“ชายแดนไกลลิบฤาจักข้ามผ่าน แดนเถื่อนเวิ้งว้างฤาจักมีสิ่งใด”
พายุหิมะพัดหนักติดต่อกันหลายวัน ทั้งนอกและในตัวเมืองซีเหลียงเต็มไปด้วยหิมะ เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตายากจะบรรยาย บนถนนหลวงนอกประตูทางทิศตะวันตก มีขบวนรถขบวนหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ตรงกลางขบวนมีรถม้าที่ถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาคันหนึ่ง สลักเสลาลวดลายทาด้วยสีแดง ม่านรถเป็นผ้าปักสีแดงงดงาม แม้บนตัวรถจะมีฝุ่นดินให้เห็นมากมาย คล้ายผ่านการเดินทางมาบนหนทางไกล ทว่าก็ยังคงไม่อาจปิดกั้นความงดงามสูงส่งเอาไว้ได้
เมื่อชาวบ้านข้างทางสองสามคนที่เดินอยู่อย่างลำบากท่ามกลางพายุหิมะพบเห็นเข้าต่างพากันมองมาด้วยสายตาประหลาดใจนัก
ทว่าในขบวนรถม้าที่เดินทางมาแต่ไกลนี้ ม้าสองตัวซึ่งถูกเหล่าองครักษ์ห้อมล้อมเอาไว้เพื่อมิให้เป็นที่สังเกต กลับมีเสียงสดใจดังนกขมิ้นทองเสียงหนึ่งดังออกมา กู้โหรวจางในอาภรณ์ของบุรุษ มีผ้าสีแดงเข้มปิดหน้าอยู่ ควบคุมบังเหียนม้าด้วยมือข้างเดียว เอารองเท้ายาวยกขึ้นมาวางบนแผงคอม้า แบมือออกรับเกล็ดหิมะที่ร่วงลงมา พลางทอดถอนใจว่า “ข้าเพิ่งจะเรียนมาไม่เท่าไร กลอนโบราณที่พรรณนาถึงชายแดนก็จำมาได้เพียงสองท่อนนี้เท่านั้น ครานั้นก็สงสัยว่าที่บอกว่าแดนเถื่อนเวิ้งว้าง ที่แท้แล้วเวิ้งว้างเช่นใด? ครั้งไปถึงยิวโจวที่ท่านตาอยู่ ข้าก็นึกว่ายิวโจวที่มีหิมะปกคลุมไปทั่วก็อ้างว้างมากพออยู่แล้ว ทว่าตลอดทางที่มานี้ ตั้งหลายวันจนครึ่งเดือนแล้วที่ไม่เห็นมีคนเลย จึงได้รู้เสียทีว่าสิ่งใดคือแดนเถื่อน และเมื่อเห็นหิมะที่มีอยู่ตลอดทางนี้ จึงได้รู้ว่าสิ่งใดคือเวิ้งว้าง”
เว่ยฉางอิ๋งที่สวมชุดของบุรุษ มีผ้าสีเข้มคาดหน้าไว้เช่นนั้น กลับทอดถอนใจเบาๆ ไปคำหนึ่ง กล่าวว่า “ก่อนนี้ตอนออกจากเมืองหลวง ข้าอาลัยอาวรณ์กวงเอ๋อร์นัก เมื่อออกเดินทางแรกๆ ข้าก็คิดว่าหนทางมิได้ลำบากเท่าใด ดีชั่วก็มีรถม้าอยู่ หากข้าอุ้มไว้เขาตลอดทาง จะทานแรงกระเทือนได้สักกี่มากน้อยกันนะ? ทว่านับแต่ออกมาจากชานเมือง ก็เพิ่งรู้ว่าแม่สามีปราดเปรื่องเพียงใด! หนทางนี้ แม้แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว หากพากวงเอ๋อร์ตามมาด้วยจริงดังว่า ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าถึงยามนั้นควรจะส่งตัวกวงเอ๋อร์กลับเมืองหลวง หรือว่าควรเสี่ยงพาเขาเดินทางต่อไปดี?”
เพราะกู้โหรวจางยังไม่ได้แต่งงานจึงไร้ความกังวลใดๆ ไม่เหมือนกับเว่ยฉางอิ๋งที่ยามอยู่ในเมืองหลวงก็คิดถึงสามี เมื่อจวนได้พบกับสามี ก็คำนึงถึงบุตรชายขึ้นมา …ตลอดทางมานี้ ครึ่งทางแรก ทุกๆ วันเว่ยฉางอิ๋งเอาแต่ห่วงว่าเสิ่นจั้งเฟิงอย่าได้เกิดเรื่องใดโดยเด็ดขาด ครึ่งทางหลังก็เอาแต่ห่วงถึงเสิ่นซูกวงว่าจะต้องอยู่ดีมีสุขในเมืองหลวง คนในขบวนล้วนฟังจนเบื่อกันหมดแล้ว
เนื่องจากผู้ที่ร่วมขบวนมาด้วยล้วนสนิทสนมกันไม่น้อย กู้โหรวจางจึงเริ่มล้อเล่นกับนางว่า “คำนี้พี่เว่ยท่านพร่ำบอกมาตลอดครึ่งทางแล้ว ยามนี้พี่เขยก็อยู่ในเมืองซีเหลียงตรงหน้านี้แล้ว ยังไม่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของท่านไปได้อีกหรือ? ดีชั่วฮูหยินซูก็จะไม่มีทางดูแลหลายชายแท้ๆ ไม่ดีแน่นอน ท่านชอบเด็กเพียงนี้ มิสู้…มีลูกกับพี่เขยที่ซีเหลียงอีกสักคน?”
