หลายวันผ่านไปว่องไวราวชั่วพริบตา ในที่สุดวันปีใหม่ก็มาถึง
เป็นเพราะครั้งนี้ฉินอวี้โม่มีโอกาสได้ฉลองเทศกาลอันยิ่งใหญ่กับทุกคนในตระกูล อีกทั้งนี่ยังถือเป็นครั้งแรกที่สาวนักฆ่าแห่งศตวรรษที่ 21 ได้สัมผัสบรรยากาศอันชื่นมื่นของงานเลี้ยงฉลองท่ามกลางหมู่ญาติพี่น้อง ปีใหม่ในปีนี้ อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูจึงได้พบกับความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แม้ว่าการจากไปของเสี่ยวโร่วจะยังคอยรบกวนจิตใจให้ต้องหม่นหมองอยู่บ่อยครั้งก็ตาม ทว่าการได้อยู่ร่วมกับคนจำนวนมากที่รักและเป็นห่วงนางด้วยใจจริงก็ทำให้คุณหนูสี่ตระกูลฉินรู้สึกเป็นสุขอย่างแท้จริง
หานโม่ฉือใช้เวลาว่างอันแสนมีค่าและหาได้ยากยิ่งของเขาหมดไปกับการอยู่เคียงข้างโฉมงามผู้เป็นยอดดวงใจ เขาอยู่กับฉินอวี้โม่ในคืนข้ามปีเพื่อชมพลุปีใหม่และจุดประทัดเฉลิมฉลองต้อนรับวันแรกแห่งปีใหม่ไปด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้นบุรุษเย็นชายังกระทำเรื่องอบอุ่นหัวใจด้วยการมอบของขวัญวันปีใหม่ให้สตรีผู้เป็นที่รักซึ่งนั่นก็ทำให้ฉินอวี้โม่อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
หลังจากวันปีใหม่ก็ยังเหลือเวลาอีกกว่าสิบวันก่อนที่โรงเรียนจะเปิด
ในวันที่สามเมื่อปีใหม่เริ่มต้น ฉินอี้เฟยก็เข้ามาหาฉินอวี้โม่ที่เรือนพัก
“โม่เอ๋อร์ เจ้าอยู่นี่เองหรือ”
คุณชายใหญ่ตระกูลฉินหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาและส่งให้ผู้เป็นน้องสาว
“นี่คืออะไรหรือ ?”
ฉินอวี้โม่รับขวดใบนั้นมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อเปิดดูด้านในนางก็พบว่ามันคือขวดใส่โอสถ แต่นอกจากโอสถในขวดใบเล็กแล้วฉินอี้เฟยยังมอบโอสถให้นางอีกหลายประเภท ที่มีทั้งโอสถรักษา โอสถบำรุง โอสถฟื้นพลัง โอสถเสริมสร้างรากฐานและโอสถที่ช่วยให้พลังมายาของนางฟื้นกลับมาได้เร็ว คุณหนูสี่ได้แต่ทอสีหน้างุนงงพลางมองพี่ชายร่วมสายเลือดอย่างนึกฉงน*…ทั้งหมดนี่เขาเตรียมมาให้นางคนเดียวเลยหรือ ? เพียงเพื่อจะให้นางนำกลับไปที่โรงเรียนเท่านั้นจริง ๆ น่ะรึ ?*
“นี่เป็นโอสถที่ข้าสะสมเอาไว้ ส่วนในขวดนั้นคือโอสถก่อมายา”
ฉินอี้เฟยยิ้มแล้วบอกเล่า ในตอนท้ายประโยคเขาได้เอ่ยชื่อของโอสถที่ทำให้ฉินอวี้โม่ต้องประหลาดใจออกมา
หลังจากที่ฉินอวี้โม่มอบผลไร้รากให้เขาไป นี่เพิ่งจะผ่านมาได้เพียงเจ็ดวันเท่านั้น ฉินอี้เฟยกลับหลอมโอสถก่อมายาจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ช่างเป็นความเร็วที่น่าตกใจยิ่งนัก
