ตอนที่1252 หัวใจแห่งศิลา

 

ในมือเย่หยวน เขากำลังกำผลึกมณีสีเทาอ่อนอยู่ก้อนหนึ่ง

ซึ่งผลึกมณีชิ้นนี้มีขนาดเล็กมาก ต่อให้วางมันข้างขยะเพียงว่ายังแยกไม่ออกด้วยซ้ำ เพราะมันมิได้โดดเด่นอะไรเลย

หากนำมันผสมลงในเศษหินเศษทรายบนร่างของเหล่ายักษ์หิน ยิ่งไม่สามารถสังเกตเห็นเข้าไปใหญ่

หากไม่ตั้งใจสังเกตระยะใกล้จริงๆ เกรงว่าไม่มีทางหามันเจอ

เมื่อขุนพลศิลาและที่เหลือเห็นภาพฉากตรงหน้า พวกมันแต่ละตัวต่างจจับจ้องด้วยแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวในทันใด และไม่กล้าย่างเท้าเข้าใกล้แม้สักนิด

 

“หุหุ ไฉนไม่โจมตีข้าแล้วล่ะ? เมื่อครู่ยังกล้ากันอยู่เลย?”

เย่หยวนเบนสายตาเหลียวมองขุนพลศิลาเล็กน้อย เขาแสร้งปั้นหน้าประหลาดใจอย่างใส่ซื่อพลางกล่าวต่อว่า

“เอ๊ะ? เหตุใดถึงไม่กล้าโจมตีข้าแล้ว? หรือเป็นเพราะ…กลัวอะไรแถวนี้ได้รับความเสียหายกระมัง?”

 

ขุนพลศิลาและที่เหลือต่างสงบปากสงบคำในทันใด เนื่องจากใบหน้าของพวกมันเป็นหิน สีหน้าอารมณ์จึงแสดงออกมามิได้ชัดเจนนัก

ทว่าตอนนี้กลับชัดเจนยิ่งกว่าครั้งใด สีหน้าของพวกมันอึดขรึมหนักประหนึ่งถูกกดขี่โดยสมบูรณ์

 

“ไม่กล่าวอะไรกันเลยรึ? ข้าสงสัยเสียจริงว่า…หากบดขยี้ผลึกมณีเม็ดนี้ให้แตกคามือ ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร?”

หลังกล่าวจบ เย่หยวนเร่งโคจรพลังปราณทั่วร่างและเตรียมบดขยี้ผลึกมณีชิ้นนั้นทันที

 

ขุนพลศิลาสีหน้าซีดเผือกในบัดดล มันโพล่งกล่าวขึ้นทันทีด้วยความตกใจสุดขีดว่า

“อย่า! เรายอมแล้ว! เรายอมแล้ว!”

การที่มันกล่าวเช่นนี้เท่ากับมันยอมรับแล้วว่า ผลึกมณีสีเทาอ่อนเม็ดนี้คือจุดอ่อนของพวกมัน

อันที่จริงเย่หยวนมิได้สนใจว่า ขุนพลศิลาจะยอมแพ้หรือไม่ ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้น

 

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“หุหุ เป็นเช่นนี้นี่เอง! หากข้าเดาไม่ผิด จุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเจ้าก็คือผลึกมณีชิ้นนี้ แล้วที่กล่าวว่าไม่สามารถฆ่าพวกเจ้าได้ล่ะ? แค่ขู่งั้นรึ?”

 

ยามใดที่หาจุดอ่อนของเหล่ายักษ์หินไม่เจอ ไม่ว่าจะแกร่งกล้าเพียงใดก็ไม่มีทางฆ่าพวกมันได้โดยสมบูรณ์

แต่เย่หยวนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในระหว่างที่ร่างของขุนพลศิลาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หากเป็นคนทั่วไปย่อมไม่มีวันจับสังเกตเล็กๆเช่นนี้ได้แน่นอน ไม่ว่าจะปราบปรามมันลงสักกี่ครั้ง

เหล่ายักษ์หินพวกนี้มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับสิบจอมราชันย์

ในขณะที่ความแกร่งกล้าของขุนพลศิลาสามารถเทียบชั้นได้กับสามอันดับแรกของสิบจอมราชันย์!

 

แต่ถึงจะสังเกตเห็นความผิดปกติ แต่การจะหาผลึกมณีนี้ แค่พูดง่ายกว่าทำแน่นอน

เหตุผลที่เย่หยวนต้องเคลื่อนที่โฉบแล่นไปทั่วบริเวณก็เพื่อตรวจสอบยักษ์หินเหล่านี้ที่ร่างแตกเป็นเสี่ยงๆ

ในท้ายที่สุดนี้ เขาก็ค้นพบว่าความเร็วในการฟื้นตัวของพวกมันสัมผัสกับตอนที่ผลึกมณีสีเทาอ่อนปลดปล่อยคลื่นความผันผวนออกมาจากร่างขุนพลศิลา

ดังนั้นแล้ว จึงสรุปได้ว่า ผลึกมณีสีเทาอ่อนชิ้นนี้คือแหล่งฟื้นฟูร่างกายของพวกมันทั้งหมด

ตราบใดที่เย่หยวนทำลายผลึกมณีสีเทาอ่อนทิ้งไป พวกมันจจะไม่สามารถฟื้นตัวได้อีกตลอดกาล

 

“เจ้า…เจ้าทราบได้อย่างไร? ข้ามั่นใจยิ่งว่า ในปัจจุบันทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่มีใครทราบถึงจุดอ่อนของเผ่ายักษ์หินอีกแล้ว!”

