ชิวอวี้มีท่าทางสงบนิ่ง จัดการงานอย่างเป็นระบบระเบียบ หลินเมิ้งหยาพลันนึกถึงใครบางคนขึ้นมา
วังหลวงล้วนมีแต่เรื่องน่าพิศวง ขันทีที่ภายนอกดูไร้ประโยชน์คนหนึ่งกลับเคยเป็นถึงแม่ทัพผู้องอาจ เช่นนั้นหมอหลวงที่ดูไร้อำนาจคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันนะ?
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ชิวอวี้หันหน้ากลับมาหาหลินเมิ้งหยา ก่อนจะได้เห็นท่าทางสนใจใคร่รู้ของนาง
“อะไร? ตัวข้ามีสิ่งผิดปกติอันใดหรือ?”
ชิวอวี้ก้มหน้าสำรวจตนเอง โชคดีที่หาได้มีสิ่งใดผิดปกติไม่
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าพลางหัวเราะ พวกเขาเป็นคนฉลาด นางรู้ดีว่าต่อให้ถามออกไปก็คงมิได้รับคำตอบ
คงต้องรอวันที่เขาจะเป็นฝ่ายบอกความจริงกับนางเอง
“ข้าแค่แปลกใจว่าเพราะเหตุใดคนในตำหนักนี้จึงเชื่อฟังคำพูดของเจ้า ดูเหมือนหมอชิวจะมิได้แสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ตอนที่อยู่ในสำนักหมอหลวงอย่างนั้นสินะ”
หลินเมิ้งหยาทำเพียงหยักยิ้มล้อเลียน ชิวอวี้กลับเข้าใจความหมายของนาง
ใบหน้าหล่อเหลาแย้มยิ้มบางๆ ทว่าสายตากลับเผยให้เห็นความประหม่า
“นี่เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้รับสั่งเอาไว้ก่อนจะบรรทมไม่ฟื้น ทุกคนในวังล้วนมีความจงรักภักดี ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังถูกขังอยู่ที่นี่หนึ่งปีเต็มแล้ว”
ที่แท้ก็เป็นพระบัญชาจากฮ่องเต้? หลินเมิ้งหยากวาดสายตามอง สีหน้าของทุกคนล้วนหวาดระแวง
นี่คือปฏิกิริยาของคนที่มิได้ออกไปเผชิญกับโลกภายนอกเป็นเวลานาน
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ดูท่าพระอาการของฮ่องเต้คงเลวร้ายกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก
“พระวรกายของฮ่องเต้…ข้าหมายถึงอาการประชวรของฮ่องเต้เป็นไปตามบันทึกชีพจรอย่างนั้นหรือ? เหตุเพราะร่างกายอ่อนแอ พระองค์จึงยังคงสลบไสลมิฟื้นคืนสติ?”
