ภาค 2 ตอนที่ 154 ชื่อดังสุดท้ายย่อมมีคนเชื่อ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 154 ชื่อดังสุดท้ายย่อมมีคนเชื่อ โดย Ink Stone_Romance

สายฝนปลายฤดูใบไม้ร่วงตกปรอยๆ ราวกับไม่มีวันหยุด คนบนถนนน้อยลงไปมากนัก ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงยิ่งแลดูวังเวง

ด้านในโถงหอมกลิ่นยา ตู้ยาที่เดิมทีว่างเปล่าเวลานี้ค่อยๆ ถูกเติมช้าๆ

แต่ไม่ใช่สมุนไพรที่เก็บมาขาย เป็นยาชนิดต่างๆ ที่คุณหนูจวินคั่วเองหลังซื้อมา มียาเม็ดมียาทา ล้วนเป็นคุณหนูจวินนำหลิ่วเอ๋อร์ทำออกมา

พนักงานสองคนรับผิดชอบจัดวาง

นี่ก็ดีกว่าว่างทำเพียงเช็ดโต๊ะเก้าอี้ก่อนหน้านี้แล้ว

แต่สองคนนี้ทำยาก็ทำออกมาไม่ได้เท่าไร เวลามากกว่านั้นจึงยังคงว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันฝนตกแบบนี้

“คุณหนูจวินเล่นจนเหนื่อยแล้ว ไม่ออกไปเป็นหมอเร่แล้ว หรือหลังจากนี้จะอาศัยขายยา?” พนักงานคนหนึ่งเบื่อหน่ายหนักหนาเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน

“ขายยา ก่อนอื่นก็ต้องมีคนเชื่อถือเสียก่อนสิ ผู้คนแม้กระทั่งตรวจยังไม่ยอมให้ตรวจ จะมาซื้อยาที่พวกเราที่นี่ได้อย่างไร” พนักงานอีกคนเอ่ย

พวกเขากำลังคุยกัน คุณหนูจวินก็เดินออกมาจากด้านใน สองคนรีบยืนดีๆ สีหน้านอบน้อม

“พวกเจ้าไปร้านสมุนไพรเอาสมุนไพรบางอย่าง” นางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งส่งไป

พนักงานสองคนรีบขานรับรับไป หยิบร่ม สองคนรีบร้อนออกจากประตูไป

คุณหนูจวินไม่ได้หมุนตัวกลับไป นั่งอยู่ด้านในโถงยกพู่กันเขียนบันทึกการแพทย์เคียงข้างเสียงฝนด้านนอก กรณีศึกษาทางการแพททย์ที่นางสะสมมาหนาเป็นเล่มแล้ว ตั้งแต่มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งนี่เป็นเรื่องที่นางยืนหยัดทำมาตลอด บันทึกกรณีศึกษาทางการแพทย์เหล่านั้นที่อาจารย์เคยบอกไว้

ไม่อาจให้อาจารย์นอกจากชื่อเสียง สิ่งใดก็ไม่เหลือไว้

โรงหมอจิ่วหลิงข้างในเงียบสงบไปหมด

แต่เวลานี้ในบ้านหรูหราหลังหนึ่ง บรรยากาศกลับเคร่งเครียดอยู่บ้าง ด้านในเรือนหลัง ใต้ร่วมไม้เขียวเสียงร้องไห้เบาๆ ดังมาเป็นระยะ

ในโถงรับแขกของเรือนหลังแห่งหนึ่งชายวัยกลางคนผู้หนึ่งขมวดคิ้วเดินไปมา เมื่อมองเห็นผู้เฒ่าที่ได้หญิงรับใช้เดินนำมาเดินออกมาจากห้องด้านในก็รีบเข้าไปหา

“หมอหลวงเจียง” เขารีบเอ่ยถาม “ภรรยาเป็นอย่างไร?”

