“ปัง…ปัง…”
เสียงกลองรบดังสนั่นทั่วเมืองหลันเยี่ยนทางใต้ กองทัพอสูรหนึ่งแสนตนและกองทัพเหล็กจากเมืองชีไห่ห้าหมื่นนายจัดขบวนทัพพร้อมอาวุธครบมือ สงครามกำลังจะเริ่มแล้ว
ถังเสี่ยวซีสวมชุดคลุมสีดำ ติดเหรียญตราดอกจื่อยินสีทองไว้ที่หน้าอก ตาคู่งามกวาดมองไปยังกองศพของประชาชนเบื้องหน้าและกำแพงเมืองทางใต้ที่กำลังซ่อมแซม หลินมู่อวี่ตายอยู่ตรงนั้น ถังเสี่ยวซีร่างกายสั่นสะท้านน้ำตาไหลไม่หยุด นางยกดาบในมือขึ้นก่อนจะออกคำสั่ง “เตรียมพร้อมรบ เลือดต้องชดใช้ด้วยเลือด!”
หลิงหูเหยียนควบม้าเข้ามา “องค์ราชินีเพคะ กำแพงเมืองหลันเยี่ยนมีแต่รูเต็มไปหมด มันไม่แข็งแกร่งพอให้ป้องกันข้าศึกได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้กระหม่อมขอเสนอให้ส่งทัพอสรพิษเข้าโจมตีก่อนด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นหินและพืชนั้นพวกอี้เหอคงไม่สามารถใช้ทหารม้าได้ สนามรบนี้เราได้เปรียบเพคะ”
“อืม”
ถังเสี่ยวซีพยักหน้าก่อนจะหันไปคุยกับถังเจิ้น “แม่ทัพถังเจิ้น สั่งพลธนูและพลหอกเตรียมพร้อมยิงใส่ทหารม้าของอี้เหอเพื่อช่วยลดจำนวนพวกมันลง ขอท่านโปรดเข้าใจ…เพราะเหล่าอสูรแพ้ทางทหารม้าเจ้าค่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”
ถังเจิ้นประสานกำปั้นคำนับ
เมื่อเสียงกลองรบเริ่มดังหนักขึ้น อสูรครึ่งอสรพิษก็เข้าประจำตำแหน่งแนวหน้าของกองทัพ ร่างเคลือบเกล็ดหน้าแลบลิ้นสีแดง ทั้งสองมือถือดาบเหล็ก ดวงตาสีน้ำตาลจดจ้องไปทางเมืองหลันเยี่ยนด้วยความกระหายในการเข่นฆ่า งูนั้นดุร้ายโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ด้วยการทำสงครามครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่พวกมันจะได้แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา
…
กองทัพนับพันเผชิญหน้ากันบริเวณทางใต้ของเมือง กองทัพอี้เหอซึ่งครอบครองเมืองหลันเยี่ยนอยู่ตอนนี้เริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาไม่เคยเห็นกองทัพอสูรเช่นนี้มาก่อน มีทั้งงูและกิ้งก่าแกว่งดาบไปมาอย่างน่าขนลุก
ฉินอี้สวมเสื้อสีทองยืนตระหง่านอยู่บนกำแพงเมือง ล้อมรอบด้วยกลุ่มข้าราชบริพารและแม่ทัพของจักรวรรดิอี้เหอ เขาหรี่ตามองก่อนจะเอ่ยขึ้น “มิใช่ว่าเมืองชีไห่ยอมสยบต่อจักรวรรดิอี้เหอแล้วรึ? แล้วเหตุใดถังเจิ้นจึงนำทัพชีไห่มาที่นี่?”
จื่อเย่าคำนับกล่าว “ถังเสี่ยวซีเป็นคนดำเนินการทุกอย่างขอรับ นางใช้ตราประจำตระกูลถังสั่งรวมกองทัพห้าหมื่นนาย ก่อนหน้านี้ที่เมืองหน้าด่านหลินมู่อวี่ได้ผูกมิตรกับเผ่าอสูรไว้ ดังนั้นถังเสี่ยวซีจึงมีอำนาจครอบคลุมไปถึงพวกอสุรกายนั่นด้วย เกินกว่าที่เราคาดไว้มาก…”
“ไอ้สารเลว!”
ฉินอี้ทุบหมัดจนฝุ่นตลบไปทั่วสนามรบก่อนจะกล่าวด้วยสายตาอันเหี้ยมโหด “ไอ้หลินมู่อวี่อีกแล้วรึ! ทุกอย่างเป็นเพราะมันคนเดียว! โชคดีที่ท่านลั่วหลานฆ่ามันเสียก่อน มิเช่นนั้นเราคงไม่ยึดเมืองหลันเยี่ยนได้ง่ายดายเช่นนี้ ท่านลั่วหลานไปหรือยัง?”
