ตอนที่ 567

Elixir Supplier

567 เจ็บปวด แต่ก็ต้องมีชีวิตต่อไป

 

เช่าบ้านเหรอ? ศาสตราจารย์จากมหาลัยดัง?

 

หวังเจียนหลี่รู้สึกประหลาดใจ เริ่มแรก ก็เป็นลูกชายนักธุรกิจใหญ่ มาตอนนี้ ยังมีศาสตราจารย์มหาลัยอีกคน ทั้งสองต่างก็ซื้อหรือไม่ก็เช่าเพื่อให้ได้รักษากับหวังเย้า

 

ทักษะการรักษาของชายหนุ่มคนหนึ่งในหมู่บ้านสูงขนาดนั้นเลยเหรอ?

 

เมื่อเป็นคำขอจากผู้มีคุณวุฒิ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่หวังเจียนหลี่จะให้ความช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ เขารีบจัดการติดต่อเจ้าของบ้านที่มีบ้านค่อนข้างใช่ได้ไปสองราย

 

ไม่นาน ก็มีชาวบ้านเข้ามาคุยเรื่องบ้านกับศาสตราจารย์ลู่ หลังจากดูบ้านเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับไปที่คลินิก

 

“โอเค ผมเช่าหลังนี้ไว้แล้ว” เขาพูด

 

“พาเธอกลับไปพักได้เลยครับ” หวังเย้าพูด “ให้กลับมา พรุ่งนี้ 9 โมงนะครับ”

 

“ได้ ขอบคุณมากนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด

 

เขาและชายหนุ่มช่วยกันพยุงเวินหว่านออกไปจากคลินิก

 

หวังเย้ารู้ดีว่า การจะรักษาเธอนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากแค่ไหน อันดับแรก เขาจำเป็นต้องหาวิธีที่จะสามารถยื้อชีวิตของเธอเอาไว้เป็นการชั่วคราว พร้อมกับกำจัดพิษออกจากร่างกายของเธอด้วยวิธีที่อ่อนโยนที่สุด

 

ส่วนหนึ่งของไตเธอทำหน้าที่ในการกรอง มันเป็นเหมือนกับตัวกรอง ที่ทำการกรองเอาของเสียออกไปจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ หากไตได้รับความเสียหายและประสิทธิภาพในการทำงานลดลงไป การเผาผลาญในร่างกายก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งจะส่งผลทำให้หยินหยางเสียสมดุล แทนที่พิษจะถูกขับออกไป กลับกลายเป็นสารอาหารถูกขับออกไปแทน และส่งผลให้ร่างกายเสียเสื่อมโทรม ซึ่งนั่นก็คือสภาพของเวินหว่านในปัจจุบัน

 

หวังเย้าวางแผนจะใช้ยาบางตัวในการเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายของเธอ เหมือนที่พูดกันว่า “ยาทุกตัวมีล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพิษ” แม้แต่ยาที่เขาใช้ก็มีพิษแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน แน่นอนว่า สมุนไพรรากเป็นข้อยกเว้น

 

ถึงแม้ว่าเขาจะใช้สมุนไพรรากที่ปลูกขึ้นในแปลงสมุนไพรของเขาเอง รวมเข้ากับน้ำแร่โบราณและหม้ออเนกประสงค์ มันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีพิษหลงเหลืออยู่ แต่ก็สามารถถูกกำจัดออกไปได้ผ่านกระบวนการกรองในร่างกายของมนุษย์ ถ้าหากเป็นคนไข้ทั่วไป มันก็ถือเป็นเรื่องเล็ก แต่เวินหว่านนั้นต่างออกไป เพราะส่วนที่ใช้กรองพิษเหล่านั้นได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ฉันจำเป็นต้องใช้ยาที่ต่างออกไป เพื่อรักษาความเป็นกลางกับยาตัวอื่น หวังเย้ากำลังคิดเกี่ยวกับตัวยาที่มีส่วนผสมของหยินหยางและห้าธาตุ นี่ไม่ใช่เรื่องราวแฟนตาซีหรือการส่งผ่านกำลังภายในสู่อีกคนแต่อย่างใด มันคือยารักษาเท่านั้น

 