“ครั้งนี้ข้าหลอมมันออกมาเจ็ดเม็ด ข้าขอเก็บไว้เองสี่เม็ด ส่วนที่เหลืออีกสามเม็ดข้ามอบให้เจ้า ถ้าเจ้ามีสหายที่ต้องการมัน เจ้าก็มอบให้พวกเขาได้”
ฉินอี้เฟยยิ้ม ทันทีที่ได้ผลไร้รากมาในวันนั้น เขาก็ออกเดินทางไปเก็บบุปผาน้ำแข็งและเริ่มหลอมโอสถก่อมายาทันที และเป็นเพราะความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้ทักษะการหลอมโอสถของเขาพัฒนาขึ้นมาอีกขึ้น แม้จะไม่มากนักแต่มันก็ช่วยให้เขาก้าวข้ามผ่านช่วงคอขวดมาได้ และบัดนี้เขาก็กลายเป็นผู้หลอมโอสถระดับเชี่ยวชาญเต็มตัวแล้ว
“ขอบคุณพี่ใหญ่มาก”
ฉินอวี้โม่ค้อมศีรษะพลางกล่าวคำขอบคุณพี่ชาย ฉินอี้เฉียงและฉินอี้เพ่ยก้าวเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนแล้ว ถึงจะใช้โอสถนี้ไปก็ไม่ก่อประโยชน์ เดิมทีนางต้องการมอบมันให้เสี่ยวโร่วแต่ในเวลานี้คงไม่อาจเป็นไปได้ เมื่อไตร่ตรองอีกชั่วครู่ คุณหนูสี่ตระกูลฉินจึงตัดสินใจจะแบ่งมันให้เยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิงและฉีอวี้
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ตอนนี้พลังยุทธ์ของเจ้าแข็งแกร่งมาก ยิ่งมีหานโม่ฉือคอยปกป้องเจ้า ข้าก็ยิ่งเบาใจ ข้าเชื่อว่าท่านพ่อท่านแม่คงจะชื่นใจไม่น้อยหากว่าพวกเขาได้เห็นเจ้าในตอนนี้”
กล่าวจบฉินอี้เฟยก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องสาวอย่างอดไม่ได้ น้องสาวตัวน้อยของเขาในวันวาน มาวันนี้นางเติบโตขึ้นมากจริง ๆ
ทว่าท่าทางเช่นนั้นของคุณชายใหญ่กลับทำให้ฉินฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจ ตั้งแต่เขาเข้ามา ทั้งกิริยาอาการ สิ่งที่แสดงออก คำพูดทั้งหมด รวมไปถึงแววตาของพี่ชายในเวลานี้ ดูไม่ปกติแม้แต่น้อย
นางรู้สึกว่าตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าเสี่ยวโร่วหายตัวไป ฉินอี้เฟยก็ดูแปลกไปมาก ดูราวกับว่าพี่ชายของนางคล้ายจะตัดสินใจบางอย่างได้ ทว่าเมื่อนางไถ่ถาม ฉินอี้เฟยก็เอาแต่หลีกเลี่ยงไม่ตอบความ
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้ายังมีเรื่องต้องทำที่สมาคมโอสถอีก ข้าไปก่อนนะ”
ฉินอี้เฟยส่งยิ้มให้ผู้เป็นน้องสาว ก่อนจะออกไปจากเรือนของนางแล้วออกเดินทางไปยังสมาคมโอสถอย่างเร่งรีบ
อดีตนักฆ่าสาวรู้สึกสงสัยท่าทีของคุณชายใหญ่ในวันนี้มาก พี่ชายของนางทำตัวแตกต่างออกไปจากทุกวันอย่างชัดเจน แต่ไม่ว่าจะครุ่นคิดสักเท่าไหร่นางก็คาดเดาถึงสิ่งที่อยู่ภายในใจเขาไม่ได้เลย
คุณหนูสี่ดึงสติของตัวเองกลับมาพลางมองดูโอสถก่อมายาทั้งสามเม็ดที่ฉินอวี้เฟยแบ่งมาให้ในมือ ก่อนที่นางจะตัดสินใจออกไปนอกจวน