“น้องกู้ ปากของเจ้านี่!” แม้จะเป็นแม่คนแล้ว แต่กู้โหรวจางมากระเซ้านางเช่นนี้ต่อหน้าองครักษ์รอบตัว แม้จะอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ แต่ที่หางตาก็ยังมองเห็นว่ามีองครักษ์สองสามนายที่เบือนหน้าออกไปเล็กน้อย …เห็นชัดว่ากำลังกลั้นหัวเราะอยู่ ภายใต้ผ้าคลุมหน้า เว่ยฉางอิ๋งก็ยังคงหน้าแดง นางร้องเอ็ดไปว่า “เจ้าพูดสิ่งใดกัน! ข้าเห็นว่าตลอดทางมานี้เจ้าเอาแต่คิดถึงป้อมปราการที่ชายแดน คงมิใช่ว่าที่บอกจะมาเยี่ยมคุณชายกู้ทั้งสองเป็นเพียงเรื่องถือโอกาสทำไปพร้อมกัน แต่คิดอยากมาเลือกหาสามีที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตาความสามารถ เก่งทั้งบุ๋นบู๊ให้ตนเองจึงเป็นเรื่องหลักหรอกกระมัง?”
กู้โหรวจางกลับพยักหน้าขึ้นมาจริงๆ แล้วพูดอย่างขึงขังว่า “หากที่นี่มีคนที่เข้าตาข้าจริงๆ แต่งเสียเลยแล้วจะเป็นไร? พอถึงยามนั้นข้าก็จะเข้าต่อสู้กับศัตรูด้วยกันกับเขา ต่อให้ต้องตายในสนามรบก็ยินยอมพร้อมใจนัก ไม่แน่ว่าอาจสร้างคุณงามความดีจนกลายเป็นตำนานก็เป็นได้!”
“น้องกู้นี่เจ้าพูดจาส่งเดชอีกแล้ว! คงเพราะใกล้จะได้พบกับคุณชายกู้ทั้งสองคน เจ้าจึงดีใจเกินไป” เว่ยฉางอิ๋งไม่อาจไม่ยับยั้งนางเอาไว้ …แม้จะบอกว่าตนไม่ได้พาคุณหนูผู้นี้มาซีเหลียงด้วย หากแต่เป็นนางเองที่แอบหนีออกมา ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีพี่ชายแม้ๆ คนหนึ่ง และพี่ชายร่วมตระกูลอีกคนหนึ่งอยู่ที่ซีเหลียง จนใจเหลือที่เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นกู้อี้หรานหรือกู้ซีเหนียนก็ล้วนยังไม่ได้พบ เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่อาจไม่คอยรับผิดชอบดูแลนางสักหน่อย เพื่อมิให้กลายเป็นว่าพอเข้าเขตซีเหลียงมา แล้วหากตระกูลกู้ส่งคนมาจับนางกลับไป เรื่องที่คุณหนูกู้ปากไม่มีหูรูด กล้าพูดกล้าทำไปเสียทุกเรื่องจะยิ่งพูดต่อกันไปใหญ่ แล้วกลายเป็นข่าวลือที่แพร่ออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ …ก็จะชี้แจ้งกับตระกูลกู้ได้ลำบาก
กู้โหรวจางกำลังจะพูด หัวหน้าองครักษ์นายหนึ่งก็ขี่ม้าจากนอกวงเข้ามา รายงานว่า “คุณชายสี่บอกว่าตัวเมืองซีเหลียงอยู่ตรงหน้านี้แล้วขอรับ พายุหิมะยิ่งรุนแรงขึ้นแล้ว ต้องขอเชิญฮูหยินน้อยและคุณหนูกู้กลับขึ้นไปบนรถม้า เตรียมเข้าตัวเมืองด้วยขอรับ”
จากเมืองหลวงถึงซีเหลียงเป็นระยะทางห่างไกลพันลี้เต็มๆ ตลอดทางที่มานี้ต้องข้ามน้ำข้ามเขา ต่อให้เป็นรถม้าที่ดีอีกเพียงใด กระดูกของคนที่นั่งมาตลอดทางก็คงแทบจะแยกออกจากกันแล้ว โดยเฉพาะการเดินทางมาทางตะวันตกในฤดูกาลเช่นนี้ก็ช่างบังเอิญนัก เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิย่างเข้าฤดูหนาวพอดี …ว่ากันว่าท้องฟ้ามืดครึ้มเดือนแปดหิมะปลิดปลิว ยามออกเดินทางนั้นก็เดือนเก้าแล้ว เพียงคิดก็รู้แล้วว่าหนทางต้องลำบากเพียงใด หาไม่แล้วเว่ยฉางอิ๋งก็จะไม่รู้สึกโชคดีนักหนาที่ไม่ได้พยายามเอาเสิ่นซูกวงมาด้วยหรอก
