ภาคที่ 3 ตอนที่ 43 บทสวด

มรรคาสู่สวรรค์

……

ในเสียงร้อยโหยหวน ซ่งเชียนจีเรียกอาวุธวิเศษออกมา ก่อนจะบินขึ้นไป เลือดสดๆ หยดเป็นทาง

กระบี่เครื่องเคลือบเล่มนั้นลอยค้างกลางอากาศ มิได้ไล่ตาม

เหอเว่ยมองดูฝนโลหิตนั้น สายตาเย็นยะเยือก

ร่างกายซ่งเชียนจีถูกแทงทะลุ ต้นไม้แห่งเต๋าและโอสถกระบี่ล้วนถูกทำลายจนสิ้น ไหนเลยจะยังมีชีวิตรอดไปได้ บินไปไม่กี่สิบจ้างก็ร่วงตกลงมาที่พื้น หมดลมหายใจ

เหอเว่ยสะบัดแขนเสื้อ สะเก็ดไฟจำนวนมากลอยออกไป แปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟร้อนแรง เพียงพริบตาก็เผาไหม้ศพของซ่งเชียนจีจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

หุบเขาสีเลือดที่อยู่ห่างออกมาหลายสิบลี้ยังคงเงียบสงบ คนที่อยู่ในสำนักเสวียนอินน่าจะสังเกตเห็นถึงความเคลื่อนไหวตรงนี้แล้ว แต่ไม่มีใครออกมาดู

ในสำนักเสวียนอินตอนนี้ยากจะหาผู้แข็งแกร่งที่สามารถต่อกรกับเหอเว่ยแบบซึ่งๆ หน้าได้

เหอเว่ยสะบัดแขนเสื้อ เหยียบอากาศบินขึ้นไป ไม่นานก็ขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าที่สูงอย่างมาก หุบเขาสีแดงเลือดนั้นกลายเป็นเส้นสีแดงในสายตาเขา ภูเขาเหลิ่งซานอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่ใต้เท้า

บนท้องฟ้าทางตะวันออกมีลำแสงที่ดูคล้ายหยกปรากฏขึ้นมา ไอพลังดูห่างไกลและลึกลับ ยากจะรับรู้ถึงความตื้นลึกของสภาวะได้

เหอเว่ยค่อยๆ หรี่ตา มองไปทางด้านนั้นพลางคารวะ “คารวะท่านนักพรตไป๋”

“สหายเหอไม่ต้องมากพิธี”

ในลำแสงที่ดูเหมือนหยกมีเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นมา

เหอเว่ยมิได้กล่าวกระไรอีก เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเมฆ หลับตาแล้วเริ่มปรับลมปราณ

เหลิ่งซานยังคงเงียบสงบ ในรัศมีหลายพันลี้มองไม่เห็นร่องรอยของความเคลื่อนไหวใดๆ จะมีก็เพียงแกะเหลืองที่ปรากฏตัวขึ้นในบริเวณทุ่งหญ้าและต้นหลิวเหมันต์เป็นบางครั้ง

แต่แน่นอน สิ่งที่เห็นนั่นมิใช่ความจริงทั้งหมด

ที่นี่คือสถานที่ที่อันตรายที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน ไม่รู้ว่ามีสัตว์ประหลาด ปีศาจแอบซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาอันดำมืด ด้านหลังข่ายพลังและใต้ดินมากน้อยเท่าไร

หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นมาจ้องมองจากเบื้องสูงอย่างอวดดีเหมือนอย่างเหอเว่ย คงจะต้องเจอกับการโจมตีจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน

แต่สภาวะของเหอเว่ยนั้นแข็งแกร่งจริงๆ คนในพรรคมารไม่อยากที่จะหาเรื่องด้วย

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือฮูหยินของเจ้าสำนักจงโจวก็อยู่ที่นี่ ใครจะกล้าออกมาหาเรื่องตาย?

……

……

ในส่วนที่ลึกที่สุดของหน้าผาสีเลือดยังคงเป็นหน้าผาที่ซ้ำซากและแห้งแล้ง แต่ภายในหน้าผาที่ถูกข่ายพลังปกป้องอยู่มีสิ่งก่อสร้างอยู่เป็นจำนวนมาก

ศูนย์กลางลัทธิสำนักเสวียนอินในปัจจุบันไม่อาจเทียบกับศูนย์กลางลัทธิเมื่อครั้งที่ถูกสำนักชิงซานทำลายลงได้ในทุกๆ ด้าน แต่ถึงกระนั้นการจะบุกเข้ามาโจมตีก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก

เสาคานภายในตำหนักของสำนักเสวียนอินสร้างขึ้นมาจากหยกดำ แผ่กระจายกลิ่นคาวเลือดจางๆ ออกมา แล้วก็แอบซ่อนความแห้งผากบางอย่างเอาไว้ในส่วนลึก

ในส่วนที่ลึกที่สุดของตำหนักมีม่านที่ทำขึ้นมาจากไข่มุกโลหิตสวรรค์อยู่ ด้านหลังม่านมีตั่งอยู่ตัวหนึ่ง

