บทที่ 109 ไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 109 ไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารา
บทที่ 109 ไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารา

บุปผาผลิบานและร่วงหล่น ฤดูวสันต์ผันผ่านเข้าสู่สารทฤดู

สำหรับผู้บ่มเพาะ เวลาก็เหมือนน้ำที่ไม่มีวันย้อนหลับ …เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว

เนื่องจากกฎของเวลาที่แตกต่างกัน ภายในพื้นที่ระดับที่หนึ่งของบททดสอบสรวงสวรรค์ได้ผ่านไปแล้วถึงหนึ่งปีครึ่ง

ในช่วงเวลานี้ เฉินซีดำเนินกิจวัตรไปตามปกติ คือการบ่มเพาะปราณ การจินตภาพ การขัดเกลากายา การฝึกฝนกระบี่… เมื่อความคิดเริ่มฟุ้งซ่าน เขาจะใช้นิ้วเป็นพู่กันและใช้ผืนดินแทนแผ่นยันต์ จากนั้นวาดยันต์และเขียนคำลงไป สิ่งนี้ทำให้เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

เขาได้แผ่นหยกเคล็ดวิชาสร้างแผ่นยันต์อักขระสิบสามแผ่น มาจากที่พำนักของเซียนกระบี่ในดินแดนรกร้างใต้พิภพ และในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เขาได้ใช้ความทุ่มเทเพื่อศึกษา ทำให้เขามีความก้าวหน้าไปอย่างมาก

อักขระยันต์ที่เขาวาดลงบนพื้นอย่างลวก ๆ ได้เลื่อนขั้นเป็นระดับเก้าแล้ว และอีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะสามารถสร้างค่ายกลยันต์อักขระและกลายเป็นปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระ

ยันต์อักขระแบ่งออกเป็นเก้าระดับ และยันต์ระดับแรกถูกเรียกว่ายันต์พื้นฐาน

นักสร้างยันต์ทุกคนจำเป็นต้องเชี่ยวชาญการสร้างยันต์พื้นฐาน เพื่อที่จะสามารถสร้างยันต์ขั้นสูงได้

ยันต์อักขระยังแบ่งออกเป็นหยินและหยาง โดยยึดตามลักษณะของพวกมัน หากแยกรายละเอียดออกก็สามารถแบ่งได้อีกห้าธาตุ นั้นคือ โลหะ ไม้ น้ำ ไฟ และดิน

การสร้างยันต์ใด ๆ ก็ตามไม่อาจหลีกหนีจากหยินหยางหรือธาตุทั้งห้าได้ กระทั่งยันต์พื้นฐานก็ไม่มีข้อยกเว้น

การเรียนรู้โครงสร้างของอักขระยันต์เริ่มต้นจากยันต์พื้นฐาน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ยันต์พื้นฐานทุกประเภทเป็นตัวแทนของโครงสร้างอักขระยันต์ ในขณะที่ยันต์พื้นฐานมีความแตกต่างกันตามธาตุทั้งห้า และโครงสร้างของแต่ละธาตุก็ต่างกัน อาจกล่าวได้ว่ามีโครงสร้างมากมายนับไม่ถ้วน

สิ่งนี้ยังแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ยันต์ที่สมบูรณ์แบบนั้นมีจำนวนนับล้าน และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความรู้เกี่ยวกับการสร้างยันต์พื้นฐานทั้งหมด

แต่ตราบใดที่สามารถวาดโครงสร้างอักขระยันต์ลงบนกระดาษยันต์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นยันต์ระดับหนึ่ง การวาดอักขระยันต์ทั้งสองรูปแบบและปล่อยให้พวกมันส่งเสริมกันจะเรียกว่ายันต์ระดับสอง หากสามารถวาดโครงสร้างอักขระยันต์ทั้งเก้าบนกระดาษยันต์แผ่นเดียวและปล่อยให้พวกมันเป็นหนึ่งเดียวกัน จะเรียกได้ว่าเป็นยันต์ระดับเก้า!