เริ่มแรก ฉินอวี้โม่ไปที่สมาคมช่างหลอมเพื่อพบเยว่ชิงเฉิงและมอบโอสถเม็ดหนึ่งให้นาง
คุณหนูใหญ่ตระกูลเยว่ที่กำลังมุ่งมั่นแสวงหาความแข็งแกร่งรับมันมาอย่างไม่เกรงใจ นางบอกอีกด้วยว่าท่านปู่ของนางจะกลับมาในอีกสองวันข้างหน้า หากฉินอวี้โม่อยากจะพบเขาก็ให้มาอีกครั้งในตอนนั้น
คุณหนูตระกูลฉินพยักหน้ารับ นางมีคำถามเกี่ยวกับการหลอมที่ต้องการจะสอบถามและขอคำชี้แนะจากท่านปรมาจารย์ผู้เฒ่าเป็นอย่างมากอยู่เรื่องหนึ่งจึงตั้งใจจะกลับมาที่สมาคมอีกครั้งตามเวลาที่สหายบอก
หลังจากออกมาจากสมาคมช่างหลอมแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ไปที่จวนตระกูลโอวหยาง
เมื่อรู้ว่าฉินอวี้โม่มา คนในตระกูลโอวหยางก็ให้การต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
ฉินอวี้โม่มอบโอสถก่อมายาอีกเม็ดให้โอวหยางชิงเฟิง คุณชายรองตระกูลโอวหยางเองก็ไม่คิดปฏิเสธเลยเช่นกัน เขารับมันมาและกล่าวขอบคุณสหายตระกูลฉินอย่างหนักแน่น น้ำใจครั้งนี้เขาตั้งมั่นว่าจะขอจดจำเอาไว้
หลังจากนั่งพักจิบชาที่ตระกูลโอวหยางอยู่ชั่วครู่ ฉินอวี้โม่ก็ขอตัวออกมาและมุ่งตรงไปยังที่ตั้งพระราชวัง
ปกติแล้วไม่ว่านางจะไปที่ใดก็มักจะมีเสี่ยวโร่วติดตามมาด้วยเสมอและอยู่ข้างกายนางไม่ห่าง ทว่าในตอนนี้ไม่มีผู้ติดตามตัวน้อยของนางอีกแล้ว ไม่ว่าจะมองไปที่ใดหญิงสาวก็พาลแต่จะรู้สึกหดหู่ เวลานี้ฉินอวี้โม่รู้สึกเงียบเหงาและเศร้าโศกเป็นอย่างมาก
ฉินอวี้โม่ก้าวเข้าวังหลวงได้โดยไร้อุปสรรค เมื่อเหล่าองครักษ์ทราบว่าผู้มาเยือนเป็นฉินอวี้โม่ก็ปล่อยให้นางผ่านเข้าไปทันที
เมื่อฮองเฮาเหวินหย่าทราบว่าคุณหนูสี่ตระกูลฉินมาเยี่ยมเยียน สตรีผู้สูงศักดิ์ก็รีบสั่งให้คนพานางไปที่ตำหนักเฟิงอี้ทันที
“อวี้โม่ เจ้าไม่มาหาป้าเหวินหย่าผู้นี้บ้างเลยนะ แม้แต่วันปีใหม่ก็ยังไม่มาเฉลิมฉลองกับข้า หากได้พบหน้าแม่เจ้า ข้าจะต้องฟ้องนางอย่างแน่นอน”
เมื่อได้เห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่ผู้เป็นเสมือนหลานสาวสุดที่รัก ฮองเฮาผู้ใจดีก็อดเอ่ยคำหยอกล้อนางไม่ได้ แม้จะกล่าวคล้ายดุด่า แต่ทั้งน้ำเสียงและแววตากลับมีแต่ความเอ็นดูและอ่อนโยน
หลังจากกล่าวทักทายหลานรักที่ไม่ได้พบหน้ากันถึงครึ่งค่อนปีเสร็จสิ้น ฮองเฮาเหวินหย่าก็เชื้อเชิญฉินอวี้โม่ให้นั่งลงเคียงข้าง
เมื่อองค์ชายฉีอวี้และองค์หญิงฉีฉีทราบว่าฉินอวี้โม่มาเยือนวังหลวงและกำลังเข้าเฝ้าฮองเฮาที่ตำหนักเฟิงอี้ สองพี่น้องก็รีบเข้าไปหาด้วยความดีใจ องค์ชายฉีอวี้มีความสุขไม่น้อยไปกว่าองค์หญิงน้อยเลย