ผู้เฒ่าก็คือเจียงโหย่วซู่หมอหลวงแห่งสำนักแพทย์หลวง เอ่ยวาจาสีหน้าสงบ

“ท่านขุนนางใหญ่หลิน ยาของท่านหญิงลองรับต่ออีกสักสองสามชุดดู” เขาเอ่ย

ชายวัยกลางคนได้ยินคิ้วขมวดแน่น

ในฐานะขุนนางขั้นสองเขาไม่สะดวกพูด หญิงรับใช้ด้านข้างมองเข้าใจทันที

“ยานี้ทานมานานมากแล้ว ทำไมไม่เห็นผลแม้แต่นิด?” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้น “ท่านหญิงของพวกเรายังคงเจ็บปวดร้องไห้ทุกค่ำคืน เป็นเช่นนี้ต่อไปจะได้อย่างไร”

“โรคมาดั่งเขาถล่ม โรคไปดุจสาวไหม โรคนี้ของท่านหญิงหลินสั่งสมโรคมานานแล้ว นี่เร่งร้อนไม่ได้” หมอหลวงเจียงเอ่ยขึ้น

ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ท่านขุนนางใหญ่หลินก็ไร้หนทางเหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนท่านเปลืองแรงแล้ว” เขาเอ่ย

เจียงโหย่วซู่วันนี้ที่สำนักแพทย์หลวงคุณสมบัติอาวุโสที่สุด ทั้งยังได้รับความเชื่อถือจากฮองไทเฮาอย่างมาก ท่านขุนนางใหญ่หลินไม่กล้าชักช้าไปส่งเองที่ประตูชั้นใน เพิ่งส่งหมอหลวงเจียงไป ก็เห็นหญิงรับใช้สองคนนำแม่เฒ่าคนหนึ่งเข้ามา

นี่คือแม่ชีเฒ่าคงจิ้งจากวัดฉือกวงเมืองหลวง

ท่านขุนนางใหญ่หลินส่ายศีรษะ พวกผู้หญิงก็เป็นเช่นนี้ ไม่สบายนอกจากหาหมอแล้วยังต้องไปเรียกพระมาสวดคัมภีร์ หาแม่ชีมาทำพิธีในบ้าน

ท่านขุนนางหลินแม้ไม่เชื่อสิ่งนี้ แต่ก็ไม่อาจห้าม สำหรับบรรดาผู้หญิงที่ป่วยไข้ บางครั้งการปลอบประโลมก็เป็นยาอย่างหนึ่งเหมือนกัน

แต่ครั้งนี้การปลอบประโลมนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ผล แม่ชีเฒ่าคงจิ้งเก็บผีน้อยไปจากที่พักของท่านหญิงหลินสามตน เผาแผ่นยันต์ไปอีกหนึ่งกะละมัง ท่านหญิงหลินก็ยังคงเจ็บปวดยากจะทน ร้องไห้ไม่หยุด

สภาพเช่นนี้เป็นต่อกันมาเป็นเวลาเจ็ดแปดวันแล้ว เคี่ยวกรำท่านหญิงหลินผู้กินดีอยู่ดีสมบูรณ์พูนสุขจนเรียกได้ว่าไม้แห้ง

“เป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องรอใช้ยาเหล่านั้น ข้าคงทนจนตายเสียก่อน” ท่านหญิงหลินร้องไห้อยู่ข้างใน

หญิงรับใช้สาวใช้ในนอกห้องล้วนร้องไห้ไปด้วย ร้องจนท่านขุนนางใหญ่หลินจิตใจว้าวุ่น

“ไปหาหมอชื่อดังมาอีก” เขาสั่งคนรับใช้

“ในเมืองหลวงนี้ไหนเลยมีหมอที่ชื่อดังยิ่งกว่าหมอหลวงเจียงอีก” ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินถือไม้เท้าเอ่ยขึ้น “ไปเชิญพระชั้นสูงมาอีกสักคนดีกว่า นี่เป็นผีร้ายเข้าสิงแล้ว”

แม่ลูกสองคนโต้เถียง หญิงรับใช้คนหนึ่งที่ยืนอยู่นอกห้องได้ยินเข้าในใจก็คิดขึ้นมา ทนจนทนไม่ไหวแล้ว แม้หวาดกลัวแต่กลับรู้สึกว่าไม่อาจพลาดโอกาสได้

“ท่านหญิงผู้เฒ่า นายท่าน บ่าวได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีหมอเทวดาคนหนึ่ง” นางกัดฟันคำนับที่ช่องประตูเอ่ยขึ้น