หลังจากเก้าก็หวนคืนสู่หนึ่ง

หากสามารถนำยันต์ระดับเก้าที่สมบูรณ์ทั้งสองแผ่นมาซ้อนทับกันและสร้างการเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน…

คนผู้นั้นจะถูกเรียกว่าปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระ และแผ่นยันต์ที่สร้างขึ้นโดยคนผู้นั้นจะมีค่ายกลขั้นต้นอยู่ภายใน

ยิ่งกว่านั้น เมื่อบรรลุถึงระดับของปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระแล้ว ก็สามารถจารึกโครงสร้างอักขระยันต์ต่าง ๆ ไว้บนวัตถุที่ใช้สำหรับค่ายกล เช่น ธงค่ายกล จานค่ายกล ศิลาค่ายกล ฯลฯ

มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถใช้พลังของค่ายกลได้อย่างเต็มที่

สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยันต์อักขระหรือค่ายกล โครงสร้างของอักขระยันต์เป็นพื้นฐานและแก่นแท้ของการสร้างยันต์อักขระ

เต๋าแห่งยันต์อักขระเป็นการควบคุมโครงสร้างของอักขระยันต์ เพื่อพัฒนาความลึกซึ้งของสวรรค์และโลก มันเป็นส่วนหนึ่งของมหาเต๋า

นับจากสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน มีผู้ยิ่งใหญ่มากมายที่ใช้เต๋าแห่งยันต์เพื่อบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์!

ความเข้าใจของเฉินซีเกี่ยวกับเต๋าแห่งสวรรค์ได้บรรลุขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้งแล้ว และเชี่ยวชาญเต๋าแห่งสายลมได้อย่างถ่องแท้ ควบคู่ไปกับดวงวิญญาณของเขาได้ทำจินตภาพถึงรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีอยู่ทุกวัน

ความเข้าใจของเขาที่มีต่อเต๋าแห่งยันต์อักขระ ได้ก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดดโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากสักเท่าไร และคงใช้เวลาอีกไม่นานที่จะกลายเป็นปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระ

สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากที่สุดก็คือความเข้าใจในเต๋าแห่งยันต์อักขระ ทำให้เข้าใจความลึกซึ้งและสามารถเชี่ยวชาญในแก่นแท้ของวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพได้อย่างง่ายดายในขณะที่บ่มเพาะอยู่

เช่นเดียวกับเมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อการขัดเกลากายาบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่สองกับอักขระจ้าววิญญาณขั้นพฤกษาที่สองอันคลุมเครือและหนาแน่นแต่ก่อน กลับสามารถควบแน่นได้อย่างง่ายดายในตอนนี้

ความรู้สึกที่ปราศจากอุปสรรคยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำจนทุกวันนี้

อักขระจ้าววิญญาณนั้นช่างลี้ลับและลึกซึ้ง ราวกับว่าพวกมันเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่นี่คงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสวรรค์และโลกหรือ?

ด้วยความรู้เช่นนี้เป็นรากฐาน ไม่ว่าจะเป็นการขัดเกลากายาหรือการบ่มเพาะฝ่ามือมหาดาราอย่างไร เฉินซีก็ได้ใช้ความรู้เกี่ยวกับเต๋าแห่งยันต์อักขระเพื่อไตร่ตรองและทำความเข้าใจโดยไม่รู้ตัว มันทำให้เขาเข้าใจความลึกซึ้งของมันมากขึ้น

คำถามมากมายที่ติดค้างอยู่ในใจก็ได้รู้แจ้งในทันที และเส้นทางแห่งการบ่มเพาะก็ถูกยกระดับขึ้น

ผลประโยชน์จากความก้าวหน้าในเต๋าแห่งยันต์อักขระไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นี้

ในขณะที่ขัดเกลาค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแส และบ่มเพาะเคล็ดวาตะลอยละล่อง มันได้ให้ผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึง ทั้งยังทำให้ความรู้ความเข้าใจในเต๋าแห่งกระบี่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

อานุภาพของค่ายกลกระบี่และเคล็ดวิชากระบี่ ยามที่เขาใช้ออกไปก็ทรงพลังมากขึ้นเช่นกัน

ตามคำกล่าวที่ว่า …จงเรียนรู้สิ่งหนึ่งและเจ้าจะสามารถสรุปส่วนที่เหลือได้

บุคคลผู้ยิ่งใหญ่บางคนในสมัยโบราณได้เข้าใจเต๋าแห่งการรู้แจ้งนับพันนับหมื่น และในท้ายที่สุดก็นำเต๋าแห่งการรู้แจ้งทั้งหมดมารวมกันเพื่อทำความเข้าใจอย่างละเอียด ก่อนที่จะหลอมรวมพวกมันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้พวกเขาเข้าใจความลึกซึ้งขั้นสุดท้ายของสวรรค์และโลก จากนั้นก็บรรลุไปสู่มหาเต๋า!