สมุนไพรแต่ละตัวถูกเขียนลงไปในกระดาษ เขาเขียนลงไปอย่างช้าๆ เพราะมีหลายอย่างที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย หลินจือ, จื๋อเฉา, เชี่ยนฉือ, ลู่หรง, หนี่เจินจือ, โชวู, ฉงเฉา…

 

ศาสตราจารย์ลู่, เวินหว่าน และลูกชายของเธอพากันมาถึงบ้านที่เช่าเอาไว้ในหมู่บ้าน มันถูกเก็บกวาดและทำความสะอาดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว มีผู้หญิงคนหนึ่งออกมาทักทายพวกเขา

 

“พวกคุณมารักษากับเสี่ยวเย้างั้นเหรอ?” เธอถาม

 

“อ่อ ใช่แล้วครับ” ศาสตราจารย์ลู่พูด

 

“ดูเธอสิ คงจะป่วยหนักมาแน่ๆเลย” เธอพูด “ถ้าจำเป็น ก็สามารถเปิดใช้เครื่องปรับอากาศได้เลยนะ พวกคุณเอาผ้าห่มสองผืนนี้ไปใช้ได้เลย”

 

หญิงวัยกลางคนบอกศาสตราจารย์ลู่เกี่ยวกับเรื่องภายในตัวบ้าน รวมไปถึงเรื่องน้ำ, ไฟฟ้า, และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆด้วย

 

หญิงชาวบ้านคนนี้ดูกระตือรือร้นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบ้านหลังนี้ถูกปล่อยว่างมานานแล้ว และอีกส่วนก็คือ ผู้เช่ารายนี้ค่อนข้างใจกว้างเรื่องเงิน ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาเป็นถึงศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยดัง ในสายตาของขาวบ้านหลายๆคน การเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยเปรียบเสมือนกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง เธอยังคิดที่จะผูกมิตรกับเขาเอาไว้ด้วย

 

“ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ” ศาสตราจารย์ลู่พูด

 

ถึงจะเข้าสู่เดือนมีนาคมแล้ว แต่อากาศก็ยังคงเย็นอยู่ ภายในบ้านไม่ได้ติดฮีตเตอร์เอาไว้ แต่โชคดีที่ในห้องมีเครื่องปรับอากาศอยู่ เขารีบร้อนหาบ้านเช่า ดังนั้น เขาจึงไม่ทันได้ใส่ใจรายละเอียดหลายๆอย่าง

 

“ไม่เป็นไรๆ พวกคุณมาไกลบ้านคงจะลำบากกันหน่อยนะ” เธอพูด “ถ้ามีปัญหาอะไร ก็โทรหาฉันได้เลยนะ”

 

“ครับ” ศาสตราจารย์ลู่พูด

 

หลังจากที่หญิงชาวบ้านออกไปแล้ว ลูกชายของเวินหว่านก็พูดขึ้นมาว่า “เธอดูกระตือรือร้นดีนะครับ”

 

“ใช่” ศาสตราจารย์ลู่ “ช่วยกันพาแม่ของเธอไปนอนที่เตียงคังกันเถอะ เดี๋ยวลุงจะเติมฟืนให้อุ่นขึ้นกว่านี้อีกหน่อย”

 

“ลุงจะไหวเหรอ?” ลูกชายของเวินหว่านพูด “ให้ผมทำเองดีกว่านะครับ!”

 

“อย่าดูถูกลุงนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด “ตอนสอนหนังสืออยู่ที่บ้านนอก ถึงจะไม่ค่อยได้ทำอะไรมาก แต่งานพวกนี้ลุงก็ทำเป็นนะ เธอดูแลแม่ของเธอไปเถอะ”

 

ฟืนถูกกองเอาไว้ที่ลานบ้าน ศาสตราจารย์ลู่จึงเดินออกไปเอาเข้ามาบางส่วน เขาเติมน้ำลงไปในหม้อและสุมไฟ เตียงคังเริ่มอุ่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“แม่เป็นยังไงบ้างครับ?” ชายหนุ่มถามอย่างอ่อนโยน

 

อาการของเธอในตอนนี้เลวร้ายมาก เธอรู้สึกไม่ปวดไปทั่วทั้งร่าง จนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ แล้วเธอก็แทบจะไม่มีแรงเลยแม้แต่น้อย แม้แต่จะหายใจก็ยังยากสำหรับเธอ อย่าว่าแต่พูดออกมาเลย