และยิ่งเมื่อทราบว่าที่วันนี้สหายตระกูลฉินผู้งดงามมาพบก็เพื่อมอบโอสถก่อมายาให้แก่เขา องค์ชายสามก็ยิ่งมีความสุดจนยากที่จะบรรยาย
ฉีฉีก็อยากจะได้โอสถวิเศษกับเขาด้วย องค์หญิงน้อยมองเม็ดโอสถในมือพี่ชายตาละห้อยพลางเอ่ยตัดพ้อ ฉินอวี้โม่จึงต้องอธิบายไปว่าโอสถก่อมายามีเพียงแค่สามเม็ดซึ่งตอนนี้มีเจ้าของหมดแล้ว และฉีฉีเองก็เพิ่งจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาซึ่งก็ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะก้าวไปถึงระดับเก้าดาราได้ หลังจากได้ฟังคำอธิบายของพี่สาวผู้ที่นางชื่นชอบ องค์หญิงน้อยก็ร่าเริงขึ้นในทันใด
อย่างไรก็ตาม ฉีฉีน้อยก็ยังไม่หยุดอ้อนฉินอวี้โม่ นางอ้อนขอให้พี่สาวคนเก่งช่วยสยบอสูรมายาระดับสูงให้
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ต้องตกลงอย่างไม่มีปัญหา คุณหนูตระกูลฉินสัญญาว่าหากมีเวลานางจะไปที่ ‘ป่าแห่งราชวงศ์’ พร้อมกับฉีฉีเพื่อจับอสูรมายาระดับสูงให้นาง
“อวี้โม่ เจ้าคิดจะไปเยือนนครเมฆาบ้างหรือไม่ ท่านตาและท่านยายของเจ้าคิดถึงเจ้ามากนะ”
ฮองเฮาเหวินหย่ามองฉินอวี้โม่ด้วยสายสายตาอ่อนโยนพลางเอ่ยถาม
ครั้งล่าสุดที่กลับไปเยือนนครเมฆา นางได้เล่าเรื่องราวของสตรีตรงหน้าให้กับเจ้าผู้ครองนครเมฆาและท่านหญิงผู้เป็นภริยาของเขาฟัง เมื่อท่านตาและท่านยายของฉินอวี้โม่ทราบข่าว พวกเขาก็ตื่นเต้นยินดีและต้องการจะพบหน้าหลานสาวผู้นี้เป็นอย่างมาก
ยิ่งได้ฟังเรื่องของฉินอวี้โม่มากเท่าไหร่ บุรุษสตรีอาวุโสที่สูญเสียบุตรสาวไปนานหลายปีก็ยิ่งมีความสุข ทั้งสองคนรบเร้าให้เหวินหย่าเล่าเรื่องของหลานสาวของพวกเขาให้ฟังซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่รู้เบื่อ
ท่านเจ้าผู้ครองนครเมฆาอยากจะมายังไป๋อวิ๋นเพื่อให้ได้เห็นหน้าหลานชายหลานสาวของตัวเองสักครั้ง ทว่าตอนนี้ยังมีเรื่องสำคัญมากที่เขาต้องจัดการในนครเมฆา จึงทำให้ไม่สามารถออกมาได้
เจ้าผู้ครองนครและท่านหญิงทำได้เพียงไหว้วานให้เหวินหย่าช่วยดูแลฉินอวี้โม่แทน
“ท่านป้าเหวินหย่า นครเมฆาเป็นขุมกำลังที่ทรงอำนาจมาก อีกทั้งยังมีขั้วอำนาจที่ซับซ้อน เกรงว่าถ้าข้าเข้าไปในตอนนี้อาจจะสร้างปัญหาให้ท่านตาและท่านยายได้ รอให้ข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์เสียก่อน ข้าจะไปที่นครเมฆาเพื่อพบพวกเขาอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่กล่าว คนในนครเมฆาทรงพลังกว่าคนในโลกภายนอกมาก ที่นั่นมียอดฝีมือระดับทูตสวรรค์อยู่อย่างดาษดื่น ด้วยระดับความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ก็มีแต่จะเป็นภาระให้ท่านตาและท่านยายของนาง เมื่อนางเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ นางจะมีความสามารถพอจะเอาตัวรอดได้ หากว่านางไปเยือนนครเมฆาก็คงไม่ถูกผู้ใดทำอันตรายนางได้โดยง่าย