ขุนพลศิลากล่าวขึ้นพร้อมน้ำเสียงสุดเศร้าโศก

เนื่องจากเผ่ายักษ์หินได้สูญพันธุ์ไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์นานแล้ว ผู้คนในยุคสมัยปัจจุบันย่อมไม่มีทางทราบถึงจุดอ่อนของพวกมันแน่นอน กระทั้งชื่อเผ่าพันธุ์ยังเกรงว่าไม่รู้จักด้วยซ้ำ

 

ทว่า…กลับเป็นเด็กเหลือขอคนนี้อีกครั้งที่เสาะพบจนเจอ!

นี่จึงทำให้มันหดหู่ใจอย่างยิ่ง

 

“หุหุ ทุกชีวีตย่อมมีจุดอ่อน ตราบใดที่ยังไม่ย่อท้อและเสาะค้นต่อไป ย่อมหาเจอเสมอในท้ายที่สุด เอาล่ะ,ตอบคำถามนายน้อยผู้นี้มา ผลึกมณีชิ้นนี้คืออะไร? ไฉนข้ารู้สึกว่ามันค่อนข้างไม่ธรรมดา?”

ยามที่เย่หยวนกุมถือผลึกมณีสีเทาอ่อนนี้ไว้ในมือ เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังงานแปลกที่แผ่ซ่านออกมาเป็นระลอก

ความผันผวนชนิดนี้คล้ายหัวใจมนุษย์ที่กำลังเต้นอยู่

นี่อาจเป็นแหล่งกำเนิดของยักษ์หินและสามารถชุบชีวิตพวกมันได้อย่างไม่จำกัด

 

“เอ่อ…”

 

เมื่อได้ยินคำถามของเย่หยวน กลับเป็นขุนพลศิลาที่เริ่มรวนเร

 

“ดูท่าเจ้าจะไม่สนใจชีวิตของเหล่าสหายร่วมเผ่าพันธุ์ เช่นนั้นแล้ว…”

 

“เดี๋ยวก่อน! ข้ายอมพูดแล้ว! นี่…นี่คือหัวใจแห่งศิลา เป็นแหล่งพลังงานหลักของเผ่ายักษ์หินของข้า หากมีผลึกมณีก้อนนี้อยู่รอบๆ พวกเราจะฟื้นฟูพลังได้ไม่รู้จบ”

ขุนพลศิลากล่าวขึ้นด้วยความหวาดกลัว

แม้ว่ายักษ์หินเหล่านี้จะแข็งแกร่ง ทว่าโดยนิสัยของพวกมันที่ตรงไปตรงมาไร้เล่ห์เหลี่ยม จึงหลงกลเย่หยวนเข้าอย่างจังและยอมปริปากบอกทุกอย่าง

ต่อให้เป็นขุนพลศิลา แต่มันก็ไม่ค่อยทันคนนัก

หากเปรียบเทียบกับเผ่ามนุษย์ เผ่ายักษ์หินทั้งซื่อสัตย์และใสซื่อกว่ามาก

แม้สีหน้าการแสดงออกของพวกมันจะแสดงออกมามิได้ชัดเจนนัก ทว่าท่าทางของพวกมันก็ส่อผิดสังเกตอยู่หลายหน

ที่ขุนพลศิลามิเต็มใจกล่าวถึงเรื่องหัวใจแห่งศิลา เห็นได้ชัดว่า มันมีข้อกังวลเรื่องอื่น

 

และเพราะเป็นเช่นนี้ เย่หยวนจึงมิได้ลงมือกับพวกมันขั้นเด็ดขาด

เขารู้สึกว่า เผ่ายักษ์หินไม่ชอบเผ่ามนุษย์เป็นทุนเดิมเนื่องจากเหตุผลบางประการ นั้นจึงเป็นสาเหตุที่พวกมันเข้าโจมตีเช่นนี้

มิฉะนั้นด้วยนิสัยของเย่หยวน เขาคงบดขยี้หัวใจแห่งศิลาไปสิ้นแล้ว คงไม่เสียเวลายืนคุยกับขุนพลศิลาแน่นอน

 

“นะ-น้องเล็ก ขุนพลศิลาผิดไปแล้ว! ขุนพลศิลาตนนี้ไม่ควรท้าทายเจ้า! ขะ–ข้าขอร้องปล่อยแม่ทัพศิลาไปเถิด เดี๋ยวพวกเรา…พวกเราจะพาพวกเจ้าออกไปจากบริเวณนี้เอง!”

ขุนพลศิลายอมอ่อนข้อสวามิภักดิ์อย่างหมดท่า มันไม่ยอมเผยความลับใดๆเกี่ยวกับหัวใจแห่งศิลาออกไป ซึ่งมันเองก็โกหกไม่เป็น จึงทำได้แต่ขอร้องอ้อนวอนเย่หยวนเท่านั้น

 

ทว่าเย่หยวนกลับเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆว่า

“เหอะ,หรือเป็นไปได้ไหมว่า นายน้อยผู้นี้เป็นคนใจกว้างมากเมตตา? อย่าคิดต่อรองกับข้า เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก! พูดมา! หัวใจแห่งศิลาคืออะไรกันแน่?”

 

ขุนพลศิลาพลันกรอกตาให้เห็นอย่างชัดแจ้งเมื่อได้ยิน

ทว่าในท้ายที่สุด มันยังคงใจแข็งและคำรามลั่นว่า

“แม่ทัพศิลา,ข้าขอโทษ! ความลับของหัวใจแห่งศิลาจะต้องเป็นความลับตลอดไป! มิเช่นนั้นพวกเราก็ไม่ขออยู่เช่นกัน!”

ทันทีที่กล่าวจบขุนพลศิลาก็ยกมือขึ้นหันเข้าใส่เย่หยวนทันที และเป้าหมายของมันก็คือหัวใจแห่งศิลาในมือเย่หยวน!

เมื่อเย่หยวนจี้ถามเกี่ยวกับเรื่องความลับของหัวใจแห่งศิลา ขุนพลศิลาถึงขั้นลงมือทันทีโดยไม่ลังเลใดๆ

ดูเหมือนว่าหัวใจแห่งศิลาก้อนนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ!

 

ร่างของเย่หยวนไสวหลบฝ่ามือของขุนพลศิลาเล็กน้อย

 

“เหอะ มีผู้นำอย่างเจ้า เหล่าสมาชิกที่เหลือจักต้องสูญพันธุ์กันหมด!”

เย่หยวนกล่าวเย้ยหยันทันที

 

“หึ! พวกมนุษย์ช่างน่ารังเกียจ! พี่ใหญ่ขุนพลศิลาอุตส่าห์ทำถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ! เจ้ากลับรังแกพวกเราเกินไป!”

 

“พี่ใหญ่ วันนี้พวกเราขอสู้ร่วมกันท่านจนตัวตาย! วันนี้ไม่มันก็เราต้องตายไปข้าง!”

 

“ฆ่าพวกมนุษย์! ล้างแค้นให้พี่ใหญ่แม่ทัพศิลา!”

 

สิ่งที่ทำให้เย่หยวนประหลาดใจคือ ไม่เพียงแต่ขุนพลศิลาที่บ้าดีเดือด แม้กระทั้งเหล่ายักษ์หินตัวอื่นๆเองกลับเห็นพ้องต้องกัน

 

“เหอะ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า วันนี้พี่ใหญ่กลับต้องรับบทตัวร้ายไปเสียแล้ว เผ่ายักห์หินพวกนี้ช่างซื่อตรงและจริงใจโดยแท้!”

อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพลางถอนหายใจอย่างหมดปัญญา

เหล่ายักษ์หินเก้าตัวตรงเข้าปิดล้อมเย่หยวนในทันที แต่หลังจากที่ความแกร่งกล้าของเย่หยวนพัฒนาขึ้นอีกขั้น พวกมันก็หาใช่คู่มืออีกต่อไป

ในทางตรงกันข้าม เย่หยวนสามารถฆ่าเหล่ายักษ์หินพร้อมได้ในทีเดียว หัวใจแห่งศิลาอยู่ในกำมือของเขา นั้นเท่ากับชีวิตและความตายของพวกมันก็อยู่ในมือเขาเช่นกัน

 

“ย๊ากกก! เจ้ามนุษย์บัดซบ! ข้าจะสู้กับเจ้าเอง!”

ทันใดนั้นเอง ขุนพลศิลาก็พลันบ้าดีเดือดถึงขีดสุดประหนึ่งเสียสติไปแล้ว จู่ๆกลางหน้าผากของมันพลันเปล่งแสงประกายเจิดจ้า

 

เมื่อเหล่ายักษ์หินตัวอื่นๆเห็นภาพฉากนี้ พวกมันต่างร้องลั่นด้วยความตื่นตกใจ

“พี่ใหญ่ขุนพลศิลาไม่!”

 

แต่ขุนพลศิลาหามีเจตนาหยุดยั้งใดๆไม่

เย่หยวนทราบดี ศูนย์รวมพลังชีพทั้งหมดของยักษ์หินเหล่านี้คือกลางหน้าผาก

 

ความผันผวนแปรปรวนกระเพื่อมขึ้นกลางเวหา เย่หยวนในยามนี้ประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับความตาย!

 

“แย่แล้ว! เจ้าบ้านั้นกำลังจะระเบิดตัวเอง! ช่างเป็นอนุภาพที่น่ากลัวนัก! พี่ใหญ่รีบหนีออกมาเร็ว!”

อิ้งหมัวหู่ที่ตะโกนสุดเสียงลั่น สีหน้าของเขาซีดขาวเปลี่ยนสีแทบไม่ทัน