ได้บีบบังคับ ประการที่สามคือข้ายังไม่ได้แต่งงาน และเป็นพระราชบัญชาของบรรพบุรุษแห่งต้าเหลียง ผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่สามารถเข้าสู่ราชวงศ์ และไม่สามารถเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้
แม้ว่าในตอนนั้นองค์จักรพรรดิองค์สูงสุดจะขึ้นครองบัลลังก์แล้ว แต่องค์จักรพรรดินีก็ยังควบคุมดูแลราชสำนัก จนกระทั่งองค์จักรพรรดิสูงสุดทรงอภิเษกสมรสและทรงสถาปนาฮองเฮาขึ้น จากนั้นจึงเป็นผู้สำเร็จราชการด้วยพระองค์เอง
เมื่อหมุนเวียนมาถึงตาข้า แน่นอนว่าข้าไม่ยอมละทิ้งข้อแก้ตัวเหล่านี้ แต่ในเวลานี้ข้อแก้ตัวทั้งสามได้หมดไปแล้ว แม้ว่าข้าต้องการที่จะหลบเลี่ยงก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว”
“เช่นนั้นท่านคิดว่าอย่างไร แล้วท่านต้องการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ ?”
“ข้าอยู่ในจวนก็สุขสบายดีอยู่แล้ว เหตุใดต้องไปเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วย ?” หนานกงไม่สบอารมณ์
ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า:“แล้วท่านจะไม่เป็นหรือ ?”
“ไม่มีข้อแก้ตัว”
“ก็ใช่”
ทั้งคู่สนทนากันอยู่สักพัก ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าเรื่องนี่น่าปวดหัวมาก นางจึงไม่อยากถามอะไรมากนักและไปพักผ่อนก่อน
ในคืนนั้นเองประตูของจวนอ๋องเย่ก็ถูกคนมาบุก
เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นวางแผนที่จะซ่อนตัวแต่อยู่ห้อง แต่ด้านนอกมีคนมาแสดงความยินดีอย่างไม่สามารถหลบเลี่ยงได้
ทังเหอมาเชิญฉีเฟยอวิ๋นที่สวนดอกกล้วยไม้ด้วยตนเอง:พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องทรงมีธุระและไม่ได้ประทับอยู่ในจวน เชิญพระชายาเสด็จไปต้อนรับแขกที่ลานด้านหน้าพ่ะย่ะค่ะ
ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นและมองไปที่ทังเหอ:“ท่านอ๋องเพิ่งเสด็จออกไป ประเดี๋ยวเดียวก็ไม่ได้ประทับอยู่ในจวนแล้วหรือ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ค่ำมืดดึกดื่นแล้วไม่กลับไปนอนกันหรือ ?”
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องทรงมีธุระจึงออกไปก่อนแล้ว อีกเดี๋ยวก็จะกลับมาพ่ะย่ะค่ะ” ทังเหอรู้เพียงแค่ว่าท่านอ๋องไม่ได้ออกไป แต่อยู่ภายในจวนแห่งนี้
และแม่ทัพฉีที่มาก็ตามท่านอ๋องไป
เขาไม่รู้ว่าไปทำอะไรและไม่แน่ใจ
ฉีเฟยอวิ๋นโบกมือ:“รู้แล้ว ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าออกไปก่อน”
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ผู้ที่มาวันนี้แตกต่างออกไป องค์หญิงแห่งต้าเหลียง จวิ้นจู่ ท่านอ๋อง จวิ้นหวังล้วนแต่มากันไม่น้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ และบางพระองค์ก็สูงศักดิ์ พระชายาต้องทรงแต่งองค์ให้สูงศักดิ์มากกว่าปกตินะพ่ะย่ะค่ะ” ในเวลานี้ทังเหอเกรงว่าจะทรงทำให้จวนอ๋องเย่ต้องขายหน้า จึงเตือนฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองทังเหอ:“คุณชายทังวางใจได้ ข้าจะทำตามคำแนะนำของท่าน”
“ผู้น้อยมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นทังเหอจึงถอยออกไป และรอฉีเฟยอวิ๋นอยู่ที่หน้าประตู
ฉีเฟยอวิ๋นเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมาจากห้องพร้อมกับหงเถาและลี่ว์หลิ่ว นางอุ้มจิ้งจอกหางสั้นไว้ในอ้อมแขน และไปที่ลานด้านหน้าอย่างไม่รีบร้อน
ระหว่างทางฉีเฟยอวิ๋นถามทังเหอว่ามีใครที่มาบ้าง นางจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า
ถึงอย่างไรหนานกงเย่ก็หลบหนีไปแล้ว นางเองก็ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะไม่มีความรับผิดชอบ และโยนความยุ่งเหยิงเช่นนี้มาให้นางอย่างตรงไปตรงมา
ทังเหอพูดถึงสถานการณ์คร่าว ๆ ด้านหน้าจวนมีคนมาอย่างหนาแน่นและนำของกำนัลมาด้วย ฉีเฟยอวิ๋นรับจนมือไม้อ่อนแรงไปหมด และนักคำนวณก็กำลังจดบันทึก
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดอย่างกะทันหัน:“จริงสิ”
ทังเหอตกตะลึง:“พระชายาทรงรับส่งมาเถอพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปเรียกอาอวี่มา หงเถา ลี่ว์หลิ่ว พวกเจ้าก็ไปด้วย อีกเดี๋ยวต้องตรวจสอบของกำนัลที่รับมาเหล่านั้นด้วย หากมีอะไรที่ไม่เหมาะสมก็อย่าแพร่งพรายออกไป จดบันทึกไว้แล้วมาบอกข้า”
ทังเหอรู้สึกสงสัย:“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงกังวลว่าของกำนัลจะมีข้าบกพร่องหรือพ่ะย่ะค่ะ ?”
“คุณชายทัง จิตใจคนไม่เหมือนอดีต เราสามารถไม่ทำร้ายผู้อื่นได้ แต่ไม่สามารถไม่ระวังได้ ในตอนนี้จวนอ๋องเย่ของพวกเราเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะพอใจ การมอบของกำนัลประเภทใดมาให้นั้น สามารถเห็นถึงจิตใจของคนผู้นั้นได้”
“พระชายาทรงตรัสได้อย่างถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ผู้น้อยจะไปตามอาอวี่มาเดี๋ยวนี้ หงเถา ลี่ว์หลิ่วมากับข้า”
หงเถา ลี่ว์หลิ่วพยักหน้าและเดินตามทังเหอไปที่ลานด้านหลัง จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ไปที่ลานด้านหน้าในทันที