“ผู้อาวุโส ผู้อาวุโส” จื่อฉีไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก เหตุใดร่างของผู้อาวุโสถึงได้สลายไป นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเจอกันอีกครั้งแล้วต้องจากกันตลอดกาล

“จื่อฉี เจ้าเป็นเด็กดี ภารกิจของผู้อาวุโสสำเร็จแล้ว ข้าหลุดพ้นแล้ว พี่สาวของเจ้าบอกแล้วว่าข้าจะได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ข้าหวังว่าพวกเราจะได้เจอกันอีก” จ้านปู้หุ่ยพูดพลางมองจื่อฉีที่กำลังร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า ส่วนสามีภรรยาที่อยู่ด้านข้างสงบนิ่งลงมากแล้ว

“หลิวหลี ขอบใจเจ้ามาก ข้าได้ทำตามความปรารถนาแล้ว แต่ในช่วงสุดท้ายในชีวิต ข้าอยากได้ยินเจ้าเรียกข้าว่าบรรพชนสักครั้ง ข้ารู้ว่าเจ้ามีสายเลือดสกุลจ้าน” จ้านปู้หุ่ยกล่าว

“บรรพชน” หลิวหลีเรียกออกมา บรรพชนของสกุลจ้าน ผู้อาวุโสปู้หุ่ยคงอยากมีทายาทกระมัง

“ดีๆ เจ้าหนู ดูแลนังหนูสกุลจ้านของข้าให้ดีล่ะ” จ้านปู้หุ่ยเอ่ยประโยคสุดท้าย ก่อนจะกลายเป็นแสงสีทองแล้วสลายไป

“บรรพชน” หลิวหลีมองจุดสีทองสลายไป ผู้คนในดินแดนอสูรเทพจะรับรู้สิ่งที่ผู้อาวุโสทำไปบ้างหรือไม่

“ท่านพี่ ข้ายังไม่ได้บอกบรรพชนเลยว่ามู่มู่ตั้งครรภ์แล้ว ข้าจะได้เป็นพ่อคนแล้ว” จื่อฉีพูดอย่างโศกเศร้า หางตามีคราบน้ำตาอยู่

“ผู้อาวุโสจะต้องดีใจกับเจ้าแน่ เดี๋ยวก่อนนะ เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นพ่อคนแล้ว” ก่อนหน้านี้หลิวหลียังเสียใจอยู่ วินาทีต่อมากลับรู้สึกราวกับถูกตบ จื่อฉีจะเป็นพ่อแล้ว จื่อฉีที่นางเลี้ยงมากับมือจะเป็นพ่อคนแล้ว จื่อฉี เจ้าเด็กร้ายกาจ ขยันอะไรขนาดนั้น ไม่รู้หรือว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรต้องบำเพ็ญเพียรเป็นหลัก ไม่ใช่ว่าจะหมดหวังกับการบรรรลุสักหน่อยจะรีบทำลูกออกมาทำไมกัน นางยังไม่หายเสียใจจากเรื่องของเอ๋าเลี่ยกับอิงเสวี่ยเลย เจ้าเด็กนี่ก็มาทำร้ายจิตใจนางอีก ทำไมนะทำไม มีแต่นางที่ไม่มีข่าวคราวอะไรบ้างเลย

หนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างๆประหนึ่งน้ำแข็งก้อนยักษ์ ร่างกายแผ่ไอเย็นออกมา เจ้าเด็กนี้มาเพื่อยั่วโมโหเขากระมัง เขาที่แต่งงานเร็วที่สุดจนถึงตอนนี้ก็ไร้ซึ่งข่าวคราวใด รู้สึกเหมือนโดนดูถูกโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด เขาต้องเข้าฌานแล้ว ไม่ใช่ว่าอสูรเทพมีลูกยากไม่ใช่หรือ เหตุใดสหายคู่นี้ของเขาถึงได้รวดเร็วเช่นนี้ หรือว่ามีเคล็ดลับอะไร

“ใช่ มู่มู่ตั้งครรภ์แล้ว ข้าอยากบอกท่านพี่ว่านางอยากกินปลาต้มผักกาดดองที่ท่านทำ สุดท้ายพี่อาเลี่ยบอกว่าไม่รู้ว่าท่านไปไหน จึงอยากจะมาบอกกับผู้อาวุโส แต่ใครจะรู้ว่าผู้อาวุโส ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่” จื่อฉียังคงไม่เข้าใจ