ในปัจจุบัน เฉินซีเชี่ยวชาญเต๋าแห่งสายลมเพียงอย่างเดียว ความเข้าใจต่อเต๋าแห่งยันต์อักขระกับเต๋าแห่งกระบี่ยังคงน้อยนิดเท่านั้น เส้นทางของชายหนุ่มผู้นี้ยังคงอีกยาวไกล…

แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยอายุกับความแข็งแกร่งในยามนี้ แม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มอัจฉริยะ ตัวตนของเขากลับทรงพลังยิ่งกว่า ชายหนุ่มไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์สายตรงของนิกายโบราณเลยแม้แต่น้อย และถือว่าเหนือกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ!

ในวันนี้ เฉินซีตื่นจากการทำสมาธิและเงยหน้ามองดูกำแพงหินที่อยู่ใกล้เคียง ที่ถูกสลักด้วยลายเส้นไว้ซึ่งแสดงถึงวันเวลา

หนึ่งปีครึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดั่งคำโบราณที่กล่าวไว้ กาลเวลาเปรียบเหมือนกระสวยที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และมีเพียงคำอธิบายดังกล่าวเท่านั้นที่สามารถอธิบายร่องรอยของแก่นแท้ของมหาเต๋าแห่งกาลเวลาได้

เช่นเดียวกับปรมาจารย์เคหาบ่มเพาะ เขาได้เชี่ยวชาญมหาเต๋าแห่งกาลเวลาขั้นสูงสุดอย่างแน่นอน จึงสามารถควบคุมการเวลาให้ย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ในอดีตหรือเปลี่ยนแปลงความเร็วของกระแสแห่งกาลเวลาได้

…เฉินซีถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะลุกยืนขึ้น ร่างสูงโปร่งดูสง่างามยิ่งขึ้น ชายหนุ่มแลดูผ่อนคลายและไร้ความกังวล กาลเวลาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้กับเขา ใบหน้าที่หล่อเหลานี้ยังคงเดิม

อย่างไรก็ตาม สายตาของเขาที่ดูไม่แยแสกลับทำให้ผู้คนสัมผัสถึงความรู้สึกที่ไม่อาจหยั่งถึง และไม่อาจยับยั้งใจตัวเองไม่ให้ถูกเขาดึงดูด

‘ข้าสงสัยว่าหลิงไป๋กับกระบี่ไผ่ทองคำนิลหลอมรวมเสร็จสิ้นแล้วหรือยัง… ช่างเถอะ ข้าจะออกจากที่แห่งนี้ก่อน ไม่อย่างนั้นการเดินทางไปเมืองทะเลสาบมังกรอาจจะล่าช้า’

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นร่างของเขาก็สั่นไหวไปมาก่อนที่จะหายไป

เมื่อชายหนุ่มออกจากการทดสอบที่หนึ่งของบททดสอบสรวงสวรรค์

ภายในห้วงทะเลทรายมรณะ กลุ่มคนทั้งเจ็ดภายใต้การคุ้มครองของร่มขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยแสงสีทอง กำลังท่องไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนว่ากำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่าง!

ตราบใดที่พายุอันรุนแรงและพายุทรายที่โหมกระหน่ำเข้ามาใกล้ ก็จะถูกสะท้อนกลับไปด้วยแสงสีทองที่พรั่งพรูออกมาจากร่มขนาดใหญ่ และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้กลุ่มของพวกเขาสามารถท่องไปในห้วงทะเลทรายมรณะได้อย่างอิสระ

ใครคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ท่านลุงซูเหลิ่ง พวกเราค้นหามาครึ่งปีแล้ว แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของเจ้าเด็กคนนั้นเลย เขาคงไม่ถูกพายุทรายกลืนกินไปแล้วใช่ไหม” เป็นซูติงเยวี่ยนผู้มีคิ้วคล้ายใบมีดเอ่ยถาม

ในบรรดาทั้งหกคน มีเพียงเขาเท่านั้นที่สนิทกับซูเหลิ่งมากที่สุด และกล้าถามคำบางคำที่ไม่ควรเอ่ยถึง

“ฮึ่ม!” ซูเหลิ่งแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยท่าทีไร้อารมณ์ “เป็นไปไม่ได้ แม้ว่ามันจะถูกพายุทรายฉีกเป็นชิ้น ๆ จนตาย แต่ในฐานะผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล กลิ่นอายของมันไม่มีทางจางหายไปอย่างรวดเร็วแน่นอน”

ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา พวกเขาท่องไปมาในพายุทรายที่ปั่นป่วนเพื่อค้นหาร่องรอยของเฉินซี ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงพายุทรายได้อย่างสบาย แต่ไม่มีใครกล้าวางใจเลยสักคนเดียว

เพราะอะไรน่ะหรือ …ก็เพราะสถานที่แห่งนี้กล่าวขวัญกันว่าเป็นดินแดนแห่งความตาย มันเต็มไปด้วยรอยแยกมิติ ข้อจำกัดและซากปรักหักพังที่น่าสะพรึงกลัว แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติบางคนเมื่อเข้าไปข้างในก็อาจไม่ได้กลับมาอีก มันก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า สถานที่แห่งนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด!

