บทที่ 314 แพ้คือตาย

ฉู่ชวิ๋นชกกำปั้นทั้งสองข้างออกไปรัวๆ

หลังจากชกออกไปแล้ว จังเฟิงหลิงก็กรีดร้องออกมา กระดูกซี่โครงของเขาแตกละเอียด

“ขอบใจมากนะ ไอ้คุณชายไม่เอาไหน!”

ฉู่ชวิ๋นพูดจบ จังเฟิงหลิงก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอีกครั้ง แหวนมิติของจังเฟิงหลิงไปด้วย

“เอาคืนมานะ” จังเฟิงหลิงร้องตะโกน

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ ก่อนพูดว่า “ทำไมฉันต้องคืนของที่ขโมยมาด้วยล่ะ?”

สุดท้าย จังเฟิงหลิงก็โกรธจนเป็นลมไปในที่สุด

ฉู่ชวิ๋นหันกลับมาเล่นงานพันเฉิงเฟิงต่อในทันที

พันเฉิงเฟิงเตรียมตัวพร้อมอยู่แล้ว เขามันยกง้าวยาวขึ้นฟาดใส่ฉู่ชวิ๋น

เคล้ง!

เปลวไฟสาดกระจาย ฉู่ชวิ๋นใช้กำปั้นชกง้าวยาวอย่างไม่เกรงกลัว

“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน คิดหรือว่าแกจะสู้ฉันได้?” เมื่อเห็นว่าฉู่ชวิ๋นยังตามติดเข้ามาไม่ลดละ พันเฉิงเฟิงก็คำรามออกมาด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว

“ไม่ต้องมาขู่ฉัน เพราะมันจะทำให้แกต้องตายขึ้นเร็วกว่าเดิม” เสียงพูดของฉู่ชวิ๋นดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ

ชายหนุ่มกระโดดไล่ตามพันเฉิงเฟิงที่กระโดดถอยหลัง พร้อมกันนั้นเขาก็ชกหมัดออกไป ได้ยินเสียง “ตุบตับ” ดังขึ้นสองครั้ง แล้วพันเฉิงเฟิงก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ง้าวยาวแทบหลุดออกมาจากมือ

ฉู่ชวิ๋นตรงเข้าไปแย่งง้าวยาวมาถือไว้และกระโดดออกมา

โครม!

ร่างของพันเฉิงเฟิงล้มคว่ำลงไปบนพื้น

ฉู่ชวิ๋นเดินกลับเข้าไปก้มหยิบแหวนมิติของพันเฉิงเฟิงขึ้นมา

“มีใครอีกไหม?”

ฉู่ชวิ๋นยกง้าวยาวขึ้นชี้หน้าทุกคนด้วยลักษณะคุกคาม

คนของตระกูลจางและบรรดาจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิทั้งหลายเลิกลั่ก

ทุกคนต่างก็ได้รู้แล้วว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของชายหนุ่มผู้นี้ พวกเขาไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวเด็ดขาด

พันเฉิงเฟิงอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง มันถูกง้าวยาวฟาดใส่ กระดูกชายโครงจนแตกละเอียด รู้สึกได้ชัดเจนเลยว่าร่างกายมีเหงื่อออกตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวด มันไม่เหลือเรี่ยวแรงจะเจรจาหรือร้องอะไรด้วยซ้ำ

“คุณชายหยาน พวกเราขอตัวกลับก่อนนะ” เริ่มมีกลุ่มจอมยุทธ์เข้ามาอำลาหยานหวูซวงบ้างแล้ว

“นายน้อยหยานหวูซวง วันหน้ามีเวลา มานั่งจิบไวน์กับพวกเราหน่อยเถอะ”

“คุณชายครับ พวกเรากลับก่อนนะ”

ทุกสำนักที่เหลือต่างเดินเข้ามาอำลาฉู่ชวิ๋นกับหยานหวูซวงด้วยน้ำเสียงสุภาพ วิธีการของฉู่ชวิ๋นนั้นมหัศจรรย์มากเกิน การใช้หมัดต่อยจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 จนสภาพปางตายเป็นสิ่งที่บอกทุกคนได้เป็นอย่างดีว่าชายคนนี้มีความโหดเหี้ยมอำมหิตแค่ไหนและทุกคนก็รู้แล้วว่าเมื่อสู้ไม่ได้ก็จะถูกยึดแหวนมิติไป ซึ่งชายหนุ่มสามารถยึดมาได้ถึง 36 วง!