“ไปแล้วขอรับ”
จื่อเย่ากล่าว “เพราะความแกร่งของสี่ขอบเขตปราชญ์ทำให้ท่านลั่วหลานโมโหอย่างมาก เขาจึงออกจากมณฑลหลิงเป่ยตั้งแต่เมื่อวานเช้าแล้วขอรับ ทว่าก่อนไปเขาสั่งให้เราใช้ทอง เงิน เพชร แก้วหลากสีและหยกสร้างตำหนักใต้ภูเขาเฉิงเฟิงขอรับ ซึ่งทำให้เราเสียกำลังพลอย่างมาก…”
ฉินอี้คลี่ยิ้ม “ช่างปะไร ทำถามที่เขาต้องการเถิด ตราบใดที่ลั่วหลานยังอยู่ที่นี่ จักรวรรดิเราจะไม่มีวันพ่ายแพ้! ถึงกระนั้น…ขณะที่ถังเสี่ยวซีและพวกเผ่าอสูรกำลังจะโจมตีเมืองเช่นนี้ เหตุใดหลงเซียนหลินจึงยังไม่กลับมาอีก?”
จื่อเย่าตอบ “มีแม่ทัพรายงานกลับมาว่าหลงเซียนหลินบาดเจ็บจากการเผากองทัพอวี้หลินสามหมื่นนายเมื่อคืนนี้ กระทั่งรุ่งสางมีไข้ขึ้นจึงไม่สามารถมาร่วมทัพได้ขอรับ”
“ชิ…”
ฉินอี้ขมวดคิ้ว “นำทัพออกศึกได้เป็นเดือนแต่มาล้มป่วยเอาเวลานี้ ท้ายที่สุดเจ้าหลงเซียนหลินก็เทียบกับแม่ทัพจากหลิงหนานของเราไม่ได้ ในบรรดาแม่ทัพทั้งหลายที่มีอยู่ จื่อเย่า…เจ้าจงเลือกมาคนหนึ่งให้ออกจากเมืองไปจัดการกับกองทัพอสูรพวกนั้นเสีย!”
“ขอรับ”
จื่อเย่าประสานกำปั้นกล่าว “เช่นนั้นให้เป็นหน้าที่ของแม่ทัพลู่จ่าวดีหรือไม่? ลู่จ่าวเป็นคนจากหลิงหนาน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในศิลปะการทำสงครามอย่างดี อีกทั้งยังเป็นยอดแม่ทัพจากทั้งหมด สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มาก”
“อืม”
ฉินอี้พยักหน้าก่อนจะกล่าวด้วยแววตาเศร้าหมอง “น่าเสียดายที่แม่ทัพหลินอี้ถูกไอ้สวะหลินมู่อวี่ฆ่า มิเช่นนั้นด้วยความสามารถของเขาคงไม่ต้องกลัวกองทัพแสนห้าที่อยู่นอกเมืองนั้นด้วยซ้ำ! ออกคำสั่งให้ยอดแม่ทัพลู่จ่าวของเจ้า ต้องหยุดกองทัพถังเสี่ยวซีให้ได้โดยห้ามมีอะไรผิดพลาด!”
“ขอรับ!”
จื่อเย่าเงยหน้าขึ้นก่อนจะกล่าว “อีกเรื่องขอรับ ข้าได้รับข่าวทายาทที่เหลืออยู่ของจักรวรรดิฉิน…องค์หญิงฉินอิน นางลี้ภัยไปที่ภูเขาหลงหยานพร้อมกับกลุ่มทหารมังกรผงาด ตอนนี้ทหารเมืองสายัณห์สามพันนายกำลังล้อมพวกมันอยู่”
“ฉินอินรึ?”
ฉินอี้กัดฟันกรอด “หากไม่รีบกำจัดฉินอินเสีย นางต้องพยายามฟื้นฟูระบบกษัตริย์เป็นแน่ นี่จะเป็นหายนะอันใหญ่หลวงของแผ่นดินในภายภาคหน้า จื่อเย่า จงนำหนึ่งแสนนายบุกโจมตีภูเขาหลงหยาน!”
“หนึ่งแสนนายหรือขอรับ?”
จื่อเย่าชะงัก “เช่นนั้นมันมากเกินไปนะขอรับ หากเราแบ่งกำลังพลไปหนึ่งแสน เราจะเหลือทหารอีกเพียงสองแสนคอยคุ้มกันเมือง ข้าเกรงว่า…เราอาจจัดการกองทัพแสนห้าถังเสี่ยวซีได้ยากขึ้น!”
