บทที่ 9 การเริ่มต้นที่ยากลำบาก Ink Stone_Fantasy
ลูเซียนมองเหตุการณ์แปลกประหลาดหน้าร้านเหล้าด้วยความขบขัน ก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูด้วยความสงสัย ช่วงเช้ามักเป็นช่วงที่ร้านเหล้าไม่มีคนที่สุดแท้ๆ
ตรงปากประตู มีหญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวกำลังลอบมองเข้าไปในร้าน ผมสีบลอนด์ของนางแกว่งไหวไปมาเมื่อนางหันศีรษะมองซ้ายมองขวา และเมื่อนางหันกลับมาพร้อมกับถอนหายใจ นางก็สะดุ้งโหยง “ลูเซียน?”
อีกคนหนึ่งที่รู้จักลูเซียนแต่เขาไม่รู้จักงั้นหรือ ลูเซียนชินกับสถานการณ์เช่นนี้เสียแล้ว จึงยิ้มตอบไป “มาร้านเหล้าแต่เช้าเลยหรือ”
ผิวสีแทนของหญิงสาวพลันแดงเรื่อพร้อมกับที่นางพูด “ข้าเพียงได้ยินมาว่ากวีขับลำนำคนใหม่กำลังจะมาที่ร้านมงกุฎทองแดง ข้าก็เลยสงสัย ข้าอยากมาดูก่อนจะไปช่วยงานแม่ข้าน่ะ เอ่อ ข้าไม่มีเวลาแล้วล่ะ ขอตัวก่อนนะ”
ขณะมองหญิงสาวรีบร้อนจากไป ลูเซียนก็ได้แต่ร้องโอ้ออกมาเสียงแผ่ว ดูเหมือนว่าหน้าตาหรือไม่ก็เสียงร้องของกวีขับลำนำคนใหม่จะวิเศษยอดเยี่ยม
ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับลูเซียน เขาจึงค่อยๆ เปิดประตูที่แง้มออกอยู่แล้วครึ่งออกแล้วเดินเข้าไป
ห้องแคบทึบทึม กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่ง พื้นไม้แตกร้าว และโต๊ะกับเก้าอี้ก็กระจัดกระจายระเกะระกะ นั่นคือความรู้สึกของลูเซียนที่มีต่อร้านมงกุฎทองแดง การเข้ามาในร้านจากอากาศสดชื่นแจ่มใสยามเช้า ให้ความรู้สึกเหมือนเขาหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง
ลูเซียนยืนปรับสายตาครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเห็นว่าบาร์เหล้าอยู่ตรงไหน
หลายคนที่ยังเมาค้างตื่นขึ้นเพราะเสียงฝีเท้าลูเซียนบนพื้นไม้ หลังจากสบถก่นด่าสองสามคำ พวกเขาก็กลับไปฟุบหลับกับโต๊ะ
ชายผู้หนึ่งที่มีจมูกงองุ้ม สวมเสื้อคลุมรัดรึงร่างกาย อายุอานามราวสามสิบปีที่นั่งเงียบๆ อยู่บนเก้ากี้ข้างบาร์เหล้า และจิบเครื่องดื่มสีอำพันช้าๆ ทำให้ลูเซียนรู้สึกถึงความเศร้าหมอง
เขาเพียงเหลือบมองเล็กน้อยเมื่อลูเซียนเข้ามาในร้าน แล้วกลับไปลิ้มรสเครื่องดื่มในมือต่อ
ลูเซียนมองไปรอบร้าน ไม่นานเขาก็เจอคนแคระที่หลับอยู่หลังบาร์เหล้า เขานั่งอยู่บนเก้าอี้สตูลตัวสูง เอียงศีรษะฟุบบนเคาน์เตอร์บาร์ และกรนเสียงดังลั่น น้ำลายเขาไหลยืดจนเครายาวๆ สีทองของเขาเปียกชื้น
เมื่อเห็นว่าหากไม่มีอะไรไปกระตุ้น คนแคระผู้นี้คงไม่มีทางตื่นเป็นแน่ ลูเซียนจึงกำมือเคาะบนเคาน์เตอร์บาร์
ขี้เมาทั้งหลายสบถด่างึมงำ ส่วนคนแคระเฒ่าสะบัดศีรษะแล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงงัวเงีย “ไง ลูเซียน ในที่สุดเจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่และเข้าใจถึงความสำคัญของเหล้าต่อชีวิตเสียที มา ชนๆ ชนแก้วให้กับแขกคนใหม่ของเรา!”
