ตอนที่ 206 ฟู่เสี่ยวกวนร้องทุกข

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 206 ฟู่เสี่ยวกวนร้องทุกข์

เมื่อเสียงกลองร้องทุกข์ดังขึ้น ลูกขุนหนิงหยู่ชุนที่อยู่ด้านในก็ตกตะลึง เกิดอะไรขึ้นอีกกัน ?

สีฉวินเหมยที่กำลังสืบสวนเจียงหยูอยู่ เมื่อได้ยินเสียงกลองดังขึ้นก็นึกในใจเช่นกันว่าเหตุใดจึงมีผู้ร้องทุกข์ในเมืองหลวงมากมายเช่นนี้ ?

หนิงหยู่ชุนและสีฉวินเหมยสบตากัน แต่สีฉวินเหมยจะทำอันใดได้เล่า ? นอกเสียจากพยักหน้าแล้วให้เจียงหยูรอชั่วครู่ เขาอยากจะเห็นหน้าผู้มาร้องทุกข์ผู้นี้เสียหน่อย

ฟู่เสี่ยวกวนถือจดหมายร้องทุกข์เดินเข้าไปด้านใน

“ข้าน้อย ฟู่เสี่ยวกวน จิ้นซื่อที่ฮ่องเต้ทรงประทานตำแหน่งให้เมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด คารวะท่านทั้งสอง ! ”

สีฉวินเหมยตกตะลึงไปชั่วครู่ เจ้านี่เข้ามาด้วยเหตุใดกัน ? ข้ากำลังจัดการคดีของเจ้าอยู่มิใช่หรือ ?

หนิงหยู่ชุนเองก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน เจ้าเป็นหนึ่งในพยานมิใช่หรือ อีกประเดี๋ยวเมื่อสอบสวนฮุ่ยชินอ๋องแล้วก็จะเรียกตัวเจ้าเข้ามาเช่นกัน เจ้าจะรีบร้อนไปทำไม ?

นี่มันมิถูกต้องตามกระบวนการ

สีฉวินเหมยกระแอมออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความอึดอัดใจ “ข้ายังมิได้เรียกตัวเจ้าเข้ามา”

“อ้อ มิใช่เช่นนั้นขอรับท่าน เมื่อเช้าตรู่ข้าน้อยเดินทางไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋อง แต่ด้านในช่างเงียบสนิท ข้าน้อยคิดว่าฮุ่ยชินอ๋องถูกจับตัวไปแล้ว ข้ารับใช้ภายในจวนควรจะส่งเสียงร่ำไห้มิใช่หรือ…”

เขาเอ่ยพลางมองไปยังฮุ่ยชินอ๋อง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอฮุ่ยชินอ๋อง เขาอดมิได้ที่จะมอง อีกทั้งฮุ่ยชินอ๋องเองก็มองมายังฟู่เสี่ยวกวน เขาก็มิเคยเห็นฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน สายตาแห่งความแค้นแผ่รังสีออกมา

ชายผู้ดูไร้เรี่ยวแรงนี่จัดการบุตรชายของตนเสียจนพิการงั้นรึ !

ชายหนุ่มผู้ดูมีเมตตานี่ ภายในใจช่างโหดร้ายและเป็นพวกเดียวกับสำนักทั้งสามจัดการทหารม้าของตนตายไปกว่าครึ่ง !

เขาเป็นเพียงบุตรชายพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ เท่านั้น !

เขาเป็นเพียงปัญญาชนในราชวงศ์หยู ต่อให้มีตำแหน่งจิ้นซื่อ แต่นั่นก็เพราะฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้ !

เขาเป็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งตนมิเคยเห็นอยู่ในสายตา แต่กลับทำลายจวนฮุ่ยชินอ๋องที่ตนสร้างมาด้วยความยากลำบากมานับสิบปีเสียจนไม่เป็นท่า !

แม่งเอ้ย ! บัดนี้ฮุ่ยชินอ๋องช่างเคียดแค้นเขาและต้องการจัดการเป็นที่สุด

ฟู่เสี่ยวกวนกลับขมวดคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากฮุ่ยชินอ๋องหน้าตาดีทีเดียว คล้ายคลึงกับฝ่าบาทมาก ตามปกติแล้วผู้มีลักษณะเช่นนี้มักมีสติปัญญาล้ำเลิศ เหตุการณ์โจมตีที่ถนนสายนั้นถูกวางแผนมาอย่างดี แต่เรื่องราวเมื่อคืนนั้นช่างไร้ซึ่งความคิดสิ้นดี

หรือเขาจะถูกความแค้นบังตาเสียจนขาดสติกัน ?

“ท่านผู้ใหญ่ขอรับ เรื่องเมื่อคืนที่ฮุ่ยชินอ๋องส่งชาวยุทธมาโจมตีข้าที่จวน มีจุดประสงค์เพื่อปลิดชีพข้า ทำให้ข้าน้อยขวัญเสียยิ่งนัก ข้าน้อยตั้งใจว่าหลังจากตัดสินคดีจะให้ทางจวนฮุ่ยชินอ๋องชดใช้ค่าทำขวัญเสียหน่อย แต่คาดมิถึงว่าที่จวนชินอ๋องจะเงียบสงัดเช่นนั้น ข้าน้อยมิแน่ใจว่าฮุ่ยชินอ๋องยังมีกำลังจ่ายค่าชดเชยนั่นหรือไม่ หากพวกเขาหลบหนีไป เช่นนั้น…ค่าทำขวัญของข้าน้อย 200,000 ตำลึงจะไปหาผู้ใดมารับผิดชอบเล่า ? ”

ฮุ่ยชินอ๋องได้ยินดังนั้นก็สะดุ้ง เขาชี้นิ้วไปที่หน้าฟู่เสี่ยวกวน “เจ้า เจ้ามัน ! ช่างหน้าด้านหน้าทน ! ”

เงินตั้ง 200,000 ตำลึง จวนของเจ้ามีมูลค่ามากมายเช่นนั้นหรือ ?

มีผู้ใดกระทำเช่นเจ้ากัน ?

“กระหม่อมเป็นปัญญาชน พวกเราให้ความสำคัญกับชื่อเสียงยิ่ง ท่านมิเชื่องั้นหรือ ? บัดนี้จวนข้ายังคงสภาพเมื่อคืนไว้ ท่านสีและท่านหนิงเชิญเดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเองได้ขอรับ ! อ้อ กระหม่อมขอเอ่ยว่า หยกขาวปี่เซียะที่ฝ่าบาททรงประทานให้กระหม่อมนั้นมีมูลค่ากว่าหนึ่งแสนตำลึง คงมิเกินไปหรอกใช่หรือไม่ ? ”

“เจ้า ! เจ้าบังอาจ ! ” ฮุ่ยชินอ๋องโมโหมาก กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกขึ้น

เขาเคยพบเจอคนหน้าไม่อายมาก่อน แต่มิเคยพบผู้ใดหน้าด้านเท่าฟู่เสี่ยวกวนอีกแล้ว !

ฮุ่ยชินอ๋องแทบกระอักเลือด เขาได้แต่เก็บมันไว้ในใจ ช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก

ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาหยุดต่อหน้าฮุ่ยชินอ๋องแล้วยิ้มขึ้น เขานำมือปัดนิ้วฮุ่ยชินอ๋องไปทางอื่นแล้วกล่าวว่า “ท่านหมายความว่า สิ่งของที่ฝ่าบาททรงประทานให้มิมีค่างั้นรึ ?”

สีฉวินเหมยได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง เจ้านี่ช่างกล้าเอ่ยออกมา !

หนิงหยู่ชุนเงยหน้าหลับตาลง ในใจเขานึกไปว่าชายผู้นี้ช่างไร้ยางอายหาใครเปรียบปาน !

ฮุ่ยชินอ๋องหยุดชะงัก คำพูดของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่เพียงไม่กี่คำ กลับทำให้ทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนไป ในขณะที่เขากำลังจะคัดค้านออกมา ฟู่เสี่ยวกวนก็ชี้หน้าเขาและเอ่ยว่า “ในฐานะชินอ๋อง ท่านมิเห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา ในฐานะน้องชาย ท่านมิเห็นพี่ชายในสายตาเลยรึ ในฐานะราชโอรสของไทเฮา ท่านกล้ากระทำสิ่งเหล่านี้ได้เยี่ยงไร ! ”

“หุบปาก อย่าได้เอ่ยอันใดออกมา ! กระหม่อมขอถามท่านสักหน่อย ท่านรู้จักมารยาทหรือไม่ ? ท่านรู้จักคุณธรรมหรือไม่ ? ท่านรู้หรือไม่ว่าใต้หล้านี้เป็นของผู้ใด ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนตะโกนออกมาในประโยคสุดท้าย ทำให้ทุกคนในศาลล้วนตกตะลึง

ผู้คนมากมายที่อยู่ด้านนอกก็พากันอยากรู้อยากเห็น

เหอะ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มประลองฝีปากแล้ว ! ครั้งนี้จะทำให้ผู้ถูกกล่าวหากระอักเลือดอีกหรือไม่ ?

“กระหม่อมขอเอ่ยตามตรงว่า ใต้หล้าฟ้าดินนี้เป็นของฮ่องเต้โดยแท้จริง ! บุตรชายไร้คุณธรรมของท่านทำเรื่องเลวร้ายต่อสตรีมากมาย ท่านยังกล้าส่งทหารมาเอาชีวิตข้า ! ท่านต้องการก่อกบฏงั้นหรือ ? หากฮ่องเต้สั่งสอนบุตรของท่าน ท่านก็จะนำทหารเข้าโจมตีวังหลวงงั้นหรือ ? ”

“เจ้า ! เจ้า !……”

“กระหม่อมบอกว่าอย่าได้กล่าวอันใดออกมา ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องเขาตาเขม็ง สายตานั้นเต็มไปด้วยแรงอาฆาต ทำให้ฮุ่ยชินอ๋องตกใจกลัวจนตัวสั่น กระอักเลือดสด ๆ ออกมา

ฟู่เสี่ยวกวนเอี้ยวตัวหลบ จากนั้นชี้ไปที่เขาและกล่าวอีกว่า “ไทเฮาทรงมีจิตใจเมตตา เป็นแบบอย่างอันดีงาม ทำให้ผู้คนทั่วทั้งใต้หล้าเคารพนับถือ แต่ท่านเล่า ? กลับเย่อหยิ่งจองหอง ปล่อยให้บุตรชายทำชั่ว ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแต่กลับมิไตร่ตรองอีกทั้งยังเหยียบย่ำกฎหมายของราชวงศ์ ท่านมิเห็นไทเฮาอยู่ในสายตาเลยงั้นหรือ ? ท่านต้องการให้ไทเฮาโมโหงั้นหรือ ! จิตใจชั่วร้ายยิ่ง !”

“อึก…… !”

ฮุ่ยชินอ๋องกระอักเลือดออกมาไม่หยุด “เจ้า ! เจ้า……” เขาทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ ฟู่เสี่ยวกวนก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าวจากนั้นก้มตัวลงมองฮุ่ยชินอ๋อง

“ไทเฮาทรงมีพระกรุณาล้นพ้น ให้เจ้าพำนักที่เมืองหลวง เมื่อคิดถึงจะได้เดินทางไปพบสะดวก แต่ท่านเล่า ? ท่านสำนึกในพระประสงค์นั้นหรือไม่ ? นกกายังรู้คุณตอบแทนป้อนเหยื่อ แต่ท่านเล่า ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยืดตัวขึ้นแล้วตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านมันจิตใจยิ่งกว่าสัตว์!”

“อึก…… !”

ฮุ่ยชินอ๋องกระอักเลือดแดงสด ๆ ออกมาอีกครั้ง ครานี้ร่างกายอ่อนแรงล้มลง แขนทั้งสองข้างห้อยร่อแร่ ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็ง

ผู้คนที่อยู่ด้านนอกเห็นดังนั้นก็พากันส่งเสียงออกมา สีฉวินเหมยทำการบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดลงไปไม่ขาดแม้แต่ตัวอักษรเดียว

เขาและหนิงหยู่ชุนตกตะลึงตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว

สีฉวินเหมยอยู่ในเหตุการณ์คราที่ฟู่เสี่ยวกวนทำให้ชือเฉาหยวนกระอักเลือด แต่ในครั้งนี้หนักกว่ายิ่งนัก ฮุ่ยชินอ๋องกระอักเลือดไม่หยุด แทบจะสิ้นลมเสียแล้ว

ส่วนหนิงหยู่ชุนเคยได้ยินเรื่องราวนั้นมาก่อนเช่นกัน ในวันนี้ได้เห็นด้วยตาตนเอง ช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก !

เจ้าผู้นี้มิเพียงแต่อวดเก่ง แต่ยังมีความคิดรอบคอบ เขาพุ่งประเด็นมาที่ไทเฮาและใช้ชื่อเสียงของพระนางมาข่มขู่ฮุ่ยชินอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็คงมิอาจตอบโต้ได้เช่นกัน

ท่าทางอันยิ่งผยองเต็มไปด้วยความมั่นใจนั้นทำให้ฮุ่ยชินอ๋องกระอักเลือดจนแทบถึงแก่ชีวิต

ต่อจากประโยคที่ว่าเขานั้นยิ่งกว่าสัตว์ ผู้คนที่อยู่ภายนอกก็พากันวิจารย์ว่า “ฆ่าชินอ๋องที่จิตใจต่ำช้ายิ่งกว่าสัตว์ ! ”

“คืนความบริสุทธิ์ให้แก่ไทเฮา ! ”

“ลงโทษชินอ๋องใจทรามนี้เสีย ! ”

“เทวดาฟ้าดิน ในที่สุดก็ส่งความยุติธรรมมาสักที บุญของราชวงศ์หยู บุญของประชาชน ! ”

“ขอบคุณที่ประทานฟู่เสี่ยวกวนมา ณ ที่นี้ ! ”

“หากจะแต่งงาน ให้แต่งงานกับชายเช่นฟู่เสี่ยวกวนนี้ ! ”

“ฟู่เสี่ยวกวน ! ฟู่เสี่ยวกวน ! ฟู่เสี่ยวกวน !……”

ให้ตายสิ ! ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง พวกเขาโห่ร้องตามน้ำกันทำไม ? ข้ายังจัดการธุระไม่เสร็จเลย

เยี่ยนเสี่ยวโหลวอยู่ในฝูงชนนี้ด้วย นางเป็นห่วงฟู่เสี่ยวกวนมาก จึงต้องการเดินทางมาดูให้เห็นกับตา แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับอยู่สบายดี แต่เป็นฮุ่ยชินอ๋องที่แทบตาย !

เขา……เป็นวีรบุรุษของประชาชนโดยแท้จริง !

ด้านวรรณกรรม เขาได้จารึกชื่อไว้บนหินเชียนเปยสือ

ด้านการต่อสู้ เขาสามารถฆ่าศัตรูโดยมิเกรงกลัว

แม้แต่การต่อปากต่อคำ ก็สามารถทำได้น่าทึ่งเพียงนี้ อีกทั้งยังสามารถทำได้จนถึงแก่ชีวิตคนได้ !