“ทุกคนไม่ต้องไปไหน อยู่ที่นี่กันก่อน” ทันใดนั้น เสียงของคนดังขึ้น

ทุกผู้คนหยุดชะงักและหันหน้ากลับไปมองยังทิศทางต้นเสียงด้วยความตกตะลึง พวกมันเห็นเงาร่างหลายสายกระโดดมาตามสายลม เพียงพริบตาเดียว คนกลุ่มหนึ่งก็มาอยู่ตรงหน้าพวกมันแล้ว

หอคอยโลหิตจันทรา!

เสื้อคลุมเป็นสีแดงเลือด มีดดาบเป็นสีแดงเลือด มีเลือดติดอยู่บนมีดดาบ ข่มขวัญผู้คนเป็นอย่างยิ่ง

พวกหยานหวูซวงเดินมายืนเคียงข้างฉู่ชวิ๋น พร้อมรับมือศัตรูไปด้วยกัน

“ทุกคนโปรดอยู่ที่นี่ต่อไปก่อน” ใบหน้าของผู้มาใหม่มีสีขาวบริสุทธิ์ แต่คิ้วของเขาเป็นสีแดงเช่นเดียวกับดวงตาที่เป็นสีแดงก่ำดูแปลกประหลาด

ประเด็นก็คือพลังของเขาแข็งแกร่งไม่ใช่เล่น เพียงแค่ลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายอย่างแผ่วเบาก็ทำให้หลายคนหายใจติดขัดขึ้นมาแล้ว

พลังของคนผู้นี้ไม่น่าจะต่ำกว่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8

จังเฟิงหลิงรู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง มันทราบดีว่าคนของหอคอยโลหิตจันทรามาที่นี่เพื่ออะไร? มาสังหารหยานหวูซวงกับไอ้บ้านนอกนั้นไงล่ะ!

“พี่หลิว ฉันจะหาวิธีถ่วงเวลามันเอาไว้ก่อน พี่อาศัยจังหวะนี้พาคนอื่นๆ หนีกลับไปที่บ้านตระกูลหยานเถอะ” หยานหวูซวงกระซิบเสียงแผ่วเบา

แต่ฉู่ชวิ๋นกลับพูดออกมาเสียงดังฟังชัดว่า “ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ?”

หยานหวูซวงชะงักกึก ฉู่ชวิ๋นสัมผัสพลังของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้หรือไง? พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลยสักนิด

“ฉันมาจากหอคอยโลหิตจันทรา มีนามว่าเนี่ยจื่อเฉิง” หัวหน้าคนชุดแดงพูด

“หยานหวูซวง ฉันมาที่นี่เพื่อทำความเข้าใจเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบว่าคุณชายช่วยตอบได้หรือไม่?”

หยานหวูซวงมองหน้าอีกฝ่ายก่อนถามออกมา “แกอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?”

“มีพรรคพวกของฉันถูกฆ่าตายในโรงแรม ใครเป็นคนทำ?” เนี่ยจื่อเฉิงมีเสียงที่อ่อนโยนราวกับเสียงของผู้หญิง

“ฉันเป็นคนทำเอง” หยานหวูซวงรู้ตัวดีว่าอีกฝ่ายคงมาด้วยเหตุผลนี้

“คุณชายหยานสมแล้วกับที่เป็นวีรบุรุษ ในเมื่อกล้าทำก็กล้ารับ เนี่ยจื่อเฉิงขอคารวะจากใจจริง” เนี่ยจื่อเฉิงพูด

“แต่ยังคงมีอีกหนึ่งเรื่องที่ฉันอยากเรียนถามคุณชายหยานสักหน่อย”

“ว่ามา”

“คนของหอคอยโลหิตจันทราไปเยี่ยมเยียนบ้านตระกูลหยาน แต่พวกมันไม่เคยได้กลับออกมาเลย ตอนนี้พวกมันอยู่ที่ไหน?”

