บทที่ 316: ต่างฝ่ายต่างสงสัย

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 316: ต่างฝ่ายต่างสงสัย

ที่พักที่ทางเมืองซินคังใหม่ได้เตรียมไว้ให้พวกเขาคือห้องพักของโรงแรมที่สงวนไว้สำหรับกองทัพ มันตั้งอยู่ติดกับฐานทัพกลางของพวกเขา ซึ่งมันทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับกลุ่มคนจากสำนักฝึกตนแห่งแรกที่เพิ่งมาถึงมากเพียงใด เพราะโรงแรมแห่งนี้แทบจะเต็มอยู่ตลอดเวลา และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจองห้องพักจำนวนหนึ่งไว้ได้

ด้วยเหตุนี้ ทั้งฉินเย่และหลี่จีสี่จึงได้ถูกจัดให้อยู่ห้องเดี่ยว

“เยี่ยมเลย…” ฉินเย่รีบปิดไฟทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง จากนั้นก็เปิดผ้าม่านและมองไปยังพื้นที่ของเมืองซินคังใหม่ที่อยู่ห่างออกไป จุดที่แสงสว่างมาบรรจบกับความมืด “นี่พอช่วยลดปัญหาให้เราได้บ้าง…”

สามมณฑลทางตะวันออกนั้นอยู่ใกล้มาก

มันอยู่ห่างกันเพียงเส้นแบ่งเขตแดนเท่านั้น

ราชาผีอาจจะไม่รับรู้ถึงการมาถึงของเขา และเขาก็ยังมีเศษตราจ้าวนรกอยู่กับตัว แต่ถึงอย่างนั้น มันก็จะเป็นการดีกว่าที่ระมัดระวังและตัดความน่าเป็นทั้งหมด

เคล็ดวิชาพันธะห้าวิญญาณ มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรที่จะมีวิญญาณห้าตนเตรียมพร้อมไว้ในรัศมี 500 เมตรจากตัวเอง

แต่ถึงอย่างนั้น ศาสตร์แห่งนรกดั้งเดิมเช่นนี้ไม่สามารถนำมาใช้โดยที่ยังมีคนอื่นอยู่รอบ ๆ ได้ ดังนั้นฉินเย่จึงวางแผนที่จะรอเวลาจนกว่าทุกคนจะหลับกันแล้ว เขาถึงจะไปจัดการเรื่องของตัวเอง แต่ตอนนี้ การที่เขาได้รับห้องเดี่ยว ทำให้การเคลื่อนไหวทุกอย่างจึงง่ายกว่าเดิมมาก

23.00 น. ไฟภายในกองทัพถูกดับลง แสงไฟศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกแทนที่ด้วยความมืดมิดในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังมีแสงสปอร์ตไลต์บนผนังโดยรอบที่ทำให้พวกเขาสามารถมองไปรอบ ๆ เพื่อหาผู้บุกรุกได้ตลอดเวลา

ฉินเย่นอนอยู่บนเตียงของตนเงียบ ๆ เพื่อรอเวลา แสงไฟโดยรอบถูกดับลงแล้ว และเวลาที่เขาควรจะออกไปก็คืออีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ ประมาณ 02.00 น. ถึง 04.00 น. เด็กหนุ่มกำลังรอเวลา

แน่นอนว่าเขาไม่รู้เลยว่าหลี่จีสี่ที่อยู่ห่างจากเขาเพียงผนังกั้นยังคงตื่นอยู่

เขาชงกาแฟและดับไฟลง จากนั้นก็เริ่มติดตั้งอุปกรณ์สีดำที่ประตูและผนังที่แยกห้องของเขากับห้องของฉินเย่

มันคือเครื่องดักฟัง

มันจะเก็บทุกเสียงที่ดังเล็ดลอดมาจากห้องของฉินเย่และส่งตรงเข้ามาที่หูฟังไร้สายของเขา หลี่จีสี่เป็นเหมือนกับนักล่าผู้ช่ำชอง รอคอยอย่างอดทนอยู่ภายในห้องที่มืดมิดของตัวเอง

