ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 240 คำทำนาย

จอมศาสตราพลิกดารา

พริบตาที่กัวชิงเยียนเดินเข้าสู่ค่ายกล ภาพที่เห็นก็พร่ามัว ร่างกายเบาโหวง และเพียงแค่สองอึดใจเท่านั้น ตอนที่ภาพทั้งหมดตรงหน้ากลับเป็นปกติ นางก็มาอยู่ยังกลางป่าลึกแห่งหนึ่งแล้ว

“ฝ่าบาท”

“ชิงเยียน…”

ผู้คนล้อมเข้ามา ซึ่งก็คือพวกของนายน้อยเผ่ายิงจันทร์ที่ถูกส่งมาก่อนหน้านั่นเอง

เห็นได้ชัดเจนว่าชายสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินไม่ได้พูดโกหก พวกเขาถูกส่งออกมาที่นอกเมืองฉางอันจริงๆ

โดยรอบคือทิวเขายามค่ำคืน อีกทั้งเหมือนจะได้ยินเสียงสัตว์ป่าคำรามอยู่รางๆ พิจารณาดูแล้ว สถานที่นี่น่าจะอยู่ห่างจากเมืองฉางอันอย่างน้อยสิบลี้ได้ นับว่าอยู่แถวชนบทแล้วจริงๆ

“ฝ่าบาท ชายผู้นั้น…ไม่ได้ทำอะไรท่านใช่หรือไม่?” กุนซือแห่งที่ราบทุ่งหญ้าถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ก็มองกัวชิงเยียนด้วยเช่นกัน

ถึงแม้ชายสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินจะช่วยทุกคนเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขามักรู้สึกว่าชายลึกลับคนนี้มีอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจ ท่าทีก็แปลกพิลึก คำพูดคำจาประหลาด ลักษณะจะดีก็ใช่จะร้ายก็ใช่ ทำให้จับทางไม่ถูก

“ไม่มีอะไร ท่านผู้นั้น…” กัวชิงเยียนย่อมไม่มีทางบอกเรื่องที่ตนเองรู้เคล็ดวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ต่อหน้าคนเหล่านี้ ถึงอย่างไรมากคนก็มากความ นางอ้าปากพูดคำว่าท่านผู้นั้นไม่ทันจบ ในหัวจู่ๆ ก็ผุดภาพใบหน้าเยาว์วัยเกินกว่าที่ควรภายใต้หน้ากากสีเงินขึ้น จึงรีบเปลี่ยนคำพูด “เขาแค่ถามอะไรข้าบางเรื่องเท่านั้น เกี่ยวกับท่านลุงกัว”

“ท่านผู้นั้นน่าจะเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับต้าเจ๋อเปี๋ยจริงๆ น่าเสียดายที่คืนนี้เร่งรัดไปเสียหมดจึงลืมถาม แล้วตอนนี้ต้าเจ๋อเปี๋ยเป็นอย่างไรบ้าง” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจ

ในอดีต ต้าเจ๋อเปี๋ยเป็นทั้งวีรบุรุษ ตำนาน และเป็นถึงเรื่องเล่าแห่งท้องทุ่งหญ้ากว้าง น่าเสียดายที่ต่อมา…

ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ผู้คนบนที่ราบทุ่งหญ้ายังไม่เคยลืมวีรบุรุษที่เป็นชาวปศุสัตว์แห่งท้องทุ่งหญ้าโดยแท้จริงผู้นี้เลย

“ท่านลุงกัวสบายดี” กัวชิงเยียนตอบกลับ “พวกเรารีบกลับที่ราบทุ่งหญ้าก่อนดีกว่า หากที่ตาเฒ่าแมงมุมเขียวพูดเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ที่ทุ่งหญ้าคงกำลังจะเกิดเรื่องขึ้น เผ่ายิงจันทร์ถูกจับตาดูอยู่เช่นนี้ จะไม่ป้องกันไม่ได้”

