ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 71 คนที่สี่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ท่าทางเวลาปกติหรือ เป็นเช่นไรกัน”

คนที่กล่าวออกมาก็คือเฉินฉางเซิง สีหน้าของถังซานสือลิ่วแลดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที กลอกตาขาวพลางถามออกไป

“ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ เจ้าด่าออกไปตรงๆ ไงล่ะ”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด เอ่ยว่า “รอด่าจนเหนื่อยแล้ว เจ้าก็จะหลับเป็นตาย”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองที่นั่งอาจารย์และนักเรียนของสำนักเทียนเต้า หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะจึงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “แท้จริงแล้วบางคนสำหรับข้าแล้วก็ไม่เลวนัก”

เมื่อการทดสอบเข้าสำนักเทียนเต้า เฉินฉางเซิงเห็นภาพจากที่ไกลๆ แวบหนึ่ง จึงรู้ว่ารองเจ้าสำนักจวงดูแลเอาใจใส่เขาอย่างยิ่ง เวลานี้เมื่อเห็นว่าสายตาเขาแท้จริงแล้วหยุดอยู่ที่รองเจ้าสำนักจวง ในใจครุ่นคิดว่าจะต้องมีเรื่องราวบางอย่างซุกซ่อนในเวลานั้น คิดว่าคงจะเป็นเพราะคนผู้นี้ ถังซานสือลิ่วถึงแสดงออกไม่เหมือนกับเวลาปกติ

“เพียงแค่ การปฏิบัติตนแท้ที่จริงแล้วก่อนอื่นควรจะเริ่มจากสิ่งที่ตนปรารถนา” ถังซานสือลิ่วจ้องมองไปยังที่นั่งของสำนักเทียนเต้า คิดไตร่ตรองการใช้ชีวิตที่แอบแฝงไปด้วยอุปสรรคและความทุกข์ยาก คิดไปถึงว่าจะถูกนักเรียนร่วมสำนักเพ่งเล็ง และคิดไปถึงว่าสิ่งที่ตนพบเจอในการชุมนุมไม้เลื้อยสองคืนก่อนหน้านี้ มุมปากพลันกระตุกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มมีเลศนัย

หากเป็นเวลาปกติ เฉินฉางเซิงจะไม่เสนอความคิดเห็นใดๆ แก่เขา ต่อให้เป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวก็ตาม เพราะอุปนิสัยจึงทำให้เป็นเช่นนี้ แต่คืนนี้พบเจอกับเรื่องราวเช่นนี้ เหมือนกับถังซานสือลิ่วพบเจอกับดักของคู่ต่อสู้ที่ไร้ยางอายในสำนักเทียนเต้า หนีออกมาจากด้านหน้ามังกรยักษ์สีดำอย่างยากลำบากหาใดเปรียบ เรื่องราวมากมายก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบๆ

เขาจ้องมองถังซานสือลิ่ว ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่นัยน์ตาที่สงบนิ่งและเด็ดเดี่ยวกำลังบ่งบอกว่าสนับสนุนเขาอยู่

“ต้องให้ข้าขอขมาผู้คนทางใต้พวกนั้นหรือ”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองจวงห้วนอวี่พลางเอ่ยออกมา “เรื่องนี้น่าเบื่อเกินไป การกระทำของเจ้าก็น่าเบื่อเกินไปด้วยเช่นกัน”

ในตำหนักมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างแตกตื่นดังขึ้น

จวงห้วนอวี่อยู่ในอันดับที่สิบของประกาศชิงอวิ๋น และยังเป็นผู้นำของผู้แกร่งกล้าหนุ่มน้อยในบรรดาสำนักไม้เลื้อย มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับยอดฝีมือเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพที่เรียกลมเรียกฝนได้ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสม ทำให้ผู้คนไม่ยินดีหรือถึงขั้นหมิ่นเกียรติ แต่แท้ที่จริงเขาเป็นหน้าเป็นตาของสำนักเทียนเต้า ถังซานสือลิ่วเป็นนักเรียนของสำนักเทียนเต้าเอ่ยเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ราวกับว่าไม่มีความเคารพ

“เพราะว่าน่าเบื่อ จึงไม่สนุก ในเมื่อไม่สนุกแล้วข้าจะเล่นอยู่ที่นี่ทำไมเล่า พวกเจ้าไม่ต้องคิดจะใช้ไมตรีจิตของสหายในสำนักเทียนเต้ามาบังคับข้า นำฐานะของอาจารย์มาควบคุมข้า นำเกียรติของศิษย์พี่ศิษย์น้องให้ข้าปิดปาก เพราะว่าข้า…ตัดสินใจแล้วว่าจะลาออก”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองบรรดาอาจารย์กับสหายร่วมสำนัก ท่าทางสงบนิ่งกล่าวว่า “ข้าตัดสินใจออกจากสำนักเทียนเต้า”

ค่ำคืนนี้ แม้ว่าผู้คนในตำหนักผ่านประสบการณ์อันสะเทือนเลื่อนลั่นมามากแล้ว กระนั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้ของเขา ก็ยังคงส่งเสียงฮือฮาดังเกรียวกราวอยู่ดี!

สำนักเทียนเต้าเป็นสำนักอันดับหนึ่งของต้าลู่ ไม่รู้ว่าได้บ่มเพาะผู้แกร่งกล้ามากน้อยเพียงใด ใต้เท้าสังฆราชในปีนั้นก็มาจากที่แห่งนี้ ในระหว่างนั้นประกาศแรกอันดับแรกของการสอบใหญ่ล้วนแต่เกิดขึ้นที่นี่ ถึงแม้หลายปีมานี้ นักเรียนหนุ่มของสำนักเทียนเต้าถูกเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพทางใต้ช่วงชิงเกียรติไปมากมาย ภายในราชวงศ์ต้าโจวปรากฏผู้มีพรสวรรค์ดังเช่นสวีโหยว่หรงอีกหนึ่งคน แต่สำนักเทียนเต้าถึงอย่างไรเสียก็คือสำนักเทียนเต้า ไม่มีผู้ใดกล้าสงสัยตำแหน่งของสำนักแห่งนี้ ผู้คนล้วนแต่คิดว่าการสอบเข้าสำนักเทียนเต้าได้ถือเป็นเกียรติ มีผู้คนจำนวนมากเสาะแสวงอย่างยากลำบากเพียงเพื่อได้เหยียบประตูสำนักเทียนเต้า คิดไม่ถึงค่ำคืนนี้จะมีคนเป็นฝ่ายขอลาออกจากสำนักเทียนเต้า!

เสียงในตำหนักยังดังอื้ออึงอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของบรรดาอาจารย์สำนักเทียนเต้าน่าเกลียดอย่างยิ่ง ใบหน้าของรองเจ้าสำนักเทียนเต้าแซ่จวงเปลี่ยนเป็นขาวซีดเล็กน้อย

สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ เหมาชิวอวี่เจ้าสำนักเทียนเต้ากลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อารมณ์บนใบหน้าของผู้อาวุโสคล้ายจะปล่อยวางเล็กน้อย ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในความคาดหมาย

“ข้ารู้ว่ามีหลายคนอยากจะถามว่าเพราะเหตุใด”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองผู้คนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกพลางเอ่ยว่า “สำนักเทียนเต้ามีอาจารย์ที่ดีที่สุด มีนักเรียนที่ดีที่สุด ข้ายอมรับว่าข้าเองได้รับการดูแลมากมาย ถึงแม้ว่าข้าจะได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง หากเทียบกันแล้วย่อมไม่เพียงพอให้ข้าตัดสินใจลาออก แต่ก็เหมือนกับที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ ตอนนี้สำนักเทียนเต้า น่าเบื่อเกินไปจริงๆ ”

“น่าเบื่อ ก็ไม่สนุก ไม่สนุกแล้วเพราะเหตุใดก็จะต้องอยู่ต่อด้วยเล่า”

นี่เป็นประโยคที่เขาเอ่ยก่อนหน้านี้ มีผู้คนจำนวนมากล้วนแต่นึกขึ้นมาได้

“คิดไม่ถึงเพียงเพราะข้าเอ่ยว่าจะจัดการเทียนไห่หยาเอ๋อร์ อาจารย์และศิษย์ในสำนักเทียนเต้าจึงยับยั้งไม่ให้ข้าเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย!และเพราะข้าต้องการประลองกับจวงห้วนอวี่ ก็มีคนคุมขังข้าไว้ในหอตำราหนึ่งคืน!ไม่ต้องเอ่ยถึงประโยชน์ส่วนรวมอะไรกับข้า สำนักเทียนเต้าหลายปีมานี้จะสนใจสถานการณ์ส่วนรวมอะไรเล่า สำนักเทียนเต้าตอนนี้น่ะหรือ นึกไม่ถึงว่าแม้แต่ตระกูลเทียนไห่ก็ยังเกรงกลัว! นี่เกิดอะไรขึ้น เดิมทีนี่ไม่ใช่สำนักเทียนเต้าที่ข้าเคยอ่านในตำรา สำนักเทียนเต้าเช่นนี้น่าเบื่อเสียจริง ไม่สนุกอย่างยิ่ง!”

ถังซานสือลิ่วมองอาจารย์และนักเรียนของสำนักเทียนเต้าพลางเอ่ยออกไป ประโยคที่เอ่ยออกมาแม้จะดูเหลาะแหละยิ่ง ทว่าสีหน้าท่าทางกลับเคร่งขรึมยิ่งนัก เพราะนี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริงก่อนที่จะออกจากสำนักเทียนเต้าของเขา

ฟังคำพูดเหล่านี้ ในตำหนักแปรเปลี่ยนเป็นเอะอะวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม เพราะว่าเด็กหนุ่มที่มาจากเวิ่นสุ่ยผู้นี้กล่าวถึงตระกูลเทียนไห่

ประโยคเหล่านั้นมีเนื้อหามากมาย แต่ผู้คนเพียงได้ยินคำว่าตระกูลเทียนไห่

คาดไม่ถึงแม้แต่ตระกูลเทียนไห่ยังเกรงกลัว!

คิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้คำว่านึกไม่ถึงสามคำนี้

นึกไม่ถึงว่าเขาคิดว่าไม่ควรเกรงกลัวตระกูลเทียนไห่!

เฉินหลิวอ๋องก้มศีรษะเล็กน้อย บนโต๊ะด้านหน้าของเขาไม่รู้ว่ามีจอกสุราเพิ่มอีกสองจอกตั้งแต่เมื่อไหร่ สุราที่อยู่ด้านในส่องแสงเป็นประกายกับแสงของไข่มุกราตรี งดงามอย่างยิ่ง เขาจ้องมองราวกับกำลังใจลอย

ม่อ​อวี่จ้องมองถังซานสือลิ่วด้วยท่าทีเยือกเย็น มือขวาจับถ้วยชาเบาๆ น้ำชาในถ้วยไม่ได้สั่นกระเพื่อมแม้แต่น้อย

เทียนไห่เป็นแซ่ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลเทียนไห่ก็คือตระกูลบิดาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ หลังจากการยึดครองบัลลังก์ที่โหดเหี้ยมสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ ตระกูลเทียนไห่แทนที่ตระกูลเฉินในดินแดนต้าลู่และตระกูลไป๋ในทิศตะวันตกแปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งในตระกูลที่สูงส่งในไม่กี่ตระกูล หากพิจารณาจากอำนาจก็เป็นหนึ่งในใต้หล้าโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

ราชวงศ์ต้าโจวขณะนี้ ในเมื่อใต้เท้าสังฆราชอาศัยอยู่พระราชวังหลี เผชิญหน้ากับตระกูลเทียนไห่ล้วนแต่ต้อนรับด้วยความอบอุ่น แม้ลับหลังมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนเกลียดชังตระกูลเทียนไห่อย่างยิ่ง กลับไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยประโยคเช่นนี้ต่อหน้าฝูงชน ผู้ใดจะเหมือนถังซานสือลิ่วที่ก่นด่าออกมาตรงๆ กลางสาธารณชนเช่นนี้

สายตาของผู้คนที่จ้องมองถังซานสือลิ่วแลดูสับสนเล็กน้อย

ทั้งรู้สึกเลื่อมใส รู้สึกเวทนา แน่นอนว่าสายตาส่วนใหญ่มองเขาราวกับกำลังมองคนโง่เขลา ค่ำคืนนี้หนุ่มน้อยผู้นี้ได้ฉีกหน้าผู้คนจนติดเป็นนิสัยหรือไม่

คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ตระกูลเทียนไห่ก็ไม่ละเว้นหรือ

ถังซานสือลิ่วราวกับเดิมทีมิได้รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมา และก็มิได้คิดว่าวาจาของตนเองจะเสี่ยงอันตรายอย่างไร เขาจ้องมองจวงห้วนอวี่ เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ข้ารู้ว่าสมัยเด็กเจ้าเคยผ่านความลำบากมา แต่นั่นก็มิใช่เหตุผลว่าเจ้าสามารถตำหนิผู้อื่นได้ อย่าได้คิดว่าผู้คนบนโลกใบนี