พูดไปพูดมา ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็วกกลับมายังคำถามหลัก
จ้องมองแววตาจริงจังของนาง สีหน้าของชิวอวี้เคร่งขรึมลง
สายตาเผยความลังเล ก่อนจะถอนหายใจ
“เจ้าลองไปดูด้วยตนเองเถิด พระอาการของฮ่องเต้….มิได้ธรรมดาอย่างที่เจ้าคิด”
ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หัวใจของหลินเมิ้งหยาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย นางเดินตามชิวอวี้เข้าไปในส่วนลึกสุดของตำหนัก
ผลักประตูไม้สีแดงเข้าไป กลิ่นยาสมุนไพรฉุนกึกลอยกระทบจมูก
กลิ่นยาสมุนไพรเหล่านี้ทำให้หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูรู้สึกวิงเวียน
ทว่านางในที่อยู่รอบๆ กลับไม่มีอาการเหล่านั้น พวกนางยังคงเดินเข้าออกเป็นปกติ
“พวกนางชินแล้ว เหตุเพราะจะต้องใช้ยาสมุนไพรจำนวนมากทุกวันจึงจะสามารถประคองอาการของฮ่องเต้มิให้เลวร้ายลงได้ เฮ้อ สถานการณ์ในยามนี้ค่อนข้างซับซ้อน เจ้าเข้าไปตรวจสอบด้วยตัวเองเถิด”
เห็นได้ชัดว่าเขามิอาจบรรยายพระอาการของฮ่องเต้ด้วยคำพูดได้
หลินเมิ้งหยาสบตากับป๋ายซู ก่อนจะเดินตามชิวอวี้เข้าไปในห้องบรรทมของฮ่องเต้
เตียงขนาดใหญ่สีเหลืองอร่าม ใบหน้าสง่างามของชายวัยกลางคนเด่นชัดขึ้นมา ทว่าเขากลับหลับตาสนิท ไม่ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจ
หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะได้เห็นใบหน้าพ่อสามีของตน
เพราะเหตุนี้แม้พวกองค์ชายและองค์หญิงจะหน้าตาแตกต่างกัน แต่พวกเขากลับมีผิวพรรณเหมือนกัน
ฮ่องเต้ที่กำลังหลับตาสนิทบนเตียงสง่างามน่าเกรงขามยิ่งนัก
ใบหน้าคมเข้มราวกับใบมีด ความหล่อเหลาส่งผ่านไปยังพวกองค์ชาย แต่สิ่งที่พวกคนรุ่นเยาว์มิอาจเทียบเคียงได้คือความน่าเกรงขาม
แต่เพราะพระอาการประชวร ดังนั้นร่างกายของเขาจึงซูบผอมลงมาก
หากฮ่องเต้ยังพระชนมพรรษายี่สิบต้นๆ แล้วล่ะก็ บางทีเขาอาจทำให้หญิงสาวทั้งเมืองลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น
ทว่า…คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากันแน่น อาการของฮ่องเต้หาได้มีสิ่งผิดปกติอันใด
“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะอยู่ที่นี่เอง”
ชิวอวี้ออกปากไล่นางใน สายตาพลันวาดไปทางหลินเมิ้งหยาอย่างมีความหวัง
เขาเคยสอบถามหมอหลวงทั้งหมดแล้ว แต่กลับไม่มีใครมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาการประชวรของฮ่องเต้เลยทั้งสิ้น
ต่อให้เป็นพวกซูถง บางทีพวกเขาอาจจะไม่รู้เรื่องพระอาการประชวรของฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกคาดหวังกับหลินเมิ้งหยามากเหลือเกิน
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
เมื่อไม่มีนางในคอยจับจ้อง หลินเมิ้งหยาจึงเริ่มตรวจสอบอาการประชวรของฮ่องเต้
น่าแปลก แปลกประหลาดยิ่งนัก
หลินเมิ้งหยายิ่งมองก็ยิ่งสงสัย สุดท้ายนางจับมือของฮ่องเต้ ทว่าความสงสัยกลับยิ่งทวีคูณ
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
หลังจากตรวจพระอาการอยู่ครึ่งชั่วโมง หลินเมิ้งหยาจึงเอ่ยออกมา
สีหน้าของชิวอวี้และป๋ายซูสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก
“หมายความว่าอย่างไร? เจ้ารู้หรือว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้จึงบรรทมมิฟื้นเช่นนี้?”