ทั้งกลุ่มเริ่มหารือกัน

โชคดี กุนซือแห่งทุ่งหญ้ากระทำการค่อนข้างรัดกุม ขณะที่อยู่ในเมืองฉางอัน เนื่องจากกำลังของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก ดังนั้นเขาจึงทำอะไรไม่ได้มากนัก ไม่สามารถพลิกสถานการณ์กลับได้ แต่ตอนนี้ออกมาจากเมืองฉางอันแล้ว ขอแค่เดินทางกลับตามเส้นทางที่วางเอาไว้ขามา หลบตอนกลางวันเดินทางกลางคืน ไม่ถึงครึ่งเดือนก็จะกลับไปถึงที่ราบทุ่งหญ้าได้

“ก็ไม่รู้ว่าสหายกัว ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง?” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ยกมือป้องตามองไปยังเมืองฉางอัน สีหน้าเป็นกังวล

ในตอนนั้น สงครามกำลังปะทุ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นายน้อยสมาพันธ์การค้าใต้หล้าฝั่งฉินตะวันตกต้องตกอยู่ในคลื่นพายุนี้ ขณะที่นายน้อยเผ่ายิงจันทร์กระโดดออกมาจากหอแขกผู้มีเกียรติหมายเลขเจ็ด จึงลงมือฟาดเขาจนสลบทันใด จากนั้นส่งตัวให้กับองครักษ์ของสมาพันธ์การค้าใต้หล้าไป

การเดินทางมาฉางอันครั้งนี้ สำหรับนายน้อยเผ่ายิงจันทร์แล้ว ถือว่ามีความหมายใหญ่หลวง

เขาเดินทางออกจากที่ราบทุ่งหญ้าเป็นครั้งแรก ได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิฉินตะวันตก

สามจักรวรรดิแห่งแผ่นดินใหญ่เสินโจว จักรวรรดิฉินตะวันตกตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ได้ถือเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ เมื่อเปรียบเทียบกับซ่งเหนือและฉู่ใต้ ถือได้ว่าเป็นพื้นที่ค่อนข้างธรรมดา มีดินฟ้าอากาศเช่นนี้ กำแพงเมืองสูงใหญ่ สถาปัตยกรรมงดงาม กลุ่มการค้า เสื้อผ้าสิ่งทอ เครื่องลายคราม ใบชา ทองคำและเงิน…แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าร่ำรวยมากกว่าที่ราบทุ่งหญ้ากี่เท่า ถ้าไปเทียบกับซ่งเหนือและฉู่ใต้ที่ยังรุ่งเรืองกว่าฉินตะวันตกแห่งนี้ จะยิ่งแตกต่างกันขนาดไหน?

ที่ราบทุ่งหญ้า ควรจะปฏิรูปกันเสียที

มิเช่นนั้น คงมีสักวันที่จะถูกสามจักรวรรดิใหญ่นี้กลืนไป

หนึ่งในยอดคนแห่งที่ราบทุ่งหญ้าอย่างนายน้อยเผ่ายิงจันทร์เถี่ยมู่เจินคนนี้ รำพึงรำพันขึ้นมาในใจ

……

“หนี ต้องหนีออกไปให้ได้”

ร่างของผู้เฒ่าแมงมุมเขียวพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วภายใต้ฟ้าราตรี

กลางอกของเขา รูทะลุจากหน้าถึงหลังขนาดเท่าชามข้าวรูหนึ่ง มีเลือดสดสีเขียวมรกตไหลออกมา เมื่อหยดลงบนพื้น ผิวหน้าดินกลับถูกกร่อนจนเป็นรู

สมองของเขาย้อนนึกถึงภาพน่าตะลึงที่ชายสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินง้างธนูยิงศรแสงจันทร์ขึ้นบนท้องฟ้า ในใจของผู้เฒ่าแมงมุมเขียวเย็นวาบ หากไม่ใช่เพราะบนร่างมีเกราะแมงมุมสลับความตายที่ราชาแมงมุมให้มา สามารถต้านทานพลังธนูส่วนใหญ่ได้ละก็ ป่านนี้ตัวเขากลายเป็นศพไปเรียบร้อยแล้ว