“จื่อฉี ข้าบอกเจ้าได้เพียงแค่ว่าผู้อาวุโสปู้หุ่ยจะมีความสุขมากในภพชาติหน้า ชาตินี้เขาอับโชคต้องติดอยู่ในวังวนที่ยุ่งเหยิง นี่ถือเป็นการหลุดพ้นอย่างหนึ่งของผู้อาวุโส เจ้าว่าเหตุใดดวงตาทั้งสองข้างของผู้อาวุโสถึงเป็นสีแดง นั่นเป็นเพราะดวงตาทั้งสองข้างของเขาสะกดเชื้อพระวงศ์ของเผ่ามารรัตติกาลเอาไว้ นอกเสียจากว่าพลังนี้จะถูกดูดซึมไป มิเช่นนั้นผู้อาวุโสจะไม่มีตุดจบที่ดี” หลิวหลีอธิบาย

“ข้ามีดวงตากิเลนไปก็ไร้ประโยชน์ แม้แต่เรื่องนี้ยังมองไม่เห็น ข้ายังมีข้อบกพร่องอีกมากจริงด้วย” จื่อฉีเย้ยหยันตนเอง

“จื่อฉี เรืองนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าไม่เคยพูดเรื่องเผ่ามารรัตติกาลกับเจ้า ตอนนี้ยังมีกลุ่มคนที่เหลืออยู่ของเผ่ามารรัตติกาล ผ่านวันและเวลาก็เติบโตขึ้นมา แต่ในบรรดาผู้ที่หลงเหลืออยู่ สายเลือดที่สูงส่งที่สุดนั้นคือราชา เขาทำได้เพียงดูดซับสายเลือดราชวงศ์ของเผ่าถึงจะบรรลุเป็นจักรพรรดิเซียนได้ แล้วเผ่ามารรัตติกาลที่หลงเหลืออยู่ถึงจะยอมรับเขาอย่างสมบูรณ์ ถึงจะมีความสามารถก่อกวนโลกเซียนให้ตกอยู่ในความวุ่นวายได้” หลิวหลีพูด

“คนที่หลงเหลืออยู่ของเผ่ามารรัตติกาล ความชั่วร้ายนี่อยู่ยาวนานจริงๆ” ในตอนนี้จื่อฉีเกลียดชังคนที่เหลืออยู่ของเผ่ามารรัตติกาลอย่างมาก

“ยังไม่ถึงเวลา จื่อฉี เจ้าจำเป็นต้องพัฒนาพลังบำเพ็ญเพียรของเจ้า อีกอย่าง เจ้ามาหาข้าคงมีเรื่องอื่นอีกกระมัง” หลิวหลีลูบหน้าอกตนเอง ชาไปหมดแล้ว โดนทำร้ายจนไร้ซึ่งความรู้สึกไปแล้ว

“ใช่ เมื่อครู่บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่ามู่มู่ตั้งครรภ์แล้วอยากกินปลาต้มผักกาดดองที่ท่านพี่ทำ” จื่อฉีเข้าใจ ท่านพี่บอกว่ายังไม่ถึงเวลา ก็แปลว่ายังไม่ถึงเวลาจริงๆ เขารอได้ รอจนถึงวันนั้นที่เขาจะได้แก้แค้นให้ผู้อาวุโส

“ตกลง ไปเถอะจื่อฉี ต่อไปก็คงไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว” หลิวหลีพูดพลางมองไปรอบๆ

“น้องหญิง จื่อฉี พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ มีคนมาแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนพูด

“ได้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีนักที่จะเปิดเผยเรื่องที่เรารู้จักกับผู้อาวุโสปู้หุ่ย” หลิวหลีพยักหน้า ทั้งสามรีบเดินออกไป คลาดกับอสูรเทพและผู้นำทั้งห้าสกุลพอดี

“บรรพชนปู้หุ่ยสลายกลายเป็นฝุ่นธุลีไปแล้วจริงๆ เช่นนั้นปีศาจเผ่ามารรัตติกาลที่ถูกสะกดไว้ก็น่าจะตายแล้วเหมือนกัน ข้าไม่เคยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของนางเลย” เอ๋าเฟิงพูด

“นั่นสิ ต้องยอมรับเลยว่าพวกเราติดค้างบรรพบุรุษปู้หุ่ยมาก” หลงเฟยหยางพูด

“ท่านพี่ ท่านจะไปวังนภาพฤกษากับข้าจะดูไม่ดีหรือไม่” จื่อฉีเห็นหลิวหลีจะไปวังนภาพฤกษากับตน ก็ขัดขืนน้อยๆ เขาเป็นคนมีแม่ยาย เดี๋ยวแม่ยายจะคิดว่าเขาไร้ซึ่งความกล้าหาญหรือเปล่านะ พาท่านพี่กลับไปด้วยจะทำให้เกิดความขัดแย้งหรือไม่