ชิวอวี้พยายามสะกดความกระวนกระวายในใจเอาไว้
หลินเมิ้งหยาเหลือบมองเขา ก่อนจะเอ่ย
“ข้าเพิ่งเคยพบคนที่มีอาการเช่นนี้เป็นครั้งแรก ร่างกายของพระองค์เต็มไปด้วยยาพิษหลากชนิด แต่ที่น่าแปลกก็คือแม้ภายในร่างกายของฮ่องเต้จะมีพิษมากมาย แต่กลับสมดุลกันอย่างน่าประหลาด ฉะนั้นยาที่พระองค์เสวยจึงเป็นตัวขับให้พิษในร่างปะทุรุนแรงยิ่งขึ้น ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน นางมั่นใจว่าการวิเคราะห์ของระบบเซินหนงไม่มีทางผิดพลาด
“เจ้ามองออกหรือไม่ว่าฮ่องเต้ถูกวางยาพิษชนิดใด?”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด น้ำเสียงของชิวอวี้ฟังดูกระตือรือร้นเล็กน้อยขณะที่เอ่ยถามหลินเมิ้งหยา
“ข้า…ไม่ได้ พิษมีมากจนเกินไป รวมๆ แล้วน่าจะมีราวร้อยกว่าชนิด”
หลินเมิ้งหยาตอบเสียงอ่อยเสมือนคนพ่ายแพ้ แต่นางกลับไม่ทันเห็นดวงตาตื่นตะลึงของชิวอวี้
เขาที่เรียนรู้เรื่องแพทย์มาเกือบทั้งชีวิตสามารถจำแนกพิษออกมาได้เพียงสิบชนิดเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะสามารถบอกจำนวนพิษออกมาได้จากการตรวจเพียงครั้งเดียว
พิษกว่าร้อยชนิดอาจฟังดูมากมายเกินจริง
แต่นั่นเท่ากับว่าอาหารและยาที่ฮ่องเต้เสวยล้วนเป็นพิษทั้งสิ้นมิใช่หรือ?
“อาการค่อนข้างซับซ้อน พิษเหล่านี้มิใช่เพียงสร้างความเสียหายต่อร่างกาย แต่ยังสามารถทำให้ฮ่องเต้ประคับประคองลมหายใจต่อไปได้ หรืออาจพูดได้ว่าตอนนี้ฮ่องเต้กำลังอาศัยยาพิษในการรักษาชีวิตอยู่ ฉะนั้นจึงไม่มีทางถอนพิษออกไปได้”
หลินเมิ้งหยาเองก็คิดไม่ถึงว่าอาการของฮ่องเต้จะซับซ้อนถึงเพียงนี้
“เจ้าดูออกจริงๆ ด้วย ใช่แล้ว ฮ่องเต้ถูกวางยาพิษ ดังนั้นจึงอยู่ในสภาพเช่นนี้ ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาข้าพยายามลองคิดหาวิธีถอนพิษให้กับพระองค์ แต่กลับไร้ผล”
ชิวอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ
ครุ่นคิด หากมองจากทักษะทางการแพทย์ของเขา การเผชิญหน้ากับยาพิษมิต่างอันใดจากการทำสงคราม ขณะเดียวกันนั่นคือความมั่นใจและภาคภูมิใจในตนเองด้วย
ยิ่งเป็นคนเก่งก็ยิ่งไม่อาจยอมรับต่อความพ่ายแพ้
เช่นเดียวกันกับคนอย่างชิวอวี้
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดอยู่หลายตลบ สถานการณ์ในคราวนี้ซับซ้อนยิ่งนัก เหตุเพราะข้อมูลที่มีจำกัด ดังนั้นแม้แต่ระบบเซินหนงเองก็ไม่มีผลลัพธ์ที่ชัดเจนออกมาให้
ทว่าแม้จะไม่มีการรักษาที่ได้ผลชัดเจน แต่ถึงกระนั้นระบบเซินหนงก็อธิบายขั้นตอนการรักษาสองสามอย่างให้ทราบ
หลังจากเปรียบเทียบอยู่ครู่หนึ่ง หลินเมิ้งหยาจึงตัดสินใจใช้วิธีที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายน้อยที่สุดในการรักษาพระอาการประชวรของฮ่องเต้