มีเพียงซูเหลิ่งผู้เดียวเท่านั้นที่มีการบ่มเพาะสูงสุดในกลุ่ม และอยู่ในขอบเขตแกนทองคำซึ่งเป็นขอบเขตที่ด้อยกว่าขอบเขตจุติอยู่หนึ่งขั้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่กล้าประมาท

แต่การถูกกดดันจากการระแวดระวังทั้งกลางวันและกลางคืน ย่อมเป็นการทรมานจิตใจ กอปรกับการไม่พบร่องรอยเฉินซีจวบจนทุกวันนี้ มันทำให้อารมณ์พวกเขายิ่งหม่นหมองและขุ่นเคือง

โดยเฉพาะซูเหลิ่ง อารมณ์ของเขาเลวร้ายเป็นอย่างมาก สิ่งที่เขาคิดว่าจะสำเร็จได้อย่างง่ายดาย กลับถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่คาดคิดเป็นเวลาถึงหกเดือน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องพบตัวเฉินซี แม้แต่เส้นผมเส้นเดียวของมันก็ยังหาไม่เจอ และทำให้เขาที่หยิ่งผยองและทะนงตนรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

‘เมื่อจับเจ้าเด็กคนนั้นได้ ข้าจะจับมันถลกหนังตัดเส้นเอ็นอย่างแน่นอน!’ ซูเหลิ่งพึมพำอยู่ในใจ

ในเวลานี้เองที่เสียงสดใสดังกังวานออกมาจากกระเป๋า ถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะแผ่วเบา แต่ก็ทำให้หัวใจสั่นไหวและร่องรอยความยินดีก็ปรากฏบนใบหน้า เขาเอื้อมมือไปหยิบไข่มุกที่โปร่งแสงอย่างหมดจดราวกับหยดน้ำ และมันก็ปล่อยระลอกคลื่นหลากสีสันที่ชวนฝัน

“ไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารา” ดวงตาของซูติงอี้กับพวกพวกเบิกโพลงและยังมีความละโมบฉายวาบอยู่ในแววตา

ไข่มุกนี้เป็นสิ่งที่ซูเหลิ่งได้รับจากซากปรักหักพังลึกลับ และเป็นสมบัติที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่จะสามารถตรวจพบมิติที่ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในระยะยี่สิบห้าลี้ แต่ยังสามารถทำลายกำแพงของดินแดนเร้นลับได้อีกด้วย และพลังของมันก็ลึกซึ้งยิ่งนัก

ซูเหลิ่งเคยใช้ไข่มุกนี้เพื่อช่วยตระกูลซูค้นหาเคหาเซียนภายในดินแดนเร้นลับ ซึ่งพวกเขาได้เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ ตำรา เม็ดโอสถ และสมบัติจำนวนมหาศาลภายในนั้น จากนั้นก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมากภายในเมืองทะเลสาบมังกร ในฐานะคนของตระกูลซู ซูติงอี้กับคนอื่น ๆ จะไม่รู้จักชื่อเสียงของไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดาราได้อย่างไร

อาณาจักรแห่งการบ่มเพาะนั้นดำรงอยู่มาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน

มีดินแดนเร้นลับและที่พำนักนับไม่ถ้วนถูกทอดทิ้งอยู่ในโลก สถานที่เหล่านี้ได้ดึงดูดผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วนให้แสวงหาโชคชะตาเพื่อพบกับความโชคดีของตนเอง

ปรมาจารย์ที่ไร้เทียมทานมากมายที่สามารถควบคุมสายลมและมวลเมฆ ได้บรรลุความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เนื่องจากการได้รับมรดกโบราณบางอย่างมา ทำให้พวกเขามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก!

การครอบครองไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารานั้นเทียบเท่ากับการครอบครองกุญแจเพื่อเปิดดินแดนและที่พำนักเร้นลับเหล่านี้ และผู้ที่ได้ครอบครองมัน ย่อมมีโอกาสที่จะบรรลุสู่ความเป็นเซียนมากขึ้น

แล้วจะมีผู้บ่มเพาะคนใดในโลกบ้างที่ไม่ถูกไข่มุกนี้ล่อลวง?