“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า เจ้าเป็นคนเจ้าความคิด เมื่อเทียบกับแม่ของเจ้าแล้ว ข้าว่าเจ้าเฉลียวฉลาดและรู้จักวางแผนมากกว่า ไม่ว่าเจ้าจะมีแผนการอย่างไร ตราบใดที่ไม่เป็นภัยแก่ตัวเจ้าเองและผู้บริสุทธิ์ก็จงทำมันให้สำเร็จ ทั้งข้ารวมถึงท่านตาและท่านยายของเจ้าจะให้การสนับสนุนเอง”
ฮองเฮาเหวินหย่าพยักหน้า นางรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของนครเมฆาดี นางเองก็คิดว่าฉินอวี้โม่ตัดสินใจถูกต้องแล้ว
“อวี้โม่ ท่านตาของเจ้าฝากข้ามาบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง เขาบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง แม่ของเจ้ายังมีชีวิตอยู่แถมยังมีสุขภาพแข็งแรงดี แต่ว่าเรื่องที่ว่าในตอนนี้นางอยู่ที่ไหนไม่มีผู้ใดทราบ”
เพราะเจ้าผู้ครองนครเมฆาเพ่งความสนใจกับสถานการณ์ของบุตรสาวอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสิ่งที่แน่นอนว่าเขาย่อมทราบเรื่องนี้ และถึงแม้ฉินอวี้โม่จะไม่รู้เลยว่าผู้เป็นมารดาอยู่ที่ใด แต่อย่างน้อยเมื่อได้รู้ว่าท่านแม่ยังปลอดภัยและแข็งแรงดี เท่านี้นางก็โล่งใจไปมากแล้ว
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ข้าจะไม่กังวล หากว่าท่านป้าเหวินหย่ามีโอกาสกลับไปที่นครเมฆาอีกก็ฝากขอบคุณท่านตาท่านยายของข้าด้วย”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อได้ทราบว่ามารดายังอยู่ดีเช่นนี้ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ตอนนี้เรื่องที่นางต้องทำคือการฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด
หลังจากที่ใช้เวลาอยู่ในวังหลวงอีกพักใหญ่ ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็ขอตัวกลับไปที่จวนตระกูลฉิน
ทว่าในช่วงมื้อค่ำ ฉินอวี้โม่กลับไม่พบหน้าฉินอี้เฟยที่โต๊ะอาหาร
“ท่านปู่ เห็นพี่ใหญ่บ้างไหมเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถาม ใบหน้างามดูเคร่งเครียดและไม่สบายใจ ในวันนี้ฉินอี้เฟยมีท่าทีแปลก ๆ และตัวนางเองก็รู้สึกสังหรณ์ใจประหลาดด้วย
“เขาบอกว่าจะไปที่สมาคมโอสถ ข้าเองก็ยังไม่เห็นเขากลับมา”
ผู้เฒ่าฉินเฟินเอ่ยตอบหลานสาว เขาจำได้ว่าเมื่อยามเว่ยฉินอี้เฟยบอกว่าจะออกไปที่สมาคมโอสถและจนถึงเวลานี้เขาก็ยังไม่กลับมาที่จวน
“ท่านปู่ สองสามวันที่ผ่านมาท่านรู้สึกว่าพี่ใหญ่ดูแปลก ๆ ไปบ้างหรือไม่ ?”