“ท่านลุงโคเฮ็น ตอนนี้เช้าแล้วขอรับ” ลูเซียนเรียกเจ้าของร้านอย่างระมัดระวัง
โคเฮ็นขยี้ตาแล้วมองไปรอบๆ ร้านที่มืดทึม “ข้าไม่ได้เมา ไม่ต้องมาโกหกข้าหรอก ยังมืดอยู่เห็นๆ ช่างเป็นค่ำคืนที่ดียิ่ง”
หลังจากพูดคุยไร้สาระ โคเฮ็นก็ตื่นเต็มตาในท้ายที่สุด “ลูเซียน ตอนนี้ไม่มีงานไหนเหมาะให้เจ้าทำหรอก และช่วงนี้ก็ไม่มีงานระยะยาวด้วย จะมีก็แต่งานตอนเก้าโมงเช้า ร้านกุชชี่ในตลาดต้องการคนไปขนของจากคลังไปที่ประตูเมือง ทางนั้นกำลังขาดคน จ่ายแค่สามเฟลล์ แต่เจ้าก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้มีคนจากแก๊งอารอนคุมอยู่ เจ้าจึงต้องจ่ายให้พวกอันธพาลหนึ่งเฟลล์เมื่องานเสร็จสิ้น ส่วนที่เหลือที่เจ้าได้มาก็พอแค่ซื้อขนมปังดำที่แย่ที่สุด”
“ยังมีอีกงานหนึ่ง วันนี้เป็นวันที่สมาคมนักดนตรีทำความสะอาดใหญ่ มีขยะมากมายรอเอาไปทิ้งที่แม่น้ำเบเล็มนอกเมือง เจ้าสามารถเช่าเกวียนสี่ล้อแล้วไปที่นั่นตอนบ่ายโมงตรง เจ้าจะได้รับแปดเฟลล์สำหรับขนไปกลับ ไม่รวมค่าเช่าเกวียนนะ และแน่นอนว่าเจ้าจำเป็นต้องมอบให้แก๊งอารอนสามเฟลล์”
“นอกเหนือจากงานตอนบ่ายโมงวันนี้แล้วยังมีงานอื่นที่คล้ายๆ กันนี้ แต่ว่าเจ้าไม่ใช่อัศวิน จึงไม่มีทางที่เจ้าจะกลับจากนอกเมืองได้ทันเวลา”
ลูเซียนพยักหน้า งานของสมาคมนักดนตรีคืองานที่ดีที่สุดแล้ว ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็ตั้งข้อสังเกตในใจ ‘เหรียญเจ็ดเหรียญบนตัวฉันคงเป็นเหรียญทองแดงที่เรียกว่าเฟลล์สินะ’
“ท่านลุงโคเฮ็น มีงานอะไรอีกไหมที่ได้เงินเยอะๆ น่ะขอรับ” ลูเซียนถามด้วยความสงสัย
โคเฮ็นหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ แน่นอน แต่ไม่มีงานใดเหมาะกับเจ้าหรอก เพราะมันต้องใช้พละกำลังสมชายชาตรีในการต่อสู้ ลูเซียน เจ้าก็แค่เด็กน้อยที่ไม่กล้าดื่มแม้แต่เบียร์ฤทธิ์อ่อนๆ”
แต่แล้วเขาก็ชี้นิ้วไปยังพื้นที่ว่างๆ กลางร้านและมีสีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อย “เทือกเขาไร้แสงคือแหล่งขุมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุด ทุกๆ ปีต้องมีคนสักสาม ห้า หก เจ็ด โอ้ยลืมมันเสียเถอะ ข้านับเลขไม่เป็น สรุปสั้นๆ ก็คือ มีทหารรับจ้างและนักผจญภัยเยอะมากๆ ที่เข้าไปในเทือกเขาไร้แสง แต่สุดท้ายกลับมีผู้รอดออกมาเพียงไม่กี่คน…” โคเฮ็นจิบเครื่องดื่มแล้วสะอึก “แน่นอนว่าพวกเขากลายเป็นคนร่ำรวยไปเลย”