“ข้าคิดว่าตอนแรกฮ่องเต้จะต้องได้รับพิษปริมาณเล็กน้อยก่อน แต่เพราะร่างกายของฮ่องเต้มีความสำคัญต่อบ้านเมือง ฉะนั้นพระองค์จึงมิได้แสดงอาการออกมาให้เห็น ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อปกปิดยาพิษชนิดนี้ พวกเขาจึงใช้ยาพิษชนิดอื่นเพื่อปิดบังเก็บซ่อนยาพิษชนิดนี้เอาไว้ แต่พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่ายาพิษทั้งสองชนิดจะผสมเข้าด้วยกันและเกิดเป็นผลลัพธ์ใหม่ หลังจากข้าได้ตรวจชีพจรดูแล้ว คาดว่าพวกหมอหลวงจะต้องไม่รู้อย่างแน่นอนว่าอาการประชวรของฮ่องเต้เกิดจากยาพิษ แต่เพราะอาการประชวรที่ซับซ้อนของฮ่องเต้ ฉะนั้นพวกเขาจึงผสมยาถอนพิษบางชนิดลงในตำรับยาของตนเองเพื่อทดลองรักษา”
ตอนนี้หลินเมิ้งหยาสามารถไขข้อข้องใจของตนเองได้แล้วหลายอย่าง
เพราะเหตุนี้พวกหมอหลวงจึงไม่กล้าเผยว่าฮ่องเต้ถูกวางยาพิษ
หนึ่ง เพราะหากไม่ใช้วิธีตรวจสอบพิเศษ เช่นนั้นพวกเขาจะไม่อาจบอกได้ว่าฮ่องเต้ถูกวางยาพิษ
สอง เพราะพวกเขาไม่มั่นใจ ดังนั้นจึงทดลองใช้ยาถอนพิษกับฮ่องเต้
ตอนนี้ยาพิษซึมลึกถึงกระดูกแล้ว หากยังรักษาผิดวิธี เกรงว่าพิษของยาจะรุนแรงยิ่งขึ้น
ตอนนี้ยาพิษในร่างของฮ่องเต้รุนแรงยิ่งนัก
“ถูกต้อง ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่น่าเสียดายที่ความรู้ของข้ามีเพียงน้อยนิด ฉะนั้นจึงไม่กล้าออกหน้าต่อกรกับพวกเขา มิทราบว่าชายาอวี้มีวิธีในการถอนพิษออกจากร่างของฮ่องเต้หรือไม่?”
ชิวอวี้หยักยิ้มขมขื่น แต่มิรู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงคาดหวังและเชื่อมั่นในตัวหลินเมิ้งหยาเหลือเกิน
หากเรื่องเหล่านั้นเป็นความจริง เช่นนั้นคนเดียวที่จะช่วยฮ่องเต้ได้ก็มีเพียงหลินเมิ้งหยาเท่านั้น!
“ข้า…หาใช่ไม่มีวิธีเลยเสียทีเดียว แต่เกรงว่าจะยุ่งยากเป็นอย่างมาก วันนี้ข้าได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อถวายการตรวจชีพจรแล้ว คาดว่าหากออกจากที่นี่ไปแล้ว ข้าคงต้องเจอคลื่นพายุครั้งใหญ่ หากเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้า เช่นนั้นเจ้าช่วยเล่นละครตบตากับข้าได้หรือไม่?”
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หลินเมิ้งหยามิอาจถอนตัวได้อีกต่อไป
สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม แต่ถึงกระนั้นก็แฝงไว้ซึ่งความมั่นใจบางอย่าง
ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับหนักแน่นจนชิวอวี้รู้สึกได้ถึงความวางใจ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ชีวิตคนเราต้องฟันฝ่าอุปสรรคสิถึงจะถูก ตั้งแต่เกิดมาชีวิตของข้าล้วนแกว่งไกวไม่มั่นคงมาโดยตลอด ไม่ว่าทางข้างหน้าจะต้องเจอกับลมหรือพายุ ข้าก็จะเดินไปด้วยกันกับเจ้า!”
คำพูดของเขาเจือไว้ซึ่งความอ่อนโยน
หลินเมิ้งหยาหันไปมองชิวอวี้ ใบหน้าแย้มยิ้มกว้างอย่างจริงใจ
ดูเหมือนข้างกายนางจะมีคนที่มีความลับมากมายแต่พร้อมเป็นเพื่อนตายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว