บทที่ 333 รู้อยู่แก่ใจ

คู่ชะตาบันดาลรัก

เสี่ยวถงเดินถือม่านเตียงที่ฉีกขาดออกมาจากห้องของหยางชูแล้วถามว่า “คุณชาย เหตุใดชั้นวางของบนเตียงถึงได้กระจัดกระจายเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ”

หยางชูที่กำลังดื่มชาอยู่เกิดสำลักเขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดด้วยความเขินอายแต่แสร้งทำเป็นสงบจิตสงบใจ “ข้าไม่ระวังเลยชนมันเข้าน่ะมันเลยหักกระจาย”

“ไม่น่าเชื่อ” เสี่ยวถงบ่นแล้วนางนึกได้ว่าเมื่อวานคุณชายเหมือนจะโกรธจึงพูดโน้มน้าวไปว่า “คุณชาย หากท่านโกรธท่านคุยกับแม่นางหมิงดีหรือไม่เจ้าคะ เตียงไม่ผิดอะไรเลย!”

นางคิดว่าหยางชูทุบเตียงเพื่อระบายความโกรธ หยางชูที่รู้ความจริงดีได้แต่เพียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เสี่ยวถงวางม่านเตียงลงแล้วกลับไปทำความสะอาดผ่านไปสักพักนางก็ยกผ้าปูที่นอนออกมาแล้วถามว่า “คุณชายท่านจะโยนไว้ใต้เตียงทำไมหรือเจ้าคะ ดูเหมือนจะยังไม่ขาดอะไรงั้นบ่าวจะนำไปซัก…”

หยางชูเห็นท่าไม่ดีก็รีบแย่งมาไว้ในมือ “เจ้าไม่ต้องเดี๋ยวข้าจัดการเอง…”

“ได้อย่างไรกันเจ้าคะ” เสี่ยวถงปกป้องงานของตนเองในฐานะสาวใช้ “จะให้คุณชายทำอย่างนั้นได้อย่างไร บ่าวจัดการเองเจ้าค่ะ!”

หยางชูไม่ลังเลที่จะแย่งผ้าปูที่นอนคืนมาและสั่งว่า “ฟังเจ้าหรือจะฟังข้ากันแน่”

“ก็ได้เจ้าค่ะ” เสี่ยวถงยอมปล่อยอย่างไม่เต็มใจ เมื่อหยางชูนำผ้าปูที่นอนไปซ่อนเสร็จหนิงซิวก็เดินออกมา

“ศิษย์พี่” หนิงซิวพยักหน้าแล้วถามราวกับเป็นเรื่องปกติ “ทำไมไม่นอนอีกหน่อยเล่า”

หยางชูไม่เข้าใจ “หืม…”

“เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ดึกแล้วข้าเห็นแม่นางหมิงยังไม่ตื่นเลย” ศิษย์พี่เหตุใดท่านถึงรู้ได้!

…………

โหวเหลียงได้ยินเสียงเรียกก็เดินไปหาอย่างเชื่อฟัง เขารู้ว่าตอนนี้จุดยืนของตนเองน่าเป็นห่วงมีคนจำนวนไม่น้อยมาจากเมืองหลวง นอกจากผู้จัดการ นักบัญชีแล้วยังมีผู้รับผิดชอบเอกสารด้วยโอกาสที่คุณชายจะเรียกใช้เขาก็น้อยลง

เมื่อเทียบกับเขาคุณชายต้องเชื่อใจผู้คนที่มาจากเมืองหลวงมากกว่าอยู่แล้ว โหวเหลียงรู้ดีว่าตนเองต้องรอโอกาสแสดงทักษะแสดงคุณค่าอันสมควรเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่เขาต้องการ

แต่เขากลัวว่าตนเองจะรอไม่ถึงโอกาสนั้นเขาอาจจะ…

“มาแล้วหรือ!” หมิงเวยสวมถุงเท้าสีขาวเดินมาตามระเบียงทางเดินและทักทายอย่างเป็นกันเอง

โหวเหลียงรีบทำความเคารพ “แม่นางหมิง”

“ถอดรองเท้าแล้วตามข้ามา” หมิงเวยพูดทิ้งท้ายแล้วเดินเข้าไปในห้องหนังสือ

โหวเหลียงรู้สึกประหลาดใจ ให้เขาถอดรองเท้า เขามีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในเรือนได้หรือไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็คว้าโอกาสนี้ไว้ก่อนละกัน! โหวเหลียงถอดรองเท้าปัดฝุ่นออกจากถุงเท้า และชายเสื้ออย่างระมัดระวังแล้วเดินเข้าไปในห้องหนังสืออย่างแผ่วเบา

หมิงเวยนั่งลงบนเก้าอี้มองไปยังโหวเหลียงก้มศีรษะโค้งกายอย่างเชื่อฟัง

“ท่านนั่งเถอะ”

โหวเหลียงก้มศีรษะลง “ข้าน้อยไม่กล้าขอรับ”

หมิงเวยไม่ได้บังคับนางจิบชาแล้วพูดว่า “เรือนสร้างใกล้เสร็จแล้วคิดว่าอีกไม่นานท่านคงมีเวลาว่างมากขึ้น”

โหวเหลียงได้ยินดังนั้นก็คิดว่าตนกำลังจะตกงานดังนั้นเขาจึงรีบพูดว่า “ยังมีรายละเอียดเล็กน้อยที่ต้องทำขอรับโดยเฉพาะจวนของคุณชายรายละเอียดแต่ละจุดต้องแกะสลักอย่างละเอียด”

“ไม่ต้องแกะสลักให้ละเอียดถึงเพียงนั้นก็ได้” หมิงเวยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ท่านก็รู้ว่าจุดสำคัญอยู่ที่กำแพงเมือง”

โหวเหลียงยิ่งตื่นตระหนก “ข้าน้อย ข้าน้อยยังสามารถทำอย่างอื่นได้…”

คงไม่ใช่ว่าเขาไร้ประโยชน์แล้วต้องการฆ่าปิดปากหรอกนะ เพราะเขารู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของการสร้างประตูรั้ว และหอสังเกตการณ์แล้ว

หมิงเวยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ยิ้ม “ท่านคิดว่าพวกเราใช้งานท่านหมดแล้วเลยคิดจะโยนทิ้งงั้นหรือ”

โหวเหลียงตกใจ “ไม่ใช่อย่างนั้นหรือขอรับ”

“คิดมากเกินไปแล้ว! ท่านมีประโยชน์ถึงเพียงนี้จะทิ้งได้อย่างไร” หมิงเวยพูดกระตุ้น “เพียงแต่ข้ามีงานอื่นให้ท่านทำไม่รู้ว่าท่านจะสนใจหรือไม่”

“สนใจ สนใจขอรับ!” โหวเหลียงพยักหน้าอย่างรัวเร็วราวกับไก่จิกข้าว สัญชาตญาณบอกเขาว่าโอกาสมาถึงแล้ว!

“เช่นนั้นก็ดีเลย!” หมิงเวยพูด “ท่านสร้างกองคาราวานภายในครึ่งเดือนนี้ หลังจากนั้นพวกเราจะเดินทางไปที่เขาเหยียนซานกัน!”

กองคาราวานข้ามเขาเหยียนซานไปหูตี้หรือ คงไม่ใช่ว่า…

“ลักลอบนำเข้าหรือขอรับ” โหวเหลียงถามเสียงเบา

หมิงเวยหัวเราะ “ใช่แล้ว!”

โหวเหลียงไปไม่เป็นก่อนเอ่ย “แต่คุณชายไม่ชอบ…”

“คุณชายก็ส่วนคุณชาย ข้าก็ส่วนของข้า” หมิงเวยพูด “ความสามารถเช่นนี้ของท่านจะให้อยู่สร้างเรือนไปก็น่าเสียดาย หากไปหูตี้จะสามารถสำเร็จการใหญ่ได้อย่างแน่นอน” โหวเหลียงเข้าใจขึ้นมาทันทีเขาทั้งดีใจแต่ก็กังวล

ที่ดีใจก็คือหากต้องการลักลอบนำเข้าจริงๆ เขาก็สามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้ แต่ที่กังวลก็คือการลักลอบขนของเป็นเรื่องที่อันตรายมากยิ่งช่วงนี้สถานการณ์ในหูตี้อยู่ในความไม่สงบหากเสียชีวิตขึ้นมาก็เป็นเรื่องปกติ

เขาไม่ได้ต้องการศักดิ์ศรีไม่ใช่เพื่อรักษาชีวิตของตนเองหรอกหรือไปที่นั่นดูไม่คุ้มที่จะเสี่ยง…

“ทำไม ไม่อยากไปงั้นหรือ” เห็นเขาไม่ตอบหมิงเวยจึงถาม

โหวเหลียงเงยหน้าสบตากับดวงตาอันล้ำลึกของนางและกัดฟันตอบ “แม่นางหมิงต้องการเช่นนั้นข้าน้อยไม่กล้าปฏิเสธหรอกขอรับ!” ไปหูตี้ก็ยังมีโอกาสกลับมาได้อย่างปลอดภัย หากไม่ตกลงทุกอย่างก็จบในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลองสู้สักตั้งเถอะ!

หมิงเวยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ถ้าเช่นนั้นท่านก็รีบไปเตรียมตัวเถอะ! ”

สติของโหวเหลียงปลิวหายไปอย่างรวดเร็วเขาพูดว่า “แม่นางหมิง ข้าน้อยขออนุญาตถามท่านได้หรือไม่”

“ว่ามา”

“การที่พวกเราเดินทางไปหูตี้จุดประสงค์เพื่อหารายได้หรือ”

หมิงเวยหัวเราะ “ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นท่าน”

“พ่อค้ากองคาราวานคือท่าน” หมิงเวยพูด “และข้าเป็นเพียงเสวียนชื่อที่ติดตามกองคาราวานเดินทางไปหูตี้ และถือโอกาสค้าขาย เพราะฉะนั้นอยากนำสินค้าอะไรไปท่านจัดการได้เลยต้องเดินทางไปเส้นทางไหนท่านก็บอกมาได้”

“….” โหวเหลียงรู้สึกเห็นท่าไม่ดีจุดประสงค์ของการลักลอบนำเข้าไม่ได้ทำเงินง่ายถึงเพียงนั้นแน่นอน แต่เขาไม่กล้าถามหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เกิดความคิดเห็นจึงตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ”

“เข้าใจแล้วก็ดี” หมิงเวยโบกมือ “ท่านไปเบิกเงินกับตัวฝูเถอะ จากนั้นก็เข้าเมืองไปหาผู้จัดการหยางเขาจะช่วยท่านจัดหาสินค้าส่วนเรื่องกำลังคนผู้จัดการหยางเตรียมไว้ให้แล้ว หากท่านมีคนที่คิดว่าเหมาะสมก็สามารถพาไปด้วยได้”

“ขอรับ” โหวเหลียงดำเนินการอย่างรวดเร็ว และเดินทางเข้าเมืองในวันนั้นเลย

เขาคิดออกแล้วคุณชายคิดทำการค้าในเกาถาง การที่แม่นางหมิงเดินทางไปหูตี้แน่นอนว่าการลักลอบนำเข้าไม่ง่ายดายเพียงนั้น เหตุผลที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการใช้การลักลอบนี้สอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในหูตี้

หากเป็นกรณีนี้พวกเขาจะใช้เส้นทางที่ปลอดภัยไม่ได้ชนเผ่าส่วนใหญ่สามารถไปที่นั่นได้ แน่นอนว่าจำเป็นต้องปกปิดการเดินทาง ดังนั้นสินค้าที่ต้องนำไปจะต้องเพียงพอ และต้องไม่เผยข้อบกพร่อง

ไม่กี่วันต่อมาแผนที่เส้นทางของโหวเหลียงก็ถูกส่งมอบให้กับหมิงเวย

นางดูไปพลางพูดคุยกับหยางชูว่า “คนผู้นี้ฉลาดจริงๆ แค่ให้ข้อมูลเขาเล็กๆ น้อยๆ ก็เข้าใจเจตนาของข้าแล้ว”

เมื่อดูแผนที่การเดินทางที่เขาวาดไว้จะต้องผ่านชนเผ่าหลายแห่งและบังเอิญเป็นสถานที่ที่นางต้องการสอบถามสถานการณ์พอดีเลย

หยางชูพูด “อย่างไรก็ตามท่านต้องระวังตัว หากเขาเกิดขายกองคาราวานเพื่อเอาตัวรอดจะเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่”

“วางใจเถอะ ข้าจะให้งูขาวคอยจับตามองเขา”

หมิงเวยวางแผนที่เส้นทางไว้บนโต๊ะแล้วมองเขาด้วยรอยยิ้ม “อีกไม่กี่วันข้าจะเดินทางแล้วมีอะไรที่อยากทำตอนนี้หรือไม่”

หยางชูกระแอมเบาๆ แล้วหันหน้าไปทางอื่น แต่มือกลับจับนางเอาไว้ “รู้อยู่แล้วยังจะถามอีก!”