“อย่าได้ดูถูกทหารรับจ้างกับนักผจญภัยเหล่านี้เล่า ในหมู่พวกเขามีอัศวินอยู่หลายคนทีเดียว บางคนยังเป็นอัศวินระดับสูงอีกด้วย” เสียงทุ้มนุ่มแสนดึงดูดใจดังขึ้นจากข้างหลังลูเซียน และเวลาจบแต่ละประโยคเสียงนั้นจะตวัดขึ้นอย่างชำนิชำนาญ บังเกิดเป็นจังหวะจะโคนแสนไพเราะแปลกหู ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงเสน่ห์ยวนใจและความสง่างาม
ลูเซียนหันขวับไปก็เห็นส่วนที่เปิดเป็นที่พักด้านข้าง ชายผมสีเงินสวมกางเกงแนบเนื้อ เสื้อแจ็กเก็ตสีแดง และคลุมด้วยเสื้อโค้ตคอปกสูงสีดำ ชุดทางการนั้นดูสบายๆ แต่ก็งดงามประณีตบนตัวเขา องคาพยพบนใบหน้าเขาดูดีไม่น้อย ทั้งดวงตาสีเงิน จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากบางเฉียบ ดูเข้ากันได้ดีกับเส้นผมสีเงินยวงดูนุ่มสลวย ชายผู้นี้หล่อเหลามีเสน่ห์อย่างแปลกประหลาด พอมองเขาแล้วคล้ายกับได้ยลโฉมดวงจันทร์สีเงินยามค่ำคืน
ชายหนุ่มเดินตรงมาหาด้วยฝีเท้าเชื่องช้า ในมือถือฮาร์ปที่คล้ายกับของโจเอล
‘เขาคือกวีขับลำนำคนใหม่งั้นหรือ’ ลูเซียนเดา ก่อนจะถามด้วยความสับสนมึนงง “เหล่าอัศวินคือผู้ที่มาจากชนชั้นสูงอย่างแท้จริงมิใช่หรือ เหตุใดพวกเขาจึงต้องไปแสดงหาความมั่งคั่งจากเทือกเขาไร้แสงด้วยล่ะขอรับ”
โคเฮ็นทักทาย “สวัสดี ไรห์น ดื่มสักหน่อยไหม”
“ข้าดื่มแค่ตอนกลางคืน” ไรห์นนั่งลงข้างเคาน์เตอร์ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม “หลายๆ ประเทศทางตะวันออก ไม่มีสงครามเกิดขึ้นมานานกว่าสองหรือสามร้อยปีแล้ว การฝึกอัศวินจึงไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน อย่างไรเสีย การแต่งตั้งอัศวินสักคนอย่างเป็นทางการจำต้องมอบคฤหาสน์และที่ดินให้ด้วย ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าประชาชนทั่วไปจะกระตุ้นพรในสายเลือดได้ พวกเขาก็จะได้รับเพียงตำแหน่งอัศวิน แต่ไม่มีทางที่พวกเขาจะกลายเป็นชนชั้นสูงอย่างแท้จริงได้ อัศวินบางคนจึงเดินทางไปยังประเทศอื่นเพื่อเป็นอัศวินให้กับประเทศนั้นๆ บางคนก็เดินทางมายังเขตการปกครองของดยุกแห่งออร์วาริต อันเป็นที่ที่อยู่ติดกับเทือกเขาไร้แสงซึ่งเต็มไปด้วยคนนอกรีต ปีศาจร้าย และสัตว์เวทเพื่อสร้างคุณงามความดีและแสวงหาความมั่งคั่ง”
“อีกอย่าง มีอัศวินหลายคนที่สิ้นเนื้อประดาตัว หนีโทษทัณฑ์ และเชื่อฟังคำสั่งของตระกูลที่รับใช้ แล้วยังมีอัศวินจากชนชั้นสูงที่ท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดิน และอัศวินดำที่พรในสายเลือดถูกกระตุ้นแต่ไม่ได้รับการยอมรับจากศาสนจักร ทั้งยังถูกไล่ล่าเพราะธาตุแท้อันดำมืด”
โคเฮ็นพึมพำกับตัวเองสองสามคำด้วยความหงุดหงิดที่ไรห์นไม่ยอมดื่มกับเขา “ลูเซียน นี่คือกวีขับลำนำคนใหม่ ไรห์น คาเร็นเดีย เขาเดินทางไปทั่วจึงรู้เรื่องราวมากมาย และเขาเพิ่งจะสลัดรักท่านหญิงชนชั้นสูงแห่งเทรียในอาณาจักรไซราคิวส์”
“อาณาจักรไซราคิวส์?” ลูเซียนแย้มยิ้มแล้วพยักหน้าให้ไรห์น เทือกเขาไร้แสงนั้นอันตรายจนแม้แต่เหล่าอัศวินยังเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น ดังนั้นลูเซียนจึงละทิ้งความคิดที่จะลองเสี่ยงไปเสาะแสวงหาความมั่งคั่งชั่วคราว ไม่ว่าจะเวลาใด การรับรู้และเข้าใจในศักยภาพของตนเองอย่างดีก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
โคเฮ็นระเบิดเสียงหัวเราะ เครายาวสีทองของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง แล้วคนแคระเจ้าของใบหน้าเหี่ยวย่นก็พูดด้วยน้ำเสียงแฝงนัยแบบที่ผู้ชายทุกคนย่อมรู้ดี “ใช่ ไซราคิวส์ อาณาจักรแห่งเสน่ห์ลุ่มหลงร้อนแรงที่ถือความรักเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดแห่งนั้นแหละ”
ขี้เมาคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากข้างหลังไรห์น เขาตื่นแล้ว จึงเดินโซเซมายังบาร์ เขาเรอออกมาเสียงดัง ก่อนจะถามด้วยความกระตือรือร้นและชื่นชม “ไรห์น มาดามและท่านหญิงแห่งเทรียทั้งหลายงดงามและ เอ่อ ร้อนแรงจริงๆ อย่างที่เขาว่ากันหรือไม่”
ไรห์นยกมุมปากแย้มยิ้ม ก่อนจะตอบด้วยโทนเสียงสูงต่ำเป็นจังหวะจะโคนงดงามเฉพาะตัว “อืม เป็นเช่นนั้น พวกนางมีดวงตาที่เปล่งประกายดุจดาวประกายพรึก ริมฝีปากบอบบางดุจกลีบกุหลาบ และผิวขาวนวลดั่งน้ำนม ข้ายังจำกลิ่นกายหอมจรุงใจจากน้ำหอมที่ประโคมใส่และลมหายใจอุ่นร้อนได้ขณะที่เคาน์เตสและไวเคาน์เตสทั้งหลายกระซิบข้างหูข้าเพื่อเชื้อเชิญข้าไปเยี่ยมเยือนคฤหาสน์ลับของพวกนาง”
ขี้เมาคนเดิมถามแทรกด้วยความคาดหวัง “เจ้าไปใช่ไหม เป็นอย่างไรบ้าง” ลมหายใจของเขาเริ่มหอบถี่ขึ้น