 

เธออดคิดไม่ได้ว่า โรคนี้คงไม่มีทางรักษาได้หรอก! เธอรู้ตั้งแต่ที่เธอเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแล้ว ที่เธอมาหาหวังเย้า ก็แค่เพราะเธอไม่ต้องการให้คนในครอบครัวของเธอต้องรู้สึกแย่ หรือทำให้คนที่เป็นห่วงเธอต้องโมโหก็เท่านั้น

 

เตียงคังที่อยู่ใต้ร่างของเธอส่งความอบอุ่นมาให้ เธอรู้สึกว่า ร่างกายของเธอไม่ได้เย็นเท่านั้นก่อนหน้านี้มากแล้ว

 

เธออยากจะหลับตาลงนอน แต่เธอก็ทำไม่ได้ เธออยากจะกิน แต่เธอก็ทำไม่ได้ ความเจ็บปวดกระจายอยู่ในทุกส่วนของร่างกายเธอ

 

สำหรับฉันแล้ว ความตายคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าการมีชีวิตอยู่ต่อไปแบบนี้ มันเจ็บปวดเหลือเกิน แต่ฉันก็ยังต้องมีชีวิตต่อไป!

 

ภายในคลินิก หวังเย้ายังคงทำงานไม่หยุดมือ เขาได้เลือกตัวยาเอาไว้แล้ว ขั้นต่อไปก็คือการเตรียมยา เขามีตัวยาอยู่เกือบครบ ขาดก็แค่ฉงเฉาเท่านั้น เขาจึงโทรไปหาหลี่เม่าชวงเพื่อซื้อฉงเฉาป่ามาบางส่วน

 

ไม่นานก็เป็นเวลาเที่ยง หวังเย้ากลับไปทานข้าวเที่ยงและกลับมาที่คลินิก หลังยจากนั้นไม่นาน ศาสตราจารย์ลู่ก็มาที่คลินิก

 

“หมอหวัง ผมมารบกวนรึเปล่า?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม

 

“ไม่หรอกครับ เชิญนั่งครับ” หวังเย้าลุกขึ้นไปชงชาให้กับเขา “คุณดูเหนื่อยมากเลย คุณจำเป็นต้องพักบ้างนะครับ”

 

เมื่อคนเราแก่ตัวลง การออกแรงมากเกินไปและไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายได้

 

“หลายวันมานี้ ผมไม่ค่อยได้พักผ่อนเท่าไหร่ เพราะมัวแต่เป็นห่วงเรื่องเวินหว่านอยู่ตลอด” ศาสตราจารย์ลู่พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “แล้วเรื่องอาการของเธอล่ะครับ?”

 

“ก็เหมือนที่ผมเคยพูดเอาไว้ ผมจะพยายามให้ดีที่สุด พวกคุณมาช้าเกินไป แล้วเธอก็ไม่ฟังคำแนะนำของผมเลยด้วย” หวังเย้าพูดด้วยท่าทีสงบ

 

ปกติเขาต้องยินดีที่จะรักษาคนไข้ประเภทนี้ แต่เป็นเพราะความกตัญญูของเธอ, ความห่วงใยที่ศาสตราจารย์ลู่มีให้เธอ, และความจริงที่ว่า พวกเขามารักษากับเขาหลายครั้งแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องรับเธอเอาไว้

 

“หมออยากจะฟังเรื่องเล่าจากตาแก่คนนี้สักหน่อยไหม?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม

 

“ครับ เชิญเลย” หวังเย้ายิ้ม

 

“ปีนี้ผมอายุได้ 64 ปีแล้ว ผมรู้จักกับเวินหว่านตอนอายุ 12 ปี เราเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ผมเป็นรุ่นพี่ของเธอปีหนึ่ง ในตอนนั้น เธอเป็นเหมือนกับดอกกล้วยไม้ที่เติบโตขึ้นมากลางทุ่งหญ้า ครั้งแรกที่ผมได้เห็นเธอ ในอกของผมก็สั่นไหว โชคร้ายที่ในเวลานั้นและสภาพแวดล้อมในตอนนั้น ผมทำได้เพียงแค่เก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจ เวลาอยู่ที่โรงเรียน ผมก็จะแอบมองดูเธอจากที่ไกลๆ หลังจากนั้น เราก็ขึ้นชั้นมัธยม ผมรวบรวมความกล้าเขียนจดหมายให้เธอ ในตอนนั้น มันไม่ได้เปิดกว้างเหมือนสมัยนี้ ถ้าเกิดใครรู้เรื่องนี้เข้า มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย!”

 

ศาสตราจารย์ลู่ยกชาขึ้นมาจิบ เขาพูดต่อเกี่ยวกับตัวของพวกเขาในวัยเยาว์ที่ยังไร้เดียงสาและมีความรัก ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ในสมัยนั้น พวกเขาต้องแยกจากกันเพราะสภาพสังคมที่ไม่อำนวย เมื่อพวกเขาได้พบกันอีกครั้ง เวินหว่านก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว

 

คนที่รักไปแต่งงานกับคนอื่น แต่พวกเขาก็ยังได้เจอกันอีกครั้งในมหาวิทยาลัย

 

ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดีเลย หวังเย้าสามารถจินตนาการถึงภาพความเจ็บปวด ที่พวกเขาทั้งสองต้องมาเจอกันอีกครั้งออก

 

“หลังจากนั้น พวกเราก็ติดต่อกันเรื่อยมา” ศาสตราจารย์ลู่พูด “สามีของเธอจากไปตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่ผมก็มีครอบครัวของตัวเองอยู่แล้ว”

 

หวังเย้าอึ้งไป

 

“โอ้ ผมทำไม่ถูกใช่ไหมล่ะ?” ชายชราถาม

 

หวังเย้าเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร เรื่องพวกนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าถูกหรือผิด มันเป็นเรื่องที่พระเจ้าได้ลิขิตเอาไว้เพื่อกลั่นแกล้งพวกเขา

 

ในบ่ายวันนั้น พวกเขาทั้งสอง กับชาหนึ่งถ้วย และเรื่องเล่าความสัมพันธ์หลายสิบปีของคนคู่หนึ่ง หวังเย้ารู้สึกอินไปกับเรื่องราวของพวกเขา การได้ฟังเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเองนั้นให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากการดูละครหรือภาพยนตร์

 

“หมอแต่งงานรึยัง?” ศาตราจารย์ลู่ถาม

 

“ยังหรอกครับ” หวังเย้าพูด

 

“แล้วหมอมีคนที่ชอบอยู่ไหม?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม

 

ดวงตาของหวังเย้าเลื่อนมองออกไปนอกหน้าต่าง “ก็มีอยู่คนหนึ่งครับ”

 

“หมอต้องคว้าโอกาสนั้นไว้ และดูแลรักษาเธอให้ดีนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด

 

หลังจากดื่มชาหมดแล้ว ศาสตราจารย์ลู่ก็ลุกขึ้นยืนและบอกลา

 

ในตอนเย็น เมื่อหวังเย้ากลับไปทานอาหารที่บ้าน แม่ของเขาก็ถามขึ้นมา “มีศาสตราจารย์มาเช่าบ้านอยู่ เพื่อมารักษากับลูกเหรอ?”

 

“ข่าวไปเร็วดีนะครับ” หวังเย้าพูด มันยังไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ

 

“หมู่บ้านไม่ได้ใหญ่โตอะไร แล้วพวกเขาก็ยังมาเช่าบ้านอยู่ที่นี่ด้วย แม่ก็เลยบังเอิญไปได้ยินมาน่ะ” จางซิวหยิงพูด

 

“ก็จริงนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“เธอป่วยหนักมากเลยเหรอ?” แม่ของเขาถาม

 

“หนักมากครับ” หวังเย้าพูด

 

“ถ้าว่าแม่เลยนะ ถ้าแม่อยากจะพูดอะไรสักหน่อยน่ะ” จางซิวหยิงพูด

 

“ไม่หรอกครับ พูดมาได้เลย” หวังเย้ารีบพูด

 

“เรื่องรักษาโรค ถ้าลูกรักษาได้ ก็รักษาไป แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็อย่าฝืนตัวเองล่ะ” จางซิวหยิงพูด “แม่ไม่อยากให้ลูกโทษตัวเอง”

 

“ผมรู้ครับ แม่” หวังเย้าพูด เขารู้ดีว่า เธอพูดเพราะเป็นห่วงเขา