หยานหวูซวงใจเต้นระทึก เนื่องจากคนทั้งสี่นั้นตกตายกลายเป็นผีไปหมดแล้ว

ฉู่ชวิ๋นจ้องมองเนี่ยจื่อเฉิงด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาอดถามตัวเองไม่ได้ว่า ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่?

รูปร่างหน้าตาและน้ำเสียงเหมือนผู้หญิง แต่ลูกกระเดือกแหลมเปี๊ยบบอกใบ้ว่าไม่น่าจะใช่ผู้หญิง มันยังไงกันแน่นะ

“พวกมันกลับบ้านเก่ากันไปหมดแล้ว” ฉู่ชวิ๋นตอบแทนหยานหวูซวง

“หืม? กลับบ้านเก่า? บ้านเก่าของพวกมันอยู่ที่ไหน?” เนี่ยจื่อเฉิงถามพร้อมรอยยิ้ม

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะออกมาขณะพูดว่า “แกลองลงจากเขาคุนหลุนไปนะ กลับไปที่เมืองหยานเซวี่ย มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก จะเจอทางแยกให้เลี้ยวซ้าย เดินไปอีก 5 กิโลเมตรให้เลี้ยวขวา เดินไปอีก 5 กิโลเมตรให้เลี้ยวซ้าย หลังจากนั้นเดินตรงไปอีก 5 กิโลเมตร แกต้องขุดหลุมบนพื้นดินตรงนั้น ขุดต่อไปเรื่อยๆ ขุดต่อไปอย่าหยุด เมื่อขุดลงไปได้สักล้านเมตรแล้ว แกก็จะเห็นทางข้ามไปสู่โลกอีกใบหนึ่ง จะมีสะพานทอดข้ามแม่น้ำให้เดินข้ามไป ตรงสะพานจะมีหญิงชรานางหนึ่งให้แกได้ดื่มน้ำซุปหนึ่งถ้วย อย่าลืมสั่งนางว่าห้ามใส่ผักชีลงไปเด็ดขาด หลังจากนั้นแกก็เดินข้ามสะพานไปพวกมันอยู่ที่นั่นแหละ หาไม่นานเดี๋ยวก็คงเจอกัน”

บรรดาจอมยุทธ์ที่ยืนอยู่โดยรอบถึงกับตกตะลึงไปหมดแล้ว นี่คือคำตอบที่เจตนายั่วโมโหเนี่ยจื่อเฉิงชัดๆ ชายหนุ่มคนนี้ไม่กลัวตายหรืออย่างไร? หรือมันรู้สึกว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ก็ยังไม่น่ากลัวมากพอ?

เนี่ยจื่อเฉิงฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาและพูดว่า “คุณคนนี้มีอารมณ์ขันดีจริงๆ”

“แกก็ไม่เลวเหมือนกันนะ ฉันยังไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้วแกเป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิงกันแน่?” ฉู่ชวิ๋นยิ้มตอบกลับไป

แต่คำพูดของเขาลอยไปเข้าหูทุกคนอย่างชัดเจน

หยานหวูซวงเห็นกับตาว่าหลังจากที่ฉู่ชวิ๋นกล่าวประโยคนี้ออกมาแล้ว ดวงตาของเนี่ยจื่อเฉิงก็กลอกกลิ้งไปมา

“หึหึ…เรื่องนี้ไม่ตลกแล้วนะ” เนี่ยจื่อเฉิงว่า

“ก็ไม่ตลกน่ะสิ ฉันถามจริงจังนะเนี่ย” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าของเขาแสดงความจริงจัง

สีหน้าของเนี่ยจื่อเฉิงเคร่งเครียดขึ้นมาแล้ว

“ท่านผู้อาวุโส ผมเป็นพยานได้ว่ามันฆ่าคนทั้ง 4 ของหอคอยโลหิตจันทราตอนนั้นผมก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย” จังเฟิงหลิงร้องตะโกนออกมา