ลูเซียนไม่แปลกใจกับสถานการณ์เบื้องหน้าเลย เมื่อไหร่ที่พวกผู้ชายรวมตัวกัน หัวข้อสนทนาย่อมไม่พ้นเรื่องผู้หญิง ขณะที่เขาฟังเรื่องเล่าด้วยความสนใจ เขาก็คิดว่าจะถามโคเฮ็นเรื่องเรียนอ่านเขียนภาษาของที่นี่อย่างไรดี
สีหน้าของไรห์นไม่เปลี่ยนไปสักนิด เขายังคงแย้มยิ้มและตอบกลับว่า “ข้าบอกพวกนางว่าข้าไม่ชอบของสกปรกที่ผ่านมือผู้อื่นมาแล้ว ข้าชื่นชอบสิ่งมีชีวิตที่งดงามบริสุทธิ์สะอาดสะอ้าน จะเป็นชายหรือหญิงก็ดี นั่นคือสิ่งที่มีรสโอชาที่สุดในโลก”
“ฮึ ไรห์น เจ้านี่ช่างอวดโอ่เสียจริง เคาน์เตสกับไวเคาน์เตสจะยอมให้เจ้ากล่าววาจาดูถูกเช่นนั้นรึ”
“โอ้ หากเจ้าพูดเช่นนั้นกับท่านหญิงชนชั้นสูงจริงๆ ข้าเกรงว่าเจ้าคงจะถูกโยนเข้าตารางอันมีชื่อเสียงของเทรียแล้วเป็นแน่ อื๊ก”
“ท่านหญิงพวกนั้น หลายคนแข็งแกร่งพอๆ กับเหล่าอัศวิน ไรห์น หากเจ้ากล้าตอบเช่นนั้นจริง เจ้าคงโดนฉีกทึ้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว”
ไรห์นไม่สนใจคำพูดของโคเฮ็นและขี้เมาคนนั้น เขาเพียงยักไหล่ “เพราะเหตุนั้น ข้าถึงได้หนีจากอาณาจักรไซราคิวส์และมายังเมืองอัลโต้อย่างไรเล่า”
โคเฮ็นหัวเราะลั่นพร้อมกับทุบกำปั้นลงบนเคาน์เตอร์เสียงดังไม่หยุดจนปลุกขี้เมาที่เหลือทุกคน ท่ามกลางเสียงก่นด่า เขาก็ตะโกนขึ้น “ขอบใจไรห์นสำหรับเรื่องราวดีๆ พวกเรามาต้อนรับวันใหม่อย่างมีความสุขกันเถอะ เอ้า ชน!”
ขี้เมาสามสี่คนเป็นพวกไวต่อคำว่า ‘ชน!’ จึงรีบเดินโซซัดโซเซมารับเบียร์จากโคเฮ็น แล้วชูขึ้น
“แด่ไรห์นผู้อวดโอ่ ชน!”
หลังจากความวุ่นวายทั้งหมดนั้นสงบลง โคเฮ็นคงเห็นว่าลูเซียนยังอยู่ที่เดิมจึงถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าต้องการอะไรอีกรึ”
ลูเซียนเรียบเรียงคำพูด ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวัง “ท่านลุงโคเฮ็น หลายวันมานี้ ข้ามีความคิดใหม่ขอรับ ข้าอยากเรียนหนังสือให้อ่านออกเขียนได้”
“โอ้ เรียนหนังสือเช่นนั้นรึ ลูเซียนน้อยของเราติดเชื้อจากไรห์นจนเริ่มจะอวดโอ่แล้วรึนี่”
“เรียนหนังสือ อู้ว ช่างเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ยิ่งนัก!”
“ลูเซียน ไม่ต้องไปสนใจพวกนั้นหรอก หากชายชาตรีไร้ความฝัน อึ๊ก ก็ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป!”