ติ๊กต็อก ติ๊กต็อก… เข็มเวลาเดินไปอย่างช้า ๆ แม้ว่าจะอยู่ห่างกันเพียงผนังกั้น แต่ทั้งสองก็แสร้งทำเป็นนอนหลับอยู่ภายในห้องของตน เปลือกตาของพวกเขาปิดสนิท แต่ร่างของพวกเขากลับพร้อมที่จะกระโดดลงจากเตียงทันทีที่สัมผัสได้ถึงการบุกรุก

ทุกอย่างดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวลา 02.00 น.

ฉินเย่ลืมตาขึ้น ลุกออกจากเตียงและสวมรองเท้าของตน

ในเวลาเดียวกันนั้น หลี่จีสี่เองก็ลืมตาขึ้นและเลียริมฝีปากอย่างตื่นเต้น

หากมีใครอยู่รอบ ๆ พวกเขาก็คงจะสังเกตเห็นทันทีว่าหลี่จีสี่นั้นไม่มีแม้แต่เสียงหายใจหรือเสียงชีพจรเต้นเลยสักนิด นี่คือเคล็ดวิชาลมหายใจเต่าที่สูญหายไปนานแล้ว มันไม่ได้น่าประทับใจอย่างที่ตำนานได้เล่าขาน แต่มันก็ทำให้เขาสามารถระงับลมหายใจและการเต้นของชีพจรของตัวเองได้ประมาณสิบนาที

ที่เขาทำเช่นนั้นก็เพราะว่าไม่ต้องการให้มีเสียงอื่นดังรบกวนเขาจากเสียงที่เขาตั้งใจฟัง

เขาได้ยินเสียงอาบน้ำ สวมรองเท้า จากนั้น… ก็เสียงเปิดประตู…

แต่เขาก็ยังคงนิ่ง ไม่ต่างอะไรกับศพที่นอนอยู่บนเตียง เขารอคอยอย่างอดทน จนกระทั่งเครื่องดักฟังบนประตูของเขาได้ยินเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาเดินผ่านหน้าประตูของเขาไป

ห้านาที… 10 นาที… 15 นาที่ผ่านไป หลี่จีสี่เด้งตัวขึ้นจากเตียง ลุกขึ้นยืนโดยไร้เสียง ราวกับมีแผ่นรองแปะอยู่ที่เท้า

“15 นาทีแล้ว แต่คุณก็ยังไม่กลับมา ในเวลาแบบนี้คุณไปไหนกัน ?” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ตรงหน้าประตูห้องก่อนจะเปิดมันออกเงียบ ๆ

แต่ทันใดนั้น เขาก็พบว่ามีการ์ดแผ่นหนึ่งร่วงลงมาทันทีที่เขาเปิดประตูออก

ดวงตาของเขาเป็นประกายเล็กน้อยและรีบเก็บมันก่อนที่มันจะตกถึงพื้น เมื่อลองสังเกตดูอย่างละเอียด เขาก็พบว่ามันคือการ์ดที่สามารถพบเจอได้ทั่วไปในโรงแรมเล็ก ๆ เช่นนี้ มันมีภาพวาดของผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งอยู่ที่ด้านหน้า ในขณะที่มีเบอร์โทรศัพท์ถูกเขียนไว้ด้านหลัง

เขาถือมันและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โยนการ์ดลงที่พื้นและเดินไปยังห้องของฉินเย่

บังเอิญจริง ๆ

ที่ห้องของเด็กหนุ่มเองก็มีการ์ดใบเล็กวางอยู่ที่มือจับของประตูเช่นกัน

และมันก็ช่างบังเอิญที่ว่ามีเพียงประตูห้องของพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้รับการ์ดพวกนี้