ด้วยเหตุนี้ แม้เว่ยฉางอิ๋งและกู้โหรวจางล้วนเป็นคุณหนูมีตระกูล ทว่าเมื่อเดินทางมาถึงกลางทางก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงถือว่าตนเองร่ำเรียนวรยุทธมาก่อน หลังจากฝึกขี่ม้ามาวันสองวัน แต่ละคนจึงให้สาวใช้เอาเสื้อผ้าที่เดิมทีจะนำมาให้พวกของเสิ่นจั้งเฟิงและกู้ซีเหนียน มาผลัดเปลี่ยนสวมชุดบุรุษกันเสีย และคอยสลับออกมาขี่ม้าเป็นระยะๆ เป็นการปรับตัว
วันนี้เพราะว่าตั้งแต่ตื่นมาก็รู้ว่าจะเดินทางมาถึงเมืองซีเหลียงแล้ว ทั้งสองคนจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษและขี้ม้ามาแต่เช้า เพื่อจะได้ไม่เอาแต่อุดอู้อยู่ในรถม้าแล้วถูกขบวนที่ห้อมล้อมอยู่บดบังทัศนวิสัย จนไม่อาจมองเห็นตัวเมืองซีเหลียงตั้งแต่คราแรก
ในขณะที่กำลังสนุกสนานอยู่นั่นเอง พลันได้ยินองครักษ์ถ่ายทอดคำที่เสิ่นจั้งฮุยส่งมาเตือน จึงได้รู้ว่าขบวนอยู่ห่างจากประตูเมืองซีเหลียงไม่ไกลแล้ว ตรงหน้าประตูคงจะมีคนมาคอยต้อนรับ …อย่าให้เสียหน้าได้ พวกนางจึงรีบกลับหันไปทางรถม้า เมื่อมาถึงข้างรถม้า ด้วยเหตุที่ทั้งสองล้วนเป็นคนที่มีฝีมือเก่งกาจว่องไว จึงไม่ต้องให้รถม้าหยุดเสียก่อน คนหนึ่งอยู่ทางซ้าย คนหนึ่งอยู่ทางขวา และให้คนบังคับรถม้าขยับที่ทางสักหน่อยก็กระโดนจากอานม้าเข้าไปบนตัวรถได้แล้ว
กู้โหรวจางเอื้อมมือไปจะเปิดผ้าม่านรถแต่กลับถูกเว่ยฉางอิ๋งกดมือไว้ พลางกดม่านลงไว้ก่อน แล้วร้องออกมาประโยคหนึ่งว่า “น้องหญิงบ้านเติ้ง พวกเราจะเข้าไปข้างในแล้ว เจ้าไปหลบอยู่ที่หลักฉากกันลมสักหน่อยดีหรือไม่?”
แล้วได้ยินเสียงแหบพร่าของเด็กสาวคนหนึ่งดังออกมาจากในรถว่า “ขอบคุณพี่หญิงทั้งสองท่านที่เอาใจใส่ เมื่อครู่นี้ข้าให้คนเอาเสื้อขนจิ้งจอกมาให้ ยามนี้คลุมตัวไว้แล้ว พวกท่านเข้ามาเถิด”
เมื่อเปิดม่านออกเว่ยฉางอิ๋งและกู้โหรวจางเข้าไปข้างในตามลำดับ แม้ทั้งสองคนจะเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ยังมีลมแรกพัดหิมะเข้ามาภายใน พัดเสียจนความอบอุ่นจากเตาถ่านที่หมุนเวียนอยู่ภายในไม่หลงเหลืออยู่เลยแม้สักน้อยและหนาวเย็นอยู่อีกพักใหญ่
______________________________
[1] มิต้องตีกรับ ร่ำสุราจากจอกทอง เป็นท่อนสุดท้ายของบทกวีชมดอกเหมยเลื่องชื่อในสมัยซ่ง หลังจากพรรณนาว่าดอกเหมยในสวนเล็กๆ งดงามเพียงใดแล้ว ท่อนสุดท้ายก็บอกว่า ดีที่ยามนี้ไม่ต้องมาตีกรับร้องเพลง และดื่มสุราจากจอกทองเพื่อเชยชมความงามของดอกเหมยนี้ เป็นการเปรียบเปรยถึงชีวิตและความงามที่สัมผัสได้อย่างธรรมดาสามัญ ไม่ต้องผ่านการปรุงแต่งใดๆ