ธนูรั้งจันทรา ปรากฏขึ้นบนยุทธจักรอีกครั้ง

สัมผัสจิตดุจธนู กลับมาบนโลกมนุษย์อีกครา

วิชาธนูของชายใส่หน้ากากผียิ้มสีเงินคนนั้น เป็นระดับตำนานอย่างต้าเจ๋อเปี๋ยชัดๆ คนแบบนี้มาปรากฏตัวขึ้นในเมืองฉางอัน ต่อให้ไม่ได้อยู่ในที่ราบทุ่งหญ้า ก็สามารถก่อให้เกิดความตื่นตะลึงขึ้นได้

ต้องกลับไปรายงานที่วิหารเทพแมงมุมให้ได้

ในอดีตเคยมีคำทำนายที่เล่ากันบนที่ราบทุ่งหญ้า วันใดที่ธนูรั้งจันทราปรากฏขึ้นอีกครั้งและผนึกรวมกับธนูเหนี่ยวตะวัน จะสามารถโค่นล้มวิหารเทพลงได้ ชนเผ่าหนึ่งแห่งที่ราบทุ่งหญ้าจะขึ้นเป็นหนึ่งควบคุมทุกสรรพสิ่ง ภาพฉากอันห่างไกลนี้ ต่อให้เป็นวิหารเทพหมาป่าก็ไม่อาจรับได้อยู่ดี

จะต้องตัดรากถอนโคนคำทำนายนี้ให้จงได้

……

หน่วยเลี้ยงรับรองบนถนนกลิ่นกำจาย

เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน

นางคณิกาทั้งหลายของหอนางโลมแต่ละแห่งตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ปิดประตูลั่นดาลเงียบสนิท

ยังดีที่หลังจากจบการแข่งขันคณิการะดับสูง การประมูลเริ่มไประยะหนึ่งแล้วถึงเกิดความวุ่นวายขึ้น และเวลานั้น เหล่านางโลมมีชื่อส่วนใหญ่กลับไปยังที่พักของตนเองแล้ว บรรดาสาวงามดุจดอกไม้ดั่งหยกเหล่านี้จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

ศพบนถนน ส่วนใหญ่เป็นพวกแขกที่มาหาความสำราญ

บรรดาแขกผู้มีเกียรติตรงที่นั่งพิเศษก่อนหน้า ต่างมีองครักษ์คุ้มกันเสียส่วนใหญ่ และเป้าหมายการสร้างความวุ่นวายก็ไม่ใช่พวกเขา ดังนั้นจึงกระจัดกระจายหายไปกันหมดแล้ว

ส่วนในหอแขกผู้มีเกียรติชั้นยอด หอหมายเลขอื่นต่างมีคนเข้าไปควบคุมแล้ว

มีเพียงหอหมายเลขสิบแปด ซ่างกวนอวี่ถิงและสาวใช้ซินเอ๋อร์จุดไฟนั่งรออย่างสงบอยู่ด้านใน

สาวใช้ซินเอ๋อร์รู้สึกใจไม่สงบ เสียงการต่อสู้ด้านนอกที่ดังขึ้นก่อนหน้าทำให้นางตื่นตกใจ

แต่ซ่างกวนอวี่ถิงนั้น เวลานี้กลับสงบดุจน้ำนิ่ง แอบโคจร ‘วิชาก่อนกำเนิดฉบับย่อ’ และฝึกฝนอยู่เงียบๆ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เสียงต่อสู้ด้านนอกค่อยๆ ห่างออกไป

เสียงฝีเท้าเสียงหนึ่งดังลอดเข้ามาจากนอกห้องรับรอง

สาวใช้ซินเอ๋อร์ดีใจมาก เอ่ยขึ้นว่า “คุณชายมู่กลับมาแล้ว” พูดจบก็รีบวิ่งไปจะเปิดประตู

ซ่างกวนอวี่ถิงลืมตาทันควัน มองออกไปนอกประตูพร้อมเอ่ย “หัวหน้าหลิวมาที่นี่ มีเหตุอันใด?”

“ข้ามาดูแม่นางฮวาเสียหน่อยว่าเป็นอะไรหรือไม่ แขกหอหมายเลขหนึ่งเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านมาก จึงส่งข้ามาที่นี่ให้เชิญแม่นางฮวาไปที่หอแขกผู้มีเกียรติหมายเลขหนึ่ง เพื่อไม่ให้เจ้าพวกคนเถื่อนจากทุ่งหญ้าเหล่านั้นทำร้ายท่าน” เสียงของหัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรองหลิวเฉิงหลงดังเข้ามาอย่างชัดเจน

ข้างนอกนั่นไม่ใช่คุณชายมู่?