“จังเฟิงหลิงจากตระกูลจังใช่ไหมนั่น?” เนี่ยจื่อเฉิงหันหน้าไปจ้องมอง

จังเฟิงหลิงอยู่สักครู่ใหญ่ ก่อนที่จะถามออกมา

เนื่องจากมีข่าวลือว่าคุณชายจังเฟิงหลิงมีลักษณะสง่างาม โฉมหน้าหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง แต่สภาพปัจจุบันของมันแทบดูไม่ได้เลยสักนิด

จังเฟิงหลิงอับอายเกินทนรับไหว เขาไม่เคยขายหน้าขนาดนี้มาก่อน?

“ไอ้คุณชายไม่เอาไหนหุบปากไปเดี๋ยวนี้ คำพูดของแกไม่มีค่าอะไรหรอกก็เหมือนตัวแกเองนั่นแหละ” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ

“คุณพอจะให้คำอธิบายกับฉันได้ไหม?” เนี่ยจื่อเฉิงไต่ถาม

ฉู่ชวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถ้าจะให้หาคำอธิบายแล้วล่ะก็ คงต้องบอกว่าพวกมันมายุ่งกับฉันเอง ฉันก็เลยต้องฆ่าทิ้งซะ”

ดวงตาของเนี่ยจื่อเฉิงขุ่นมัวขึ้นมาทันทีขณะพูดว่า “ไม่มีใครสามารถฆ่าคนของหอคอยโลหิตจันทราได้ตามอำเภอใจ”

ฉู่ชวิ๋นยิ้มเย้ยหยันตอบกลับไป “จะบอกว่าคนของหอคอยโลหิตจันทราสูงส่งกว่าคนอื่นว่างั้นเถอะ? พวกมันรนหาที่ตายเอง ช่วยไม่ได้”

บรรดาจอมยุทธ์ที่ยืนอยู่โดยรอบถึงกับตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ชายหนุ่มคนนี้กล้าพูดทุกอย่างออกมาจริง ๆ

“ถ้างั้นแกกำลังก็รนหาที่ตายด้วยเหมือนกันใช่ไหม?” คำพูดและแววตาของเนี่ยจื่อเฉิงพลันเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างขึ้นมาแล้ว

“ฉันยังไม่อยากตายสักหน่อย” ฉู่ชวิ๋นเงยหน้ามองท้องฟ้าทำมุม 45 องศา และพูดอย่างเชื่องช้าว่า “เคยมีคนอยากจะฆ่าฉันมากมาย แต่พวกมันก็เป็นฝ่ายตายกันไปหมดแล้ว เห้อ…เป็นคนเก่งเกินไปมันก็โดดเดี่ยวแบบนี้ละนะ ยิ่งสูงยิ่งหนาวน่ะแกเคยได้ยินหรือเปล่า”

จอมยุทธ์ทุกคนที่ได้ยินคำนี้ถึงกับมุมปากกระตุกอย่างรุนแรง นี่มัน…เป็นถ้อยคำท้าดวลชัดๆ

เนี่ยจื่อเฉิงพูดว่า “งั้นเรามาสู้กัน ไม่แกก็ฉันต้องตายกันไปข้างหนึ่ง”

“ทำไมแกต้องมาฆ่าฉันด้วยล่ะ?” ฉู่ชวิ๋นถามออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

หืม!

เนี่ยจื่อเฉิงชะงักไปเล็กน้อย

“ก็แกฆ่าคนของหอคอยโลหิตจันทรา ฉันก็เลยต้องมาแก้แค้นน่ะสิ”

“เฮ้ย โลกของเราสวยงามจะตาย แต่เพราะมีคนแบบแกมากเกินไปนี่แหละ คำก็ฆ่าคน สองคำก็ฆ่า สังคมนี้มีขื่อมีแป ฆ่าคนมันผิดกฎหมายนะ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น

ทุกคนที่อยู่รอบตัวเผลอยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ยังมีอารมณ์ล้อเล่นเรื่องนี้ได้อีกหรือว่าสมองของชายหนุ่มคนนี้จะผิดปกติไปแล้ว?