ยิ่งหวนนึกถึงท่าทางที่แปลกไปของฉินอี้เฟยในช่วงเช้าของวันมากเท่าไหร่ ฉินอวี้โม่ก็ยิ่งสงสัยจนอดไม่ได้ที่จะสอบถามเรื่องนี้กับผู้เป็นปู่
ผู้นำตระกูลฉินพยักหน้า “ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน เช้านี้เฟยเอ๋อร์มาหาข้าก่อนจะเตือนให้ข้าดูแลสุขภาพของตัวเองราวกับว่าเขาจะจากข้าไปอย่างนั้นแหละ แต่พอข้าถามเขา เขาก็บอกว่าไม่มีอะไร เขาบอกว่าจู่ ๆ ก็อยากจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเฉย ๆ”
“ใช่ ข้าเองก็รู้สึกเหมือนกัน”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินหยางก็กล่าวออกมา “เฟยเอ๋อร์บอกข้าด้วยว่าให้ข้าช่วยดูแลท่านพ่อและเจ้าด้วย เขาบอกว่าเขาเป็นห่วงทุกคนในตระกูลฉิน เสมือนเขาจะไม่อยู่กับทุกคนอีก ข้ารู้สึกว่าท่าทีขอเขาดูผิดปกติ”
เมื่อได้ยินวาจาของทั้งผู้มากอาวุโสทั้งสองของตระกูล ขอบตาของฉินอวี้โม่ก็กระตุกขึ้นทันที ในตอนนั้น จู่ ๆ ลางสังหรณ์ไม่ดีก็ทวีความรุนแรงขึ้นในใจของนาง
ทั้งฉินเฟินและฉินหยางเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เวลานี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะกำลังคิดตรงกัน
“เรียนนายท่าน ศิษย์จากสมาคมโอสถมาส่งจดหมาย เขาบอกว่าจดหมายนี้เป็นจดหมายที่คุณชายใหญ่ฝากให้นำมาส่งขอรับ”
จู่ ๆ บ้าวรับใช้ก็เดินเข้ามาหาพร้อมด้วยกระดาษแผ่นหนึ่ง บนหน้ากระดาษมีลายมือของฉินอี้เฟยเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน
ผู้เฒ่าฉินเฟินลุกขึ้นยืนและรีบเปิดอ่านจดหมาย
‘ท่านปู่ ท่านอา น้องชายและน้องสาวทั้งสามคน ข้าอาจจะไม่ได้อยู่กับพวกเจ้าอีกแล้ว’
เพียงแค่ประโยคขึ้นต้นของจดหมายที่ฉินอี้เฟยฝากเอาไว้ก็ทำให้หัวใจของสมาชิกแห่งตระกูลฉินในโต๊ะอาหารค่ำเต้นผิดจังหวะไป ความฝาดเฝื่อนแผ่ซ่านไปทั่วไปหน้าและลำคอ มื้ออาหารแสนอร่อยไม่ได้น่ากินอีกแล้วเพราะความหวั่นกำลังเกาะกุมใจของทุกคน
‘แต่ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารู้ตัวดีว่าสิ่งที่ข้ากำลังทำอยู่คืออะไร ไม่นานมานี้ข้าค้นพบวิธีจะไปยังดินแดนหนเหนือโดยบังเอิญ ในดินแดนที่พวกเราอยู่แม้ว่าจะใช้เวลาหลายปีพวกเราก็ยังไม่เจอทั้งท่านพ่อและท่านแม่ ข้าเกรงว่าพวกท่านอาจจะไม่อยู่ในหวนหลิงนี้แล้ว หลังจากไตร่ตรองจนถี่ถ้วนข้าก็ตัดสินใจจะเดินทางไปยังดินแดนหนเหนือ ตอนนี้เสี่ยวโม่เอ๋อร์ก็โตขึ้นมากแล้ว ยิ่งกว่านั้นนางยังแข็งแกร่งมากจนข้าไม่ต้องห่วงกังวลอะไรอีก แถมยังมีทั้งท่านปู่ และท่านอาคอยดูแล ข้าเชื่อว่าน้องสาวผู้นี้ไม่มีทางต้องลำบากอีก ข้ามั่นใจว่าหากวันหนึ่งข้างหน้าเสี่ยวโม่เอ๋อร์แข็งแกร่งขึ้นนางก็จะคิดหาทางไปที่ดินแดนหนเหนือเช่นกัน ตอนนี้ข้าเพียงแค่ขอล่วงหน้าไปก่อนเท่านั้น หวังว่าทุกคนจะให้อภัยในการตัดสินใจโดยพลการของข้า – ฉินอี้เฟย -’
เมื่อได้ฟังเนื้อความในจดหมายจนจบ ทุกคนก็เข้าใจความคิดของฉินอี้เฟย เขามีแผนการที่ชัดเจนอยู่ในใจและตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
“บัดซบ เจ้าเด็กคนนี้ ! หากว่าอยากจะไปดินแดนหนเหนือก็แค่บอกข้าสักคำ มีหรือที่ข้าจะไม่ยินดีสนับสนุน !”