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนอนอยู่บนตั่ง สง่างามเรียบง่าย หน้าตาดูดี เขาคือซูชีเกอ เจ้าสำนักเสวียนอิน

เนื่องเพราะธาตุไฟเข้าแทรก เขาจึงนอนเป็นอัมพาตมาหลายปี แต่หลังเกิดความวุ่นวายภายในสำนักเสวียนอินครั้งนี้ เขากลับยังมีชีวิตอยู่

เกาหยาคือผู้อาวุโสที่มีชีวิตอยู่มาเจ็ดยุคเพียงคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ของสำนักเสวียนอิน รูปร่างผอมแห้ง หน้าผากแห้งเหี่ยว คล้ายพลังชีวิตได้หลั่งไหลออกไปจนหมดแล้ว แต่หากมองลึกเข้าไปในดวงตาเขา กลับสามารถมองเห็นได้ถึงความทะเยอทะยานและความกระหายที่ยังลุกโชนอยู่

เขามองดูแสงสีขาวอันเจิดจ้าสองดวงที่อยู่บนข่ายพลัง สีหน้าดูคร่ำเคร่ง กล่าวว่า “เจ้าสำนักคิดว่าอย่างไรขอรับ?”

ซูชีเกอมองเกาหยา ก่อนจะกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ในเมื่อนักพรตไป๋ลงมือด้วยตัวเอง ยังจะคิดอย่างไรได้อีก พวกเรารอความตายก็พอ”

เกาหยายิ้มเย็นยะเยือกพลางกล่าวว่า “หากโจรชั่วพวกนั้นสามารถทำลายข่ายพลังหมื่นธวัชได้ สำนักของเราคงถูกทำลายไปนานแล้ว ไหนเลยยังต้องรอจนถึงวันนี้?”

ซูชีเกอหลับตาลง มิกล่าวกระไรอีก

เกาหยามองไปทางชายหนุ่มผู้หนึ่ง กล่าววาจาขึงขังว่า “นายน้อยอย่าได้หวาดกลัว แม้นจะเป็นเซียนขั้นทะลวงสวรรค์ก็ไม่สามารถทำลายข่ายพลังของสำนักเราได้”

เท้าของชายหนุ่มผู้นั้นเดินมิค่อยสะดวก เขาก้าวเดินอย่างช้าๆ มายังริมหน้าต่าง มองดูท้องฟ้าที่ถูกไอของสายแร่เพลิงย้อมจนเป็นสีแดง กล่าวว่า “นักพรตไป๋ผู้นั้นกับเจ้าสำนักคุนหลุนคิดจะทำอะไร?”

“น่าจะล่วงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายสำนักเมื่อหลายวันก่อน พวกเขาจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อบอกว่าธรรมะกับอธรรมมิอาจอยู่ร่วมกันได้ นายน้อยท่านต้องค่อยๆ ทำความเคยชินกับสถานการณ์แบบนี้”

เกาหยามองดูแผ่นหลังของชายหนุ่มพลางกล่าว ในดวงตาแฝงเอาไว้ด้วยสายตาเยาะเย้ย

เจ้าก็เป็นแค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ จะคิดเรื่องพวกนี้ทำอะไร หรือคิดจริงๆ ว่าตัวเองเป็นนายของสำนักเสวียนอิน?

ชายหนุ่มหมุนตัว ที่แท้เขาคือหวังเสี่ยวหมิง บุตรบุญธรรมของซือเฟิงเฉิน

ไม่รู้ตอนนั้นหลังจากเมืองเจาเกอมา เขาต้องเจอกับอะไรบ้าง ถึงได้ฝึกวิชามารจนสำเร็จ แล้วยังกลายเป็นนายน้อยของสำนักเสวียนอิน

เขามองไม่เห็นสายตาเยาะเย้ยที่อยู่ในดวงตาของเกาหยาเมื่อครู่นี้ แต่นี่มิได้ส่งผลกระทบต่อความคิดหนึ่งของเขา ‘คนผู้นี้ควรฆ่าทิ้ง’

จากนั้นเขามองไปยังซูชีเกอผู้เป็นเจ้าสำนักเสวียนอินที่นอนอยู่บนตั่ง ในใจครุ่นคิดว่าคนผู้นี้จะฆ่าหรือไม่ฆ่าดีนะ?