คำพูดคมคาย โจมตีได้ด้วยปากกาและฝีปาก

ฟู่เสี่ยวกวนเห็นเยี่ยนเสี่ยวโหลวเช่นกัน เขายิ้มและโบกมือให้นาง เยี่ยนเสี่ยวโหลวอายหน้าแดงและโบกมือกลับ

ฟู่เสี่ยวกวนนึกได้ว่ายังจัดการธุระไม่เสร็จ เมื่อสักครู่เขาได้ระบายอารมณ์ออกมาแล้ว แต่ทรัพย์สินที่เสียหายไปยังมิได้เรียกค่าเสียหายกลับคืนมา

ดังนั้นเขาจึงทำท่าทางให้ทุกคนสงบลง เสียงจากภายนอกจึงได้เบาลง

เขาหันหน้าไปทางสีฉวินเหมยและหนิงหยู่ชุน คารวะแล้วกล่าวว่า “ท่านทั้งสอง นี่คือคำร้องทุกข์ของข้าน้อย”

เขายื่นคำร้องทุกข์ไปให้ แล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยสงสัยว่าฮุ่ยชินอ๋องจะโยกย้ายทรัพย์สิน ข้าน้อยขอให้ท่านทั้งสองปิดจวนชินอ๋องห้ามมิให้เข้าออก และให้เขาชดเชยค่าเสียหายแก่ข้าน้อยด้วย”

นี่มัน……ยากเกินกำลัง !

คดียังมิได้สรุปผล ไม่สิ คดียังมิได้สอบสวนด้วยซ้ำไป จะปิดจวนฮุ่ยชินอ๋องได้เยี่ยงไร

สีฉวินเหมยนึกถึงคำของบิดาว่า อย่าไปฟังเสียงหมาเห่า ให้ม้าเดินตามทางอันถูกต้อง !

ตัวเขานั้นเดินตามทางอันถูกต้อง ส่วนเรื่องเหตุผลนั้น ฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนมาในคำร้องแล้วมิใช่หรอกหรือ ?

เขาโบกมือแล้วกล่าวว่า “ทหาร ! ”

“บัดนี้จวนชินอ๋องสถานการณ์ไม่ดีนัก อีกทั้งคำให้การของฟู่เสี่ยวกวนมีเหตุผลเพียงพอ ดังนั้น ข้าตัดสินให้ปิดจวนชินอ๋อง มิให้ผู้ใดเข้าออก ผู้ใดขัดขืน……ประหาร !”

ฮุ่ยชินอ๋องรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีอันน้อยนิดเอ่ยออกมาว่า “อย่า……”

แต่ทว่า……กลับไม่มีผู้ใดสนใจฟังเขาเลย

สีฉวินเหมยมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน “เจ้า……หมดธุระแล้วหรือยัง ?”

เป็นความหมายว่าเขาจะทำการสอบสวนต่อไปได้แล้วหรือไม่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึ ๆ “ขอบพระคุณท่านทั้งสอง ข้าน้อยขอลา”

“ไป ๆ ๆ ! ” สีฉวินเหมยโบกไม้โบกมือ หากมีเจ้านี่อยู่ด้วย เกรงว่าจะยากต่อการสอบสวน

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับไปมองเจียงหยู่แล้วเอ่ยถามว่า “ร้านอู่เว่ยจายของเจ้า ยังเปิดอยู่หรือไม่ ? ”

เจียงหยูมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาเคารพนับถือ “คุณชาย ร้านยังมิเปิด”

“อืมก็ดี รอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปเสียก่อนแล้วค่อยเปิดใหม่ ท่านทั้งสองนี้เป็นผู้มีความยุติธรรม หากเจ้ามีเรื่องใดคับแค้น จงเอ่ยไปตามตรง”

“ข้าน้อยขอบพระคุณคุณชาย”

“ไม่สิ แม่นางควรไปขอบพระคุณไทเฮา ข้าเองก็ได้ฟังคำชี้แนะจากไทเฮาจึงได้เข้าใจในสัจธรรมต่าง ๆ ”

“เป็นเช่นนี้เอง ข้าน้อยขอขอบพระคุณไทเฮาเพคะ”

ให้ตายสิ เจ้านี่ช่างเล่ห์เหลี่ยมมากมายนัก !

หนิงหยู่ชุนเองก็คิดเช่นนี้