ฉินอี้มองด้วยสายตาแข็งกร้าว “ภูเขาหลงหยานอันเล็กจ้อย ด้วยทหารหนึ่งแสนนายจะถล่มที่นั่นได้ภายในพริบตา เมื่อสังหารฉินอินได้แล้วค่อยกลับมาสมทบกับทัพหลักโดยการอ้อมไปด้านหลังของพวกถังเสี่ยวซี เท่านี้เราก็จะได้รับชัยชนะมาอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนี้เรายังไม่เห็นทีท่าใดของถังหลานและซูมู่หยุน โดยเฉพาะซูมู่หยุนที่มีกองทัพทหารชั้นยอดที่สุดสองแสนห้าหมื่นนายอยู่ในมณฑลอวิ้นจง…ขุนนางที่มีอำนาจทางทหารมากที่สุด จงจับตาดูมันให้ดี”
“ขอรับ!”
“อีกเรื่อง”
“มีสิ่งใดอีกหรือขอรับ?” จื่อเย่าถาม
ฉินอี้ถาม “แม่ทัพเฟิงจี้สิง…มีท่าทีจะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเราหรือไม่?”
“แม่ทัพเฟิงจี้สิงหรือขอรับ?” จื่อเย่ายิ้ม “แม่ทัพขี้แพ้เช่นนั้นไม่มีค่าพอให้เข้าร่วมกับเราหรอกขอรับ”
“แม่ทัพขี้แพ้?”
ฉินอี้ยิ้ม “ที่ภูเขาเทียนชู่ เฟิงจี้สิงใช้ทักษะนำทัพถอยสามบุกสาม เพื่อเอาชนะกองทหารเทียนชู่จนไม่สามารถโต้กลับได้ อีกทั้งเขายังสามารถจัดการกับกองกำลังสองแสนนายของเราด้วยทหารเพียงสามหมื่นนาย เขายังเป็นแม่ทัพขี้แพ้อยู่หรือไม่? หากไม่เป็นเพราะฉินจิ้นเขาคงจะเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของจักรวรรดิไปนานแล้ว”
จื่อเย่าตกตะลึง “เราได้ทำการสังหารกองทหารสามหมื่นนายของมันไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แม้แต่หลัวเลี่ยรองผู้บัญชาการคนสนิทของมันก็ถูกยิงตายไปด้วย ข้าเกรงว่า…เฟิงจี้สิงคงไม่ยอมจำนนต่อจักรวรรดิอี้เหอแน่นอน”
“เฮ้อ…” ฉินอี้ถอนหายใจ “เฟิงจี้สิงนั้นเปรียบเสมือนพยัคฆ์ มันสามารถแว้งกัดเราได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นก็จงกำจัดมันให้เร็วที่สุด!”
“ขอรับ!”
“อีกอย่าง…ผลึกแร่ยักษ์…แตกหรือยัง?”
“ยังขอรับ มันแข็งมากจนทำลายไม่ได้เลย แม้หลินมู่อวี่จะตายไปแล้ว เราก็ยังพอมองเห็นร่างของมันที่นอนข้างในได้อยู่ แต่…”
“ไม่มีแต่” ฉินอี้กล่าว “สั่งให้หน่วยคุ้มกันเคลื่อนย้ายผลึกออกจากเมืองอย่างเงียบเชียบคืนนี้ และเอาไปฝังไว้ในที่แห้งสกปรก ข้าไม่อยากเห็นมันอีก”
“ขอรับ!”
…
กลองรบรัวสนั่น กองทัพอี้เหอจัดขบวนหน้าเมืองหลันเยี่ยนโดยที่หลายคนยังมีคราบเลือดเกาะเต็มชุดอยู่ เลือดที่มาจากการสังหารประชาชนในเมืองกว่าห้าร้อยคน ทหารอี้เหอได้ไล่ล่าสังหารไปแล้วกว่าหนึ่งในสามของเมือง ตอนนี้ยังเหลือชาวเมืองอยู่อีกว่าหมื่นคนที่ถูกขังไว้รอวันตาย และการที่ถังเสี่ยวซียกทัพมาประชิดเมืองนี้จึงเป็นการช่วยชีวิตพวกเขาไปด้วย
เมื่อเห็นทหารอี้เหอเคลื่อนทัพออกจากเมือง ถังเจิ้นก็กระชับดาบในมือด้วยความตื่นเต้น “องค์หญิง พวกมันเคลื่อนทัพแล้ว เรากำลังจะเริ่มสงครามพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเสี่ยวซีหรี่ตางมอง “เกราะไม้อย่างนั้นหรือ? พวกอี้เหอคิดสิ่งใดอยู่…ด้วยโล่ไม้กับดาบง่อยๆ นั่นคิดว่าจะเอาชนะกองทัพอสูรได้รึ?”