เมื่อทราบถึงการตัดสินใจของฉินอี้เฟย ผู้นำตระกูลฉินก็โกรธมาก ทว่านั่นก็เป็นเพราะเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของหลานชายผู้นี้มาก
ในดินแดนหนเหนือ ทุกคนที่นั่นแข็งแกร่งกว่าผู้คนในดินแดนนี้จนกล่าวได้ว่าไม่อาจเทียบ แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจแน่ชัดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของฉินอี้เฟย แต่อย่างมากเขาก็น่าจะเพิ่งก้าวข้ามเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์เท่านั้น หากไปยังดินแดนหนเหนือในตอนนี้ ไม่ทราบเลยว่าเจ้าเด็กดื้อรั้นจะต้องเผชิญกับอันตรายอย่างไรบ้าง
แท้จริงแล้วการที่ฉินอี้เฟยไม่ยอมบอกเรื่องนี้ก่อน ทุกคนในตระกูลฉินก็พอจะเข้าใจ คุณชายใหญ่คงจะกลัวว่าพวกเขาจะเป็นห่วงและไม่ยินยอมให้เขาไปเสี่ยงอันตราย
ทว่าฉินอวี้โม่กลับรู้สึกโล่งอกเมื่อทราบว่าพี่ชายของนางจะไปที่ดินแดนหนเหนือเพราะรู้จักความสามารถของฉินอี้เฟยดี นางจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน
แต่เกรงว่าสิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นให้ฉินอี้เฟยตัดสินใจได้รวดเร็วถึงเพียงนี้อาจจะเป็นการหายตัวไปของเสี่ยวโร่ว เมื่อทราบว่านางถูกพาตัวไปเขาก็ยิ่งต้องการจะแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม เขาคงอยากจะก้าวหน้าไปให้เร็วที่สุด ที่สำคัญ เนื่องจากภายในดินแดนหวนหลิงมีข้อจำกัดหลายอย่างทำให้ความแข็งแกร่งของผู้คนไม่อาจจะก้าวหน้าไปกว่าขอบเขตทูตสวรรค์ได้ นั่นจึงทำให้ฉินอี้เฟยตัดสินใจออกเดินทาง
“ท่านปู่ ท่านอา จริง ๆ แล้วเรื่องที่พี่ใหญ่ไปที่ดินแดนหนเหนือพวกท่านไม่จำเป็นต้องกังวล”
เมื่อเห็นสีหน้าร้อนรนและแววตาอันทุกข์ระทมของญาติผู้ใหญ่ทั้งสอง ฉินอวี้โม่ก็รีบเอ่ยวาจาปลอบประโลม
“พี่ใหญ่เป็นคนฉลาดและยังแกร่งไม่น้อย เขาน่าจะมีวิธีเอาตัวรอดและปกป้องตัวเองได้ ยิ่งกว่านั้นอย่าลืมว่าพี่ใหญ่เป็นผู้หลอมโอสถระดับเชี่ยวชาญ ต่อให้เป็นดินแดนหนเหนือ สถานะของผู้หลอมโอสถอย่างไรก็ถือว่าสูงส่ง ขอเพียงพี่ใหญ่แสดงฝีมือในการหลอมโอสถ ขุมกำลังน้อยใหญ่ก็คงพากันแย่งชิงตัวเขาแน่ ถึงตอนนั้นพี่ใหญ่ก็จะมีคนคอยสนับสนุนและเขาจะต้องตั้งหลักได้เป็นแน่”
ฉินอวี้โม่อธิบายเพื่อช่วยคลายความกังวลของผู้อาวุโสทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ใบหน้าจะดูนิ่งเฉยและปากจะกล่าววาจาอย่างเชื่อมั่น ทว่าภายในหัวใจของคุณหนูสี่ตระกูลฉินเองกลับเต็มแน่นไปด้วยความรุ่มร้อน
นางต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นางจะได้รีบเดินทางไปสมทบกับพี่ชายที่ดินแดนหนเหนือเพื่อที่ว่าจะได้ออกตามหาบิดามารดาและเสี่ยวโร่วพร้อม ๆ กัน
.