“นี่ นี่เจ้ากำลังกลัวว่าจักรพรรดินีนภาพฤกษาจะคิดมากหรือ เฮ้อ จื่อฉีน้อยของข้าโตขึ้นแล้วนะ จริงสิ จะเป็นพ่อคนอยู่แล้วไม่โตขึ้นก็คงไม่ถูก” หลิวหลีทอดถอนใจ คิดไม่ถึงว่าจื่อฉีจะคิดเช่นนี้ นางพลันรู้สึกใจหายเหมือนลูกของตนเองโตขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

“เหอะๆ” จื่อฉีไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำได้เพียงยิ้มแหยๆ

“ไม่เป็นไร เจ้าวางใจเถอะ ข้าไป จักรพรรดินีนภาพฤกษาไม่มีทางว่าอะไร แถมยังจะต้อนรับข้าอย่างดีด้วย” หลิวหลีพูดยืนยัน

“อีกอย่าง ข้าคงไม่อยู่นานนักอย่างไรเสียพวกเราก็ดูดซับพลังมาไม่น้อย ควรจะเข้าฌานเพื่อย่อยสลายเสียหน่อย ข้าแค่อยากเห็นสถานการณ์ของมู่มู่ด้วยตัวเองถึงจะวางใจ” หลิวหลีพูดต่อ แต่จากจุดนี้ก็รู้แล้วว่าทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

“ท่านพี่พูดถูก” เขาก็ต้องการแบบนั้นเช่นกัน อีกอย่างถึงแม้ว่าเขาจะพูดเช่นนี้ แต่เขาก็ไว้ใจหลิวหลีมากกว่า ในใจของจื่อฉี คนที่เลี้ยงเด็กได้เก่งที่สุดก็คือท่านพี่ของเขา ใครก็สู้นางไม่ได้ ดูจากที่เลี้ยงดูเขามาจนถึงปิงเซียวกับเหลยรุ่ยก็รู้แล้ว

“เจ้าเด็กนี่ ตอนนี้มู่มู่ตั้งครรภ์แล้ว เจ้าต้องรักนางให้มากขึ้นกว่าเดิม เจ้าก็เห็นแล้วว่าพี่อิงเสวี่ยของเจ้าคลอดลูกยาก จงรู้ไว้ว่าผู้หญิง โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญหญิงต้องลำบากมากแค่ไหน” หลิวหลีถือโอกาสสั่งสอนน้องชาย

“ท่านพี่ข้าเข้าใจแล้ว” พี่อาเลี่ยกับพี่อิงเสวี่ยต้องรักษาตัวนานแค่ไหน ทำไมเขาจะไม่รู้

“จริงสิ ท่านพี่ พี่เขยไม่ไปกับพวกเราด้วยหรือ” จื่อฉีสงสัย พี่เขยที่ไม่เคยห่างจากฮูหยินของตนเองแม้แต่นิดคนนั้นไปไหนเสียแล้ว

“วังนภาธารามีเรื่องน่ะ พี่เขยของเจ้าเลยกลับไปแล้ว ไปเข้าฌานย่อยพลังที่วังนภาธาราพอดี” หลิวหลีพูด

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าเช่นนั้นท่านพี่เยี่ยมมู่มู่เสร็จแล้วก็จะกลับวังนภาเพลิงเลยหรือ?” จื่อฉีถาม

“ถูกต้อง ไม่มีที่ไหนปลอดภัยสบายใจได้เท่ากับตำหนักของตัวเองอีกแล้ว อีกอย่างข้าไม่อยากกลับดินแดนอสูรเทพชั่วคราว” เรื่องราวที่ทำร้ายจิตใจนั้นยากจะลืม แต่ตอนนี้มู่มู่ก็มีลูกแล้ว วาสนาเรื่องลูกของนางจะมาเมื่อไหร่กัน

“หลิวหลี ดีจริงๆที่เจ้ามา” จักรพรรดินีนภาพฤกษาต้อนรับหลิวหลีอย่างอบอุ่น นี่คือคนสำคัญ โดยเฉพาะกับเด็กและหญิงตั้งครรภ์ ไม่รู้ว่าคนอิจฉาอิงเสวี่ยไปเท่าไหร่ หลิวหลีไม่เพียงแต่ช่วยเด็กทั้งสองคนไว้ แถมยังสั่งสอนเลี้ยงดูเด็กทั้งสองได้ดีขนาดนั้นอีก

“ขอบพระทัยจักรพรรดินีเพคะ” หลิวหลีพูดอย่างมีมารยาท

“พูดอะไรแบบนั้น พวกเราเป็นญาติสนิทกันทั้งนั้น อีกอย่างข้าอยากให้เจ้าช่วยดูมู่มู่ให้หน่อยได้หรือไม่” เฮ้อ ถ้าถามว่าจักรพรรดินีนภาพฤกษาไว้ใจใครที่สุดก็คงจะเป็นหลิวหลี อย่างไม่มีเหตุผล