โคเฮ็นหัวเราะไปกับคนอื่นๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองลูเซียน “เจ้าอยากเรียนหนังสือจริงๆ รึ ลูเซียน เจ้าไม่มีพื้นฐานเลยสักนิด และว่ากันว่าต้องใช้เวลาถึงสองปีกว่าจะอ่านตัวหนังสือออก เจ้ามีเงินและเวลามากพอขนาดนั้นเลยหรือ”
“ไม่ว่าทางข้างหน้าจะปกคลุมไปด้วยหนามแหลมมากมายเพียงใด หากครั้งนี้ไม่ก้าวเดินไป ก็จะไม่มีทางเดินหน้าต่อไปได้ ท่านลุงโคเฮ็น ข้าคิดมาดีแล้วขอรับ” ลูเซียนตอบด้วยท่าทางจริงจัง และในฐานะคนที่ผ่านการเรียนมาหลายปี เขาจึงเข้าใจระเบียบแบบแผนการเรียนรู้เป็นอย่างดี สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวเขาสามารถพูดภาษาของโลกนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว การอ่านออกเขียนได้ก็อาจต้องการเวลาเพียงหนึ่งหรือสองเดือน
เมื่อโคเฮ็นเห็นว่าลูเซียนจริงจังอย่างยิ่ง เขาจึงตอบกลับด้วยท่าทางเคร่งขรึม “หากเจ้ายังเด็ก เจ้าก็คงผ่านการคัดเลือกได้เข้าไปเรียนการอ่านและศาสตร์แขนงอื่นๆ ในโบสถ์แล้ว ตอนนี้ เจ้าต้องเลือกระหว่างทำสัญญาสิบปีเป็นลูกมือฝึกหัดของใครสักคน หรือยอมจ่ายเงินเพื่อไปเรียนที่บ้านของอาจารย์สักคนด้วยตัวเอง และแน่นอน ใช่ว่าเจ้าจะได้เรียนหนังสือหากได้เป็นลูกมือฝึกหัดของใครก็ตาม อย่างเช่น ช่างตีเหล็กหลายคนในสมาคมช่างตีเหล็กจะไม่สอนแน่นอน และถ้าหากเจ้าจะใช้เงินของตัวเอง ค่าเล่าเรียนทั่วทั้งเมืองอัลโต้มีราคามาตรฐานอยู่ที่ห้านาร์ต่อเดือน แต่คงมีอาจารย์นับสิบคนที่ยินดีจะสอน”
จิตใต้สำนึกของลูเซียนตัดตัวเลือกการเป็นลูกมือฝึกหัดทิ้งไปทันที สัญญาสิบปีไม่ใช่ปัญหาหรอก เพราะทันทีที่เขาตัดสินใจเรียนการใช้เวทมนตร์ เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำตามสัญญาอีก แต่ในฐานะลูกมือฝึกหัด เขาจะต้องเรียนและอาศัยอยู่กับอาจารย์ทุกวันๆ ความลับของเขาอาจถูกเปิดเผยได้ง่ายๆ และทำให้เรียนการใช้เวทมนตร์ได้ไม่สะดวกอีกด้วย ดังนั้นลูเซียนจึงถามกลับไปเสียงแผ่ว ราวกับกำลังถามตัวเองมากกว่า “ห้านาร์เลยหรือ”
โคเฮ็นพยักหน้า “อืม ห้านาร์ คงต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีเพื่อเก็บเงินให้ได้เท่านั้น หากว่าเจ้าทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำและกินแค่ขนมปังดำที่แย่ที่สุดน่ะนะ ภายในหนึ่งเดือน เจ้าคิดว่าเจ้าจะเรียนรู้ได้มากแค่ไหนกัน เจ้ายังอยากจะไปเรียนอยู่หรือไม่”
“ขอรับ” ลูเซียนตอบอย่างหนักแน่น และตามที่เขาคำนวณแล้ว หนึ่งร้อยเฟลล์เท่ากับหนึ่งนาร์
นี่เป็นการเริ่มต้นที่ยากลำบากจริงๆ
————————————————