เนี่ยจื่อเฉิงมีผู้ติดตามมาด้วยทั้งหมด 4 คน พวกมันเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6 สองคน อีก 1 คนเป็นขั้นที่ 7 และคนสุดท้ายเป็นจอมยุทธ์ขั้นที่ 8 เทียบเท่าเนี่ยจื่อเฉิง

“ผู้อาวุโสเนี่ย อย่าไปคุยกับมันอีกเลย ฆ่ามันเลยดีกว่า” ผู้ติดตามขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ให้ความเห็น

ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นสูง ตะโกนสวนกลับไปว่า “แกอยากจะฆ่าฉันให้ได้ใช่ไหม? ก็เอาสิ เข้ามาเลย ถ้าตายก็อย่าหาว่าไม่เตือนแล้วกัน”

ไม่ว่าเป็นใครที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ต่างก็ต้องอดหัวเราะออกมาไม่ได้ นับได้ว่าบุรุษหนุ่มคนนี้ช่างหยาบคายและไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนจริงๆ

ผู้ติดตามขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ขมวดคิ้วด้วยความฉุนโกรธ มันไม่พูดไม่จา ก็พุ่งปราดเข้าใส่ฉู่ชวิ๋น ยกมือขึ้นก่อนซัดลมปราณออกมาด้วยความดุดัน

ฉู่ชวิ๋นยิ้มมุมปาก รอคอยให้อีกฝ่ายลอยเข้ามาใกล้ จากนั้นง้าวสีทองคำก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา

ควับ!

เกิดเสียงเหมือนคมมีดตัดใบไม้ ผู้ติดตามขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ได้แต่ก้มมองปลายง้าวแหลมที่ปักติดอยู่บนหน้าอกของมันด้วยความเหลือเชื่อ

ชายชราพยายามดิ้นรนด้วยความทรมาน แต่ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไหร่ เลือดก็ยิ่งไหลทะลักออกมารวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น

นี่มันเป็นไปได้ยังไง? แม้แต่วาระสุดท้ายของชีวิตมันก็ยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะถูกฆ่าตายง่ายดายถึงเพียงนี้ ลมปราณคุ้มกายบอบบางราวกับเศษกระดาษ เพียงถูกง้าวยาวฟาดเข้าใส่ก็แตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี

ต้องกล่าวว่าอาวุธชิ้นนี้พิสดารเป็นอย่างยิ่ง ขนาดตอนที่วิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง ผู้ติดตามขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ยังเชื่อไม่ลงว่ามันจะตายภายใต้ง้าวยาวหน้าตาประหลาดนี้ แถมยังตายในกระบวนท่าเดียว!

ฉู่ชวิ๋นถือง้าวยาวทองคำอยู่ในมือ ก้มลงค้นตัวผู้ติดตามขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ดวงตาของเขาส่อแววเวทนา มุมปากยกตัวเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน

“ลงมือรวดเร็ว ก็ตายตกรวดเร็วเท่านั้น เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังไม่เข้าใจ ไต่เต้าขึ้นมาจนมีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ได้ยังไงเนี่ย?” ฉู่ชวิ๋นรำพึงกับตัวเอง

ทุกผู้คนจ้องมองด้วยความสยองขวัญ หนังหัวชายิบ จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ซึ่งถือว่ามีฝีมือสูงส่งมากสำหรับพวกมัน กลับถูกฆ่าตายได้อย่างง่ายดายยิ่ง

ดวงตาของพวกมันจับจ้องมองที่ฉู่ชวิ๋นเป็นจุดเดียวแล้วก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที

โดยเฉพาะพวกของจังเฟิงหลิงกับพันเฉิงเฟิง พวกมันไม่เข้าใจอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงไม่ฆ่าพวกมันทิ้ง ถ้าอีกฝ่าย ลงมือจริง ๆ ต่อให้พวกมันมีสิบชีวิตก็อย่าหวังว่าจะรอดไปได้

จังเฟิงหลิงจดจำเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่บ้านตระกูลหยานได้ขึ้นใจ มันต้องเผชิญเล่ห์เหลี่ยมของบุรุษหนุ่มผู้นี้ที่แกล้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บและแย่งชิงรากโสมแดงเลือดมังกรไป แสดงให้เห็นว่าไอ้หมอนี่มีเจตนาปิดบังฝีมือที่แท้จริงเอาไว้

เนี่ยจื่อเฉิงมีแววตาเคร่งเครียดขึ้นมาก ผู้ติดตามขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ของมันถูกฆ่าตายภายใต้การตวัดง้าวยาวเพียงครั้งเดียว ยิ่งไปกว่านั้น มันลอบฟังเสียงลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายของฝ่ายตรงข้าม แต่กลับไม่สามารถดักฟังได้เลย จึงมั่นใจได้มากขึ้นว่าหมอนี่มีลมปราณทัดเทียมเท่ากับมัน หรือบางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ

“พวกหอคอยโลหิตจันทรามีสมองกันบ้างหรือเปล่า? ทำไมถึงได้กล้าทำเรื่องที่รู้ว่าทำไม่ได้นะ”

ฉู่ชวิ๋นควงง้าวยาวในมือ กระโดดมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเนี่ยจื่อเฉิง

เนี่ยจื่อเฉิงมีดวงตาเป็นประกายเย็นชา หัวใจของมันเต้นระทึก หากปะทะฝีมือกันในตอนนี้ มันไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าตนเองจะเอาชนะได้หรือไม่

“พวกเจ้ากลับไปก่อน” เนี่ยจื่อเฉิงออกคำสั่งกับผู้ติดตามที่เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6 ทั้งสองคน ศึกครั้งนี้ถ้ามันชนะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพ่ายแพ้ขึ้นมาแล้วล่ะก็ ชีวิตผู้ติดตามของมันก็ต้องจบสิ้นลงที่นี่เช่นกัน ให้ถอนตัวกลับไปนี่แหละเป็นเรื่องสมควรทำที่สุดแล้ว

ดวงตาของหยานหวูซวงเป็นประกายเย็นชา อยากจะเดินออกไปยืนขวางทางชายชราทั้งสองคน

แต่ฉู่ชวิ๋นยกมือห้าม ส่ายศีรษะให้เล็กน้อย หยานหวูซวงไม่เข้าใจว่าพี่หลิวจะมาห้ามเขาเอาไว้ทำไม? เหลือฝ่ายตรงข้ามแค่เพียงสองคนเท่านั้น

ถ้าสังหารทิ้งเพราะรุมมันจะกลายเป็นข้อครหาไปทั่วยุทธภพอย่างแน่นอน เขาไม่อยากให้พี่หลิวตกเป็นขี้ปากผู้คน เลยไม่อยากให้อีกฝ่ายถอยไปง่ายๆ

“การต่อสู้ครั้งนี้ย่อมไม่ธรรมดา เนี่ยจื่อเฉิงต้องขอรับคำชี้แนะแล้ว”

ฉู่ชวิ๋นควงง้าวยาวพลางพูดออกมา “ฉันไม่มีคำชี้แนะอะไรให้หรอกนะ นอกจากบอกได้เพียงอย่างเดียวว่าคนแพ้จะต้องตาย และฉันไม่เคยปล่อยให้ศัตรูรอดชีวิตไปได้หรอกนะ”

เนี่ยจื่อเฉิงมีสีหน้าลังเลใจ มันไม่มั่นใจจริงๆ ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายชนะ

“ถ้าแกไม่กลับไปเสียแต่ตอนนี้ ฉันก็มีทางเลือกให้แกอยู่สองทาง ทางแรก เอาชนะฉันแล้วรอดชีวิตกลับไป ทางที่สอง แพ้ให้กับฉันแล้วตายอยู่ที่นี่ เมื่อเริ่มต่อสู้ตั้งแต่กระบวนท่าแรกเป็นต้นไป ฉันจะถือว่าหอคอยโลหิตจันทราเป็นศัตรูกับฉัน และเมื่อฉันลงไปจากภูเขาลูกนี้ ฉันจะไปกวาดล้างหอคอยโลหิตจันทราไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก!” ฉู่ชวิ๋นกล่าว