หลิงหูเหยียนคลี่ยิ้ม “องค์ราชินี ให้ทัพอสรพิษเปิดการโจมตีเลยดีหรือไม่เพคะ?”
“อืม”
ถังเสี่ยวซีพยักหน้า “แม่ทัพถังเจิ้น ท่านรู้กลยุทธ์สงคราม ข้าจะให้ท่านสั่งการ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ถังเจิ้นประสานกำปั้นคำนับ “ด้วยภูมิประเทศที่ซับซ้อนและเปลี่ยนไปอย่างมากของเมืองหลันเยี่ยน อีกทั้งเราไม่รู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมือง ดังนั้นต้องให้กองทัพอสรพิษรบอยู่นอกเมือง เข้าประชิดกำแพงให้ได้และถอยทันที วิธีนี้จะทำให้พวกมันเปลืองเสบียงและกำลังรบจนไม่สามารถป้องกันเมืองเอาไว้ได้เและตกเป็นของเราในที่สุด”
“อืม” หลิงหูเหยียนยิ้มก่อนจะตะโกนสั่งแม่ทัพอสูรอสรพิษด้วยภาษาอสูร แม่ทัพอสูรอสรพิษชูหอกเหล็กขึ้นและตะโกนลั่น ก่อนจะนำทัพอสรพิษหมื่นตนบุกเข้าไป
อสูรครึ่งอสรพิษที่น่ากลัวเหล่านี้ได้กลายเป็นกำลังหลักในการกอบกู้เมืองหลวงของอาณาจักรมนุษย์ ราวกับโชคชะตาจะเล่นตลกกับประวัติศาสตร์อันยาวนาน
…
ณ เมืองหยาดสายัณห์มีฝนโปรยปรายชโลมทั้งเมืองจนดอกท้อและดอกลูกแพรเบ่งบานราวกับฤดูใบไม้ผลิกำลังจะกลับมา
ซูมู่หยุนสวมเกราะ ถือดาบปลายแหลมไว้ในมือด้วยใบหน้าบึ้งตึง มองไปยังต้นลูกแพรในสวนและพูดพึมพำ “ฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามา หิมะบนถนนสายเก่าแห่งเมืองอวิ้นจงคงใกล้ละลายแล้วใช่หรือไม่?”
ซูอวี่กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ท่านพ่อ…ท่านจะรออีกนานเท่าไรเจ้าคะ? หากยังคงรีรอเช่นนี้…ข้าเกรงว่าภูเขาหลงหยานจะถูกโจมตีและฉินอินทายาทคนสุดท้ายอาจตายนะเจ้าคะ”
ซูมู่หยุนยิ้มจางๆ “อย่าห่วงเลย ภูเขาหลงหยานไม่แตกพ่ายง่ายดายเช่นนั้นหรอก เสี่ยวอินแข็งแกร่งยิ่งกว่าพ่อของนางเสียอีก…”
ซูอวี่ไม่ตอบ “ท่านพ่อปฏิเสธที่จะส่งกองทัพไปช่วยจนทำให้เมืองหลันเยี่ยนต้องล่มสลาย ทหารอวี้หลินล้มตายมากมาย เสี่ยวอินเองก็ต้องหนีตายแม่จะรอดไปได้อย่างหวุดหวิด ท่านพ่อเป็นคนไร้หัวใจ!”
“ไร้หัวใจหรือ?”
ซูมู่หยุนเงยหน้ามองท้องฟ้า “เหตุใดสวรรค์ต้องทำกับข้าเช่นนี้ด้วย? ซูมู่หยุนผู้นี้มีลูกชายเพียงคนเดียวซ้ำยังถูกวางแผนลอบฆ่าโดยลูกเขยอีก อาอวี่…การที่เซี่ยงอวี้สังหารซูฉินนั้น เจ้าไม่คิดหรือว่ามันถูกเตรียมการไว้แล้ว? หากการที่เมืองหลันเยี่ยนต้องตกอยู่ในความลำบากเช่นทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะฝีมือของฉินจิ้นเองทั้งนั้น”
“ท่านพ่อ…”
ซูอวี่กุมมือซูมู่หยุน “ข้าเพียงอยากรู้ว่าเมื่อไรเราจะออกไปช่วยเสี่ยวอินกันเสียที?”