ตอนที่พนักงานสองคนซื้อสมุนไพรกลับมาก็มองเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ด้านหน้าประตู

นี่เป็นรถม้าสีดำสนิทเรียบๆ คันหนึ่ง ดูไปแล้วไม่สะดุดตา แต่ม้าที่ลากรถรวมถึงคนรถที่ยืนอยู่ด้านข้างรถล้วนมีบรรยากาศของความมั่งคั่งสูงศักดิ์อยู่บ้าง

พนักงานสองคนที่เป็นลูกศิษย์ของร้านแลกเงินซึ่งข้องเกี่ยวกับเงินทองเข้าใจทันทีว่านี่ไม่ใช่คนธรรมดา

แต่คนผู้นี้มาโรงหมอจิ่วหลิงทำอะไร?

หรือว่ามาเชิญคุณหนูจวินไปตรวจหรือ?

นี่เหมือนเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง แต่พนักงานทั้งสองคนความคิดแล่นผ่านไปก็เห็นคุณหนูจวินเดินออกมาจากโรงหมอจิ่วหลิง ผู้หญิงอายุสามสิบห้าสามสิบหกนำทางนาง

ผู้หญิงคนนี้ท่าทางเหมือนหญิงรับใช้คนหนึ่ง แต่เสื้อผ้าหน้าตากลับดูมีอำนาจ

มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้ดูแลหญิงในบ้านตระกูลใหญ่

“คุณหนูจวินเชิญ” นางเอ่ยอย่างสุขุมทั้งมีมารยาท

คุณหนูจวินมองพนักงานสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“ข้าไปตรวจ” นางเอ่ย

หลิ่วเอ๋อร์ที่หิ้วหีบยาส่งใบรายการใบหนึ่งให้พนักงาน

“พอดี พวกเจ้าเฝ้าประตูไว้ ไม่ต้องตามไป” หลิ่บเอ๋อร์เอ่ย

พนักงานคนหนึ่งรับใบรายการไป มองอักษรบนนั้นสีหน้าประหลาดใจ รถม้าจากไปท่ามกลางสายฝนพรำ

“บ้านไหนมาเชิญคุณหนูจวิน?” พนักงานอีกคนรีบเข้าไปดู

ติ้งหยวนโหว สามคำเข้ามาในสายตาของเขา พนักงานอดไม่ได้สูดหายใจเฮือก

“คุณหนูจวินไปเข้าตาติ้งหยวนโหวตั้งแต่เมื่อไร?”

ชื่อเสียงถึงกับแพร่ไปถึงติ้งหยวนโหวคนฐานะเช่นนี้แล้วหรือ? ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองเทียบเชิญที่พนักงานส่งมาสีหน้าประหลาดใจเหมือนกัน

นับดูแล้วคุณหนูจวินก็ยังไม่ได้รักษาสักกี่คนเลยนะ เพียงแค่ครึ่งคืนหนึ่งตรวจรักษาได้เงินห้าพันตำลึงแล้ว แต่พริบตาคนก็ออกจากเมืองหลวงไปเงียบเชียบ

ชื่อเสียงวิชาแพทย์สูงส่งไม่ได้แพร่ออกไป จะพูดถึงชื่อเสียงก็คงเป็นชื่อเสียงน่าหัวร่อเรื่องเลือกคนป่วยตอนปฏิเสธตรวจหวังเฉาซื่อชักนำมา

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคิดไม่เข้าใจชื่อเสียงเช่นนี้ทำไมแพร่ไปถึงหูคนสูงศักดิ์เช่นนั้นได้ นอกจากนี้ยังถูกเชิญไปรักษาโรคอีกด้วยนะ?