“นี่คุณเป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 18 จริง ๆ น่ะเหรอ ?” หลี่จีสี่มองดูการ์ดทั้งสองแผ่นและสูดหายใจเข้าช้า ๆ เขามั่นใจเลยว่านี่จะต้องไม่ใช่บริการเสริมจากทางโรงแรมแน่ ๆ ล้อกันเล่นหรือเปล่า ? ดูด้วยว่าสถานการณ์ตอนนี้มันตึงเครียดมากแค่ไหน ! มันจะยังมีผู้หญิงคนไหนกล้าทำงานในช่วงเวลาแบบนี้ด้วย ? และต่อให้มี ทำไมที่มือจับประตูของห้องอื่น ๆ ถึงไม่มีการ์ดพวกนี้อยู่ ?

เห็นได้ชัดเลยว่าฉินเย่เองก็เริ่มสงสัยในตัวเขาเช่นกัน

นี่เขาพลาดตรงไหน ? หลี่จีสี่นึกย้อนปฏิสัมพันธ์ระหว่างตนกับฉินเย่ แต่เขาก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ อีกความหมายหนึ่งก็คือมันเป็นความสงสัยที่เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว เช่นเดียวกับที่สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว

น่าเสียดาย แต่เขาต้องการสิ่งที่มากกว่าสัญชาตญาณบอก

การ์ดพวกนี้เป็นอุบายที่ใช้ได้ผลมากทีเดียว หลี่จีสี่มั่นใจว่าฉินเย่จะต้องจำได้แน่นอนว่าตนวางการ์ดพวกนี้ไว้ในลักษณะใด ในอีกด้านหนึ่ง หากนอนอยู่ภายในห้องของตัวเองมาโดยตลอด เขาก็คงไม่รู้ว่าการ์ดพวกนี้หน้าตาเป็นอย่างไร พูดอีกอย่างก็คือ ทันทีที่ฉินเย่กลับมา เด็กหนุ่มจะรู้ทันทีว่าหลี่จีสี่ได้ออกจากห้องของตัวเองก่อนหน้านี้

และหากเขาขยับการ์ดบนที่จับประตูของฉินเย่ มันก็จะเท่ากับเป็นการบอกอีกฝ่ายว่าไม่เพียงแต่เขาจะออกจากห้องของตัวเอง แต่เขายังเข้าไปในห้องของฉินเย่ในตอนที่เจ้าตัวไม่อยู่อีกด้วย

การ์ดแผ่นนี้ถูกวางไว้ที่ที่จับประตูของฉินเย่ แต่หลี่จีสี่ก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าไปในห้องแต่อย่างใด

อีกฝ่ายอาจจะวางการ์ดไว้ให้เห็นกันชัด ๆ แต่ …ด้วยความระมัดระวังขนาดนี้ เขามั่นใจเลยว่ามันจะต้องมีกลไกอีกชั้นหนึ่งอยู่ด้านในแน่ ๆ

“การป้องกันพวกนี้ของคุณบอกผมว่าคุณนั้นมีฝีมือในการปกปิดความลับของตัวเองเหนือกว่าเจ้าหน้าที่ฝีมือดีบางคนที่ผมรู้จักเสียอีก…” เขาเตะการ์ดที่อยู่หน้าประตูห้องของตัวเองออกไป ราวกับรำคาญที่ได้รับสิ่งเหล่านี้

หลังจากถอนหายใจออกมา เขาก็เดินลงไปด้านล่างและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “สวัสดี ผมเอง ใช่… ผมเชื่อว่าหัวหน้าไป๋ได้แจ้งรายละเอียดให้คุณทราบแล้ว ผมรับผิดชอบเอง แล้วผมก็ขอเรียกประชุมเดี๋ยวนี้เลย”

“ใช่แล้ว ที่ผมโทรหาคุณโดยตรงก็เพราะว่าผมรู้ว่าคุณคือหัวหน้าของหน่วยสอบสวนพิเศษในพื้นที่นี้ เพราะฉะนั้นเลิกลีลาได้แล้ว เรามีเวลามากสุดสองชั่วโมง… เป้าหมายเจ้าเล่ห์มาก เขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดา และผมก็ไม่สามารถสืบอะไรจากเขาได้เลย”