สาวใช้ตกใจมาก รีบหยุดฝีเท้าลง และไม่เปิดประตู

“ขอบคุณความหวังดีของหัวหน้าหลิวมาก ข้าจะอยู่ที่นี่ รอคุณชายมู่กลับมา” ซางกวนอวี่ถิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉยชา

“แม่นางฮวายังไม่ถูกไถ่ตัวออกไป ตอนนี้ท่านยังเป็นคนของหน่วยเลี้ยงรับรองของข้าอยู่ หรือว่าคำพูดของข้าไม่มีประโยชน์เลย?” น้ำเสียงของหลิวเฉิงหลงแฝงการข่มขู่อย่างไม่ปิดบัง “แม่นางฮวาน่าจะรู้ดี หลี่มู่ไม่มีพลังพอที่จะปกป้องท่าน”

“เชิญหัวหน้าหลิวออกไปก่อนเถิด นับแต่คืนนี้เป็นต้นไป บนโลกนี้ก็จะไร้ซึ่งฮวาเสี่ยงหรง จะเหลือเพียงซางกวนอวี่ถิง ข้าไม่ใช่คนของหน่วยเลี้ยงรับรองนี้อีกแล้ว” ซางกวนอวี่ถิงพูดตัดบท

“เจ้าคนต่ำต้อยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าละเลยกฎหมายจักรวรรดิ ถ้าพูดมาแบบนี้ ใครก็ได้ ทุบประตูทิ้งเสีย จับเจ้าคนทรามนี้ออกมา” น้ำเสียงกราดเกรี้ยวของหลิวเฉิงหลงดังขึ้น

ยอดฝีมือของหน่วยเลี้ยงรับรองสี่คนพุ่งตรงมาที่หอหมายเลขสิบแปด

และด้านหลังของหลิวเฉิงหลง ยังมีผู้อาวุโสที่มีลักษณะราวเซียนยืนอยู่คนหนึ่ง มือไม้เท้าสีแดงเข้ม เอ่ยขึ้นว่า “หากว่าเรื่องที่ใต้เท้าหลิวพูดมาเป็นความจริงละก็ นี่ก็ชัดเจนแล้ว สตรีผู้นี้น่าจะฝึกวิชามารบางอย่างมา หรือร่างเดิมของนางอาจจะเป็นปีศาจ แล้วช่วงชิงเอาวิญญาณฮวาเสี่ยงหรงไป จู่ๆ ถึงได้มีพลังฝึกวิชาเวทเยี่ยงนี้”

“ท่านเซียนมีวิชารับมือหรือไม่?” หลิวเฉิงหลงถาม

เห็นพลังฝึกวิชาเวทของฮวาเสี่ยงหรงแล้ว เขายังกล้าเข้ามาคุกคามเช่นนี้ นั่นเพราะที่พึ่งที่แท้จริงไม่ใช่ยอดฝีมือสี่คนจากหน่วยเลี้ยงรับรอง แต่เป็นจอมเวทขั้นฟ้าประทานฉายาว่า ‘เฒ่าอัคคี’ ผู้นี้ต่างหาก

ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เสียงปึงๆๆ ดังขึ้น

ยอดฝีมือสี่คนที่บุกเข้าประตูห้องรับรองแขกไปถูกดีดกระดอนออกมาทั้งหมด

พริบตาที่สัมผัส ม่านพลังป้องกันสีขาวจางชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นคลุมหอแขกผู้มีเกียรติหมายเลขสิบแปดนี้เอาไว้

“เฮอะๆ แค่ม่านพลังลมเช่นนี้ คิดว่าจะขวางข้าได้หรือ” ‘เฒ่าอัคคี’ หัวเราะอย่างเหิมเกริม เอ่ยต่อว่า “ดูพลังทำลายของ ‘ลูกไฟทั้งห้า’ ของข้าเสียก่อน” เพียงยกฝ่ามือ ไม้เท้าสีแดงเข้มอันนั้นก็เปล่งแสง เสียงวู้มๆ ดังขึ้นติดต่อกันพร้อมกับที่ลูกไฟขนาดเท่ากำปั้นห้าลูกพุ่งออกมา เขากล่าวอีกว่า “ต่อหน้าข้า ม่านพลังลมแค่นี้มันก็แค่วิชาไม่เจียมตัวเท่านั้น”

สีหน้าของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มมั่นใจ

พูดยังไม่ทันขาดคำ

ฟุ่บๆๆ!