ต่อให้โรคร้ายหาหมอส่งเดช หมอที่คนเหล่านี้ไปหาก็พิถีพิถันมาก

คิดไม่เข้าใจจริงๆ

“พี่สาวใหญ่คนนั้นของข้าบอกว่าบ้านเฉาเหลียงคู่เดิมก็ไม่เชื่อ แต่สหายของภรรยาเฉาเหลียงคู่ก่อนไปกำชับกำชาไว้ พบโรคที่ไม่อาจรักษาต้องไปหาคุณหนูจวินของโรงหมอจิ่วหลิงคนนี้”

“เด็กคนนั้นกรีดร้องเพียงตอนกลางคืน กลางวันก็เหมือนคนทั่วไป ยาก็กินแล้ว ในวัดก็เชิญคนมาดูแล้วก็ไร้หนทาง”

“ภรรยาของเฉาเหลียงคู่ตัดสินใจลองดู ดังนั้นให้คนเชิญคุณหนูจวินคนนี้มา”

“ก่อนมาไม่บอกคุณหนูจวินว่าใครป่วย แต่ทั้งครอบครัวมาอยู่ตรงหน้าคุณหนูจวิน ให้นางดูว่าใครมีลางร้าย”

“คุณหนูจวินนั่งอยู่ในห้องครู่หนึ่ง ไม่ได้จับชีพจร เพียงมองรอบหนึ่งก็ชี้ว่าเด็กคนนี้มีปัญหา”

ได้ยินหญิงผู้นั้นเอ่ยถึงตรงนี้ ผู้หญิงคนหนึ่งก็ขมวดคิ้วขัดนาง

“นางเดินวนเวียนที่ถนนทั้งวัน ไม่แน่ว่านางอาจเคยได้ยินว่าเด็กคนนี้ป่วยมาก่อนแล้วก็ได้นะ” นางว่า

แม่เฒ่าคนรับใช้ฉีกยิ้มแล้ว

“ก็มีความเป็นไปได้นี้” นางเอ่ย “คุณหนูจวินใช้ยาขนานเดียวเท่านั้น ฝังหนึ่งเข็ม เด็กคนนี้ก็หายดีแล้ว”

ทายคนป่วยออกมาได้ไม่นับเป็นอะไร ที่สำคัญอย่างแท้จริงคือรักษาหายได้ บรรดาผู้หญิงในห้องสบตากันทีหนึ่ง

“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูจวินก็ทำตามที่พูดว่าจะรักษาคนมีวาสนาจริงๆ สิ ไม่เช่นนั้นอยู่บนถนนนานขนาดนี้ไม่รับตรวจสักนิด เจ้าบอกว่าวิชาแพทย์ของนางไม่ไหว แต่สองคนนี้ที่นางรับตรวจเห็นผลทันตา” แม่เฒ่าหญิงรับใช้เอ่ยต่อ “ตอนนี้คนบนถนนล้วนไม่กล้าหัวเราะนางแล้ว ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ ทุกคนใครร่างกายไม่สบายล้วนยินดีไปเดินผ่านหน้านาง คุณหนูจวินไม่พูดว่าลางร้ายไม่สนใจ ทุกคนก็รู้ว่าไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร ดีอกดีใจไปหาหมอคนอื่นตรวจแล้ว”

ถึงกับมีคนเช่นนี้

บรรดาหญิงในห้องสบตากันทีหนึ่ง

ด้านนอกพลันมีหญิงรับใช้อีกคนหนึ่งก้าวไวๆ เข้ามา

“ท่านหญิงเฒ่า” นางคำนับท่านหญิงผู้เฒ่าหลิน “สืบมาชัดแล้วเจ้าค่ะ เป็นบุตรสาวของคนดังของหรู่หนาน นายอำเภอฝู่หนิงจวินอิ้งเหวิน”

บรรดาหญิงในห้องล้วนประหลาดใจมาก

“ถึงกับเป็นทายาทของขุนนางคนหนึ่ง?” พวกนางเอ่ยขึ้น

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ โรงหมอจิ่วหลิงที่หรู่หนาน เป็นกิจการบรรพบุรุษตระกูลจวิน” หญิงรับใช้เอ่ยต่อ “จงใจตามหาคนหรู่หนานถามแล้ว ล้วนแต่เอ่ยชม บอกว่าสุดยอด”

ถึงกับวิชาแพทย์สูงส่งจริงๆ? บรรดาผู้หญิงสบตากันอีกครั้ง

“ที่ถนนก็สืบมาแล้ว มาไม่ทันสองเดือน โรงหมอจิ่วหลิงเปิดใหม่ อยู่ที่ถนนเป็นหมอเร่จริงๆ แต่กลับไม่ตรวจโรคให้คน พูดจาประหลาดอยู่บ้าง ตรวจโรคก็ช่างเลือก” หญิงรับใช้เอ่ย