ฉินเย่อาจจะดูเหมือนวัยรุ่นขี้บ่นทั่วไป แต่มีเพียงเหล่าคนที่เคยรับมือกับเขาเท่านั้นที่จะรู้ว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากเพียงใด เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราก็กำลังพูดถึงชายที่สามารถปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตนมาได้นานกว่าร้อยปีโดยไม่มีช่องโหว่ใด ๆ เลย ต้นไม้ทักษะของการซ่อนตัวและการรักษาชีวิตตัวเองของเขาเต็มจนสุดแล้ว

หลี่จีสี่เดินลงไปด้านล่างช้า ๆ เขาเดินผ่านชั้นที่เจ็ด และยังคงเดินลงเรื่อย ๆ เพียงเพื่อที่จะ… กลับมาอยู่ที่ชั้นที่เจ็ดเหมือนเดิม

หน้าต่างของชั้นนี้ถูกปิดทั้งด้วยกระดาษดูดซับแสง และมันก็จะเป็นสีดำสนิทไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ตาม ..ซึ่งแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาตีสอง พื้นที่ด้านในก็ยังคงสว่างไสว

ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่แผนกต้อนรับ หลี่จีสี่หยิบบัตรประจำตัวเพื่อยืนยันตัวตนก่อนจะได้รับคำตอบว่า “คุณกวนกำลังรอคุณอยู่ที่ห้องด้านในสุดครับ”

มันคือห้องประชุม หลี่จีสี่พยักหน้าและเดินไปตามทางเดิน แผ่นป้ายมากมายถูกแขวนอยู่หน้าประตูที่ปิดอยู่ตามทางเดิน ห้องข้อมูล ห้องปฏิบัติการ สำนักงานวางแผน สำนักงานการเงิน และอื่น ๆ ประตูห้องสุดท้ายเองก็มีแผ่นป้ายติดไว้เช่นกัน

มันคือห้องประชุม

ชายในวัย 30 กว่าที่แต่งการในชุดลายพรางนั่งอยู่กลางห้อง เขามีความสูง 1.84 เมตรและมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่อยู่บนใบหน้า แม้ว่าจะยังอายุน้อย แต่เขาก็มีตำแหน่งเป็นถึงพันโท

“เราไม่ได้เจอกันมาประมาณห้าถึงหกปีแล้วใช่ไหมครับ ?” ชายตรงหน้าโยนบุหรี่มาให้ “ตั้งแต่ที่คุณเข้าหน่วยอัลบาทรอสผมก็ไม่ได้เจอคุณเลย ใบหน้านี้… หน้ากากหรือเปล่า ? หรือว่าคุณไปทำศัลยกรรมมา ?”

หลี่จีสี่รับมันมาอย่างว่องไวและนั่งลง ในขณะที่ประตูห้องประชุมปิดลงด้วยตัวของมันเอง เขาคาบบุหรี่ไว้ในปาก “หน้ากากน่ะ… มีอยู่ไม่กี่คนนักที่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของผม จริง ๆ ผมถูกระบุว่าเสียชีวิตในหน้าที่ไปแล้ว แม้แต่พ่อกับแม่ของผมเองก็ได้รับแจ้งว่าผมตายไปแล้วเหมือนกัน”

“ผมรู้” ชายตรงหน้าโบกมืออย่างทนไม่ไหว “คุณรู้หรือเปล่าว่าแม่ของคุณร้องไห้หนักแค่ไหนตอนที่ได้ยินการตายของคุณ ? หากไม่ใช่เพราะคุณบอกผมเอาไว้ล่วงหน้า ผมเองก็คงเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ร้องไห้และโวยวายใส่ขี้เถ้าของคุณเช่นกัน… จะว่าไป ผมไม่คิดว่าคุณควรจะบอกใครเรื่องนี้หรอกใช่ไหม ? คุณถูกลงโทษหรือเปล่า ?”