เป็นเพราะเขาครอบครองไข่มุกเช่นนี้ ทำให้ชื่อของซูเหลิ่งละบือไกลจนเข้าหูของทุกคนในเมืองทะเลสาบมังกร จากนั้นก็กลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งเมือง นอกจากนี้มันยังทำให้สถานะของเขาในฐานะผู้อาวุโสตระกูลซูมั่นคงยิ่งขึ้น และทำให้ได้รับทรัพยากรที่คนทั่วไปไม่มีวันจะได้รับมา

ซูเหลิ่งลืมตาขึ้นเพื่อกวาดมองออกไปด้านนอก จากนั้นมองไปที่ไข่มุกในมือก่อนจะกล่าวด้วยความมั่นใจเปี่ยมล้น “ภายในระยะยี่สิบห้าลี้ มีมิติอิสระอยู่ใกล้เคียงบริเวณนี้!”

“มันเป็นที่พำนักโบราณหรือ?”

“ข้าคิดว่าอาจเป็นที่ซ่อนของเฉินซี”

“ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร จงไปดูกันเถอะ ถ้ามันเป็นที่พำนักหรือดินแดนเร้นลับ เราจะปล้นมันอย่างไร้ความปรานี หากเป็นที่ซ่อนของเฉินซีก็เป็นการดีที่เราจะจับกุมมัน และทำให้มันคายสมบัติที่ได้รับมาจากที่พำนักเซียนกระบี่

“เมื่อท่านลุงซูเหลิ่งอยู่ที่นี่ เหตุใดพวกเราต้องกังวลว่าจะทำภารกิจไม่สำเร็จ”

ความอ่อนล้าในหัวใจของทุกคนได้ถูกปัดเป่า ขณะที่เริ่มพูดคุยกันอึกทึก และถ้อยคำส่วนใหญ่ล้วนเป็นการเยินยอซูเหลิ่ง

“ไปกันเถอะ ในเวลานั้น จงฟังและปฎิบัติตามคำสั่งของข้า เมื่อออกมาแล้ว พวกเจ้าจะได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน” ท่าทางที่เย็นชาของซูเหลิ่งผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก ผู้บ่มเพาะก็เป็นมนุษย์เช่นกัน และพวกเขาชอบที่จะถูกยกยอ

“ขอบคุณท่านลุงซูเหลิ่ง!” ซูติงอี้และคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และพวกเขาก็มีท่าทีตื่นเต้น

ซูเหลิ่งนำคนอื่น ๆ พุ่งทะยานไป ไม่นานหลังจากนั้นก็มาถึงเนินทรายเตี้ย ๆ ขณะนั้นเองที่ไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดาราเปล่งเสียงกังวานและลำแสงหลากสี นั่นทำให้มันยิ่งชวนฝันมากขึ้น

“ไปกันเถอะ!” ซูเหลิ่งตะโกนออกมาดัง ๆ จากนั้นไข่มุกก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ และทั้งตัวของมันก็ถูกปกคลุมด้วยหมอก ในขณะที่ลำแสงห้าสีแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตกทอดยาวออกไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว

ฟุ่บ!

ภายใต้แสงของหมอกที่ส่องประกาย เนินทรายที่ว่างเปล่าแต่เดิมก็ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นคลื่นโปร่งแสง มันบิดเบี้ยวและผันผวน

“อย่างที่ข้าคาดไว้ มันคือดินแดนเร้นลับ พวกเจ้าทุกคนจงตามข้ามาและอย่าได้คลาดสายตาเชียว มิฉะนั้นแม้แต่ข้าก็ไม่อาจช่วยชีวิตของพวกเจ้าได้ทั้งหมด” ซูเหลิ่งสั่งก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็จับไข่มุกและเดินนำหน้าไปยังคลื่นโปร่งแสงที่บิดเบี้ยวและผันผวน

เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าของทุกคนก็เริ่มเคร่งเครียด ขณะที่พวกเขาเดินตามหลังซูเหลิ่งไปอย่างใกล้ชิด

ภายใต้แสงหลากสีสันจากไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารา คลื่นที่โปร่งแสงและบิดเบี้ยวเป็นเหมือนฟองอากาศที่ถูกทิ่มแทง แตกออกเป็นรอยแยกที่แคบและสูงชัน และไม่นานหลังจากที่ซูเหลิ่งและคนอื่น ๆ หายตัวไป มันก็หายไปจากโลกนี้…