……

……

เหล่าพรรคมารที่อยู่ในเขาเหลิ่งซานต่างรับรู้ได้ถึงการมาของเหอเว่ยเจ้าสำนักคุนหลุนและนักพรตไป๋แห่งสำนักจงโจว

พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดยอดคนแห่งฝ่ายธรรมะสองคนนี้จึงมาที่นี่ และคิดจะทำอะไร ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาสิ่งที่เรียกว่าความหวาดกลัวมันก็ไม่เคยต้องการเหตุผลอยู่แล้ว

สำนักที่มีข่ายพลังของสำนักก็เพิ่มระดับความแข็งแกร่งของข่ายพลัง ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักที่ไม่มีข่ายพลังก็รีบหนีลงไปใต้ดิน

สาวกของสำนักเสวี่ยหมัวที่แอบซ่อนตัวมาหลายปีต่างพยายามบินลงไปในโพรงใต้ดินอย่างสุดชีวิต ถึงแม้จะรู้ว่าด้านหน้าก็มีอันตรายเช่นเดียวกัน

ใต้แผ่นดินเฉาเทียนมีโพรงจำนวนนับไม่ถ้วน ในนั้นมีหลายแห่งที่สามารถทะลุไปยังดินแดนหมิงได้ เพียงแต่เพราะอุโมงค์แคบเกินไป ข่ายพลังปิดกั้นตามธรรมชาติก็แข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นจึงมีแต่วิญญาณเร่ร่อนที่เล็กจ้อยและอ่อนแอที่สุดถึงจะผ่านมาได้ มารที่แข็งแกร่งอย่างศิษย์ของหมิงซือนั้นได้แต่ต้องใช้วิธีส่งร่างเงามาปรากฏตัวในโลกมนุษย์ คล้ายกับตอนที่อยู่ในหุบเขาหมิงชุ่ยครั้งนั้น

มีเพียงไม่กี่ที่ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นอุโมงค์บนดินที่เชื่อมต่อไปยังดินแดนหมิง นอกจากน้ำวนยักษ์ที่ทุกคนรู้กันแล้ว อีกที่หนึ่งก็คือหุบเขาจวี้หุนที่อยู่ในเขาเหลิ่งซาน แต่เมื่อหลายปีก่อนได้ถึงสำนักจงโจวปิดผนึกไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงสัตว์ประหลาดของเผ่าหมิงบางส่วนที่โชคดีข้ามมาได้เป็นบางครั้ง ส่วนอีกที่หนึ่งนั้นอยู่ไม่ไกลจากทะเลตะวันออก

ในหุบเขาชิงชุ่ยมีหลุมอยู่แห่งหนึ่ง

หลุมนี้ลึกเป็นอย่างมากจนมองไม่เห็นก้นของมัน

ที่นี่ถูกเรียกว่าบ่อผ่านฟ้า

ไม่มีผู้บำเพ็ญพรตคนไหนรู้ว่าเหตุใดมันจึงมีชื่อนี้

สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยอยู่บนภูเขาที่อยู่ห่างจากบ่อผ่านฟ้าสิบกว่าลี้ เรียกได้ว่าสามารถออกมากำราบมารชั่วเผ่าหมิงที่หนีออกมาจากข้างในได้ทุกเมื่อ

พูดให้ถูกยิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อนานมาแล้วเพื่อที่จะกำราบมารชั่วเผ่าหมิง แม่ชีเทพแห่งทะเลตะวันออกผู้นั้นจึงได้มาสร้างสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยขึ้นที่นี่

แผ่นดินเฉาเทียนเงียบสงบมาเป็นเวลาสองร้อยกว่าปี ร่องรอยความเคลื่อนไหวของเผ่าหมิงดูน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงเวลาหลายสิบปีมานี้เทียบจะเรียกได้ว่าเงียบหายไปเลย

บ่อผ่านฟ้าเองก็เงียบสงบมาหลายปี

วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ จู่ๆ ความเงียบสงบนี้ก็ถูกทำลายลง

ศิษย์สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยสิบกว่าคนคุ้มกันเกี้ยวเล็กผ้าม่านสีเขียวหลังหนึ่งบินมาที่นี่ ภายในเกี้ยวคือผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เมฆสีทองยามเช้าก็ปรากฏขึ้นมา เรือดอกบัวค่อยๆ ลอยลงมา เจ้าอาวาสวัดกั่วเฉิงและไต้ซือตู้ไห่แห่งอารามหลี่ว์ถังก็พาสมณะวัดกั่วเฉิงสิบแปดรูปมายังข้างบ่อผ่านฟ้า

เสียงสวดมนต์ดังขึ้นเบาๆ สะท้อนไปมาอยู่ในหุบเขาที่เขียวขจี

บทสวดที่เปล่งประกายสีทองจางๆ รวมกันกลายเป็นตาข่ายที่ดูเหมือนผ้ากาสาวพัสตร์ค่อยๆ ลอยลงไปยังก้นบ่อ

ภายในบ่อผ่านฟ้ามีเสียงซู่วๆ ดังนั้นมานับไม่ถ้วน คล้ายกับดาบที่ถูกเผาจนกลายเป็นสีแดงถูกน้ำเย็นๆ รดลงไป

ไม่รู้ว่าดวงวิญญาณเร่ร่อนจำนวนมากน้อยเท่าไรที่ต้องตายลงไปในพริบตา

ไอพลังที่มืดมนและเย็นยะเลือกสายนั้นค่อยๆ จมหายลงไป จนกระทั่งไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้อีก

………………………