“กักขังเดี่ยวหนึ่งสัปดาห์และสร้างความเสื่อมเสียให้กับชื่อตัวเอง” หลี่จีสี่ยกขาขึ้นมาวางบนโต๊ะประชุมอย่างเอื่อยเฉื่อย “มนุษย์… ล้วนความเห็นแก่ตัว ไม่เช่นนั้น พวกเราจะไปแตกต่างอะไรกับพวกวิญญาณที่อยู่ด้านนอกนั่น ?”

อีกฝ่ายเงียบไปและเพียงโยนไฟแช็กมาให้

ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น ทั้งสองสูบบุหรี่ของตนจนหมดมวนก่อนที่ชายร่างสูงจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “มาเข้าเรื่องกันเถอะ ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อพาทีมของตัวเองมาที่นี่หมายความว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ตัวผมเองเป็นเพียงขั้นยมเทพผู้อ่อนแอเท่านั้น ไม่แน่ใจนักว่าจะสามารถช่วยคุณได้มากแค่ไหน”

“คุณช่วยได้แน่” หลี่จีสี่ไม่พูดอ้อมค้อม สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้น “เมืองซินคังใหม่… มีเขตไล่ล่าที่ถูกจัดว่าอยู่ระดับเหนือกว่าเขตไล่ล่าทั่วไปบ้างไหม ?”

“ไม่มี” อีกฝ่ายตอบ “มณฑลคังเว่ยมีอัตราการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติต่ำที่สุดในจีน เราจะมีเขตไล่ล่าที่อยู่ระดับสูงกว่าปกติได้อย่างไร ?”

หลี่จีสี่พยักหน้าอย่างครุ่นคิด “เขตที่อยู่ระดับสูงกว่าเขตไล่ล่าทั่วไป… จะเต็มไปด้วยวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำที่สามารถเดินไปเดินมาภายใต้แสงอาทิตย์ได้ มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น… ถ้าอย่างนั้น…”

“ผมจำได้ว่ามีเขตกลายพันธุ์อยู่ใช่ไหม ที่ระดับความอันตรายถูกจัดให้เกือบอยู่ในระดับของเขตนักล่า มันคือเขต C-56 ใช่หรือเปล่า ?”

ชายตรงหน้าสบตากับหลี่จีสี่นิ่ง “คุณกำลังคิดจะทำอะไร ?”

“ปลดปล่อยมันซะ” หลี่จีสี่สบตาตอบ “ผมอยากให้คุณปลดปล่อยมันในคืนพรุ่งนี้ ส่งมันไปทางเขตไล่ล่า D-72 นอกจากนี้ ผมยังต้องการให้คุณมุ่งเป้าไปที่นักเรียนคนนี้ในตอนที่อาจารย์ฉินและผมไม่อยู่แถวนั้นด้วย”

เขาดันรูปของหวังเฉิงห่าวให้อีกฝ่ายดูในเวลาเดียวกัน

“นี่คุณบ้าไปแล้วเหรอ ?!” ชายตรงหน้าอ้าปากด้วยความตกตะลึง “ถึงแม้ว่าเขตไล่ล่านี้จะไม่ได้เป็นเขตนักล่า แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ขั้นนักล่าวิญญาณทั่วไปจะสามารถรับมือได้ ! นี่คุณได้อ่านเอกสารเกี่ยวกับวิญญาณในพื้นที่นี้บ้างหรือเปล่า ? เขาหลงทางอยู่ภายในทุ่งหญ้า ก่อนจะถูกฝูงหมาป่ากัดกินทั้งเป็น รถหลายคันขับผ่านเขาแต่ก็ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ คุณคิดบ้างหรือเปล่าว่าวิญญาณตนนี้จะมีความแค้นมากแค่ไหน ? นักเรียนพวกนี้อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณแล้วอย่างนั้นเหรอ ? หากยัง พวกเขาไม่มีทางทนได้นานกว่าสิบนาทีแน่ !”

“เขายังไม่บรรลุเป็นขั้นยมเทพด้วยซ้ำ” หลี่จีสี่ตอบเสียงเรียบ

ชายตรงหน้าดับบุหรี่ของตนและจ้องคนตรงหน้าเขม็ง “ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องตายแน่”

“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ยอมให้เขาตายหรอก… หากเป็นไปได้” เสียงที่เอ่ยออกมาของหลี่จีสี่นั้นเย็นยะเยือก “หากต้องการจะได้ผลลัพธ์ มันก็ต้องมีการเสียสละกันบ้าง ผมสามารถบอกได้แค่ว่าพวกเขาอาจจะกำลังปกปิดบางสิ่งบางอย่างที่พวกระดับสูงของหน่วยสอบสวนพิเศษกำลังตามหา และเราก็จะไม่มีทางรู้เรื่องนั้นจนกว่าจะได้ทำการทดสอบ”

“และเพื่อการคาดเดาของคุณ คุณถึงขนาดที่ยอมให้เด็กนักเรียนคนหนึ่งต้องตายเลยอย่างนั้นหรือ ?” อีกฝ่ายจ้องมองหลี่จี่สี่ด้วยสายตาเหลือเชื่อ ราวกับเขาไม่รู้จักคน ๆ นี้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม หลี่จีสี่ไม่ได้หลบตาเลยสักนิด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงถอนหายใจออกมาในที่สุด “กวนเกิน ผมไม่ต้องการที่จะมาพูดคุยเรื่องคุณธรรมจริยธรรมกับคุณ ประสบการณ์ของเราทั้งคู่ต่างกัน และวิศัยทัศน์ของเราเองก็เช่นกัน มันไร้ประโยชน์ที่จะพูดถึงเรื่องพวกนี้ ผิดหรือถูก ปล่อยให้เป็นคนรุ่นหลังตัดสิน ผมไม่มีอะไรต้องเสียใจ”

“และผมก็ไม่ได้กำลังต่อรองกับคุณ แต่ผมสั่ง”

หลี่จีสี่หยิบเอกสารออกมาและเปิดมัน “นี่คือเอกสารมอบอำนาจที่ได้รับการลงนามโดยรองผู้บัญชาการของหน่วยสอบสวนพิเศษโจวเซียนหลง คุณจะลองดูก็ได้หากต้องการ เขารับปากแล้วว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนหวัง ครอบครัวของเด็กคนนี้จะได้รับการชดเชย”

กวนเกินจ้องมองเอกสารตรงหน้าด้วยสายตาเหลือเชื่อก่อนจะเงยหน้ามาสอบตากับหลี่จีสี่อีกครั้ง ในที่สุด เขาก็หลับตาลงและถอนหายใจออกมาด้วยไม่พอใจ

“เข้าใจแล้ว” เสียงที่เอ่ยออกมาของเขาแหบพร่า “คืนพรุ่งนี้ เวลา 23.00 น. ผมจะเปิดเส้นทางสู่เขตไล่ล่ากลายพันธุ์ C-56 ให้…”

“ขอบคุณ” หลี่จีสี่เก็บเอกสารและลุกขึ้นยืนก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย “อ้อ อีกเรื่อง หากสุดท้ายแล้วผมตายในหน้าที่ คุณก็ช่วยรายงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ให้ด้วย แล้วก็อย่าบอกแม่ของผมเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นล่ะ”

กวนเกินตัวสั่นเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าหลังจากนิ่งไปนาน

เมื่อหลี่จีสี่จากไป ชายร่างสูงก็หันไปมองทางหน้าต่างที่มืดสนิทที่อยู่รอบ ๆ ตนและพึมพำออกมาอย่างขมขื่น “บัดซบ… เมื่อไหร่เรื่องบ้า ๆ นี่จะจบลงสักที ?”