เสียงราวกับลูกไฟตกลงไปในน้ำแข็งดังขึ้น ลูกไฟทั้งห้าเมื่อปะทะเข้ากับม่านพลังสีขาว ก็เหมือนวัวดินตกลงทะเลก็มิปาน หายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้กระทั่งคลื่นพลังเพียงเศษเสี้ยวก็ไม่เหลือ

รอยยิ้มมั่นใจของ ‘เฒ่าอัคคี’ แข็งค้างไป

“คิดไม่ถึงว่าปีศาจตนนี้จะร้ายกาจอยู่บ้าง ไม่เป็นไร ข้าจะใช้วิชาระเบิดเพลิงทำลาย ไม่มีปัญหาแน่นอน” เขาร่ายคาถาหนึ่งประโยค โบกไม้เท้าเวทหนึ่งครั้ง ปรากฏพลังสีแดงสายหนึ่งราวกับไฟเย็นใต้พิภพพุ่งปะทุออกมา ดุจดั่งดาบเล่มหนึ่งตรงไปยังหอหมายเลขสิบแปด

“ฮึ ครั้งนี้จะต้องทำลายโล่มารนี้ได้แน่” ใบหน้าของ ‘เฒ่าอัคคี’ แสยะยิ้มมั่นใจอีกครั้ง

แต่ทว่า…

วูบ!

ดาบแดงเพลิงที่ฟาดฟันไปยังม่านพลังสีขาว ก็ประหนึ่งดาวตกที่พุ่งลงแม่น้ำ หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน

มุมปากของหลิวเฉิงหลงเริ่มกระตุก

 ‘เฒ่าอัคคี’ โมโหเดือดดาลทันควัน “สวรรค์ยังมีเมตตา เมื่อครู่ข้ายังปรานีอยู่บ้าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้…พิภพอสุรา ไฟนรกโลกันตร์ มารอัคคีแห่งความมืด โปรดรับฟังการอัญเชิญของข้า…” เขาเริ่มร่ายคาถา คลื่นพลังเวทอันน่าสะพรึงเริ่มหลั่งไหลมาจากตัวเขาและไม้เท้าที่อยู่ในมือ อากาศรอบๆ เต็มไปด้วยไอร้อนในพริบตา

เขาโบกไม้เท้าเวท จุดหนึ่งกลางอากาศปรากฏกระแสวนสีแดงเข้มขึ้นมา

หลังจากนั้น เสียงคำรามของปีศาจร้ายแว่วลอยออกมา

อะไรบางอย่างที่น่ากลัวกำลังดิ้นรนจะออกมาจากกระแสวนนั้น

“ท่านผู้เฒ่ากลับไปก่อนเถิด ท่านเสียงดังเอะอะเช่นนี้ ซินเอ๋อร์กลัวหมดแล้ว” เสียงที่ไม่สะทกสะท้านของฮวาเสี่ยงหรงดังออกมาจากในห้อง

แสงจันทร์สีขาวสายหนึ่งพุ่งทะลุบานประตู หายเข้าไปในกระแสวนสีแดง จากนั้นเสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังลั่นออกมาจากด้านใน ราวกับสิ่งมีชีวิตบางอย่างในนั้นถูกทำร้ายจนบาดเจ็บหนัก เพียงพริบตากระแสวนสีแดงก็สลายหายไป

หลิวเฉิงหลงทำหน้าราวกินหนูตาย หันหน้ามองไปยัง ‘เฒ่าอัคคี’

ฝ่ายหลังมุมปากสั่นระริก สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก คล้ายกับเป็นลมบ้าหมู ใบหน้าเหมือนมองเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น

………………