“บ่าวชราไม่ได้โกหก” แม่เฒ่าคนรับใช้ก็รู้ว่าท่านหญิงผู้เฒ่าหลินต้องให้คนไปสืบ ไม่มีทางฟังตนเองก็เชื่อ เวลานี้ได้ยินหลักฐานก็ดีใจรีบเสริม “บนถนนนี้แพร่ไปทั่วแล้ว ไม่มีทางหลอกลวงหรอก”

“แต่นางไม่ได้ตรวจคนป่วยมาสักกี่คนจริงๆ” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้น

ฟังเช่นนี้แล้วมหัศจรรย์นัก

ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินกระทุ้งไม้เท้า

“ที่แท้เสแสร้งแกล้งหลอกหรือพาข้ามเพียงคนมีวาสนาเท่านั้นจริงๆ ทดลองดูก็รู้แล้ว” นางเอ่ยขึ้น “เชิญ”

คุณหนูจวินเลิกม่านรถ มองประตูตรงหน้า

ป้ายจวนของจวนติ้งหยวนโหวสะดุดตายิ่งนัก

รถม้าไม่ได้หยุดลงแต่ตรงเข้าไปจากประตูตรงมุม แล่นตรงไปถึงประตูชั้นในถึงหยุดลง

“คุณหนูจวินเชิญเถอะ” หญิงรับใช้ด้านนอกเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินลงจากรถ หลิ่วเอ๋อร์รีบหิ้วหีบยา

บ้านหลังนี้ใหญ่มากอลังการมาก ตระกูลฟางที่หยางเฉิงก็ใหญ่มากอลังการมากเหมือนกัน แต่ความรู้สึกไม่เหมือนกัน

ทว่ามองสีหน้าคุณหนูจวินราบเรียบ หลิ่วเอ๋อร์ก็ยังคงสงบ

นี่ทำให้หญิงรับใช้สองคนที่มารับตรงประตูชั้นในประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ที่ประหลาดใจก็คือเด็กสาวคนนี้อายุน้อยขนาดนี้ แล้วก็ประหลาดใจว่าเด็กสาวอายุน้อยขนาดนี้ท่าทางสุขุมนิ่งสงบเช่นนี้

เหมือนกับไม่ใช่เด็กสาวที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเล็กตระกูลน้อย แล้วก็ไม่ใช่หมอเร่ที่เดินลัดเลาะตรอกซอกซอย แต่เป็นผู้ที่เห็นบ้านคนสูงศักดิ์จนชินเดินอยู่ในนั้นบ่อยๆ

มีท่าทางอย่างคนชั้นสูงอยู่จริงๆ

“คุณหนูจวิน เชิญทางนี้” พวกนางเก็บสีหน้าเอ่ยขึ้นติดจะจริงจัง

สาวใช้อายุน้อยสองคนถือร่มก้าวไปข้างหน้า คุณหนูจวินพยักหน้า ก้าวเดินตามไป ไม่นานก็มาถึงเรือนที่อยู่ของท่านหญิงหลิน

สาวใช้สองข้างยืนเรียงรายมองนางอย่างสนใจใคร่รู้ ผ้าม่านถูกเปิด ในห้องสาวใช้รายล้อม ที่นั่งอยู่ตรงกลางคือผู้หญิงชราผมขาวเต็มศีรษะคนหนึ่ง สีหน้าทรงอำนาจ

ฉีซื่อท่านหญิงผู้เฒ่าของติ่งหยวนโหว

นางรู้จัก แล้วก็นับว่าคุ้นเคยมากด้วย

ปีใหม่เทศกาลเข้าวังมาเข้าเฝ้า ล้วนยิ้มแย้มจูงมือนาง

“องค์หญิงตัวน้อยของข้า ท่านผอมลงอีกแล้ว”

คุณหนูจวินหลุบสายตาลง ก้าวข้ามธรณีประตู

ในที่สุดก็พบคนที่เคยพบในอดีตคนหนึ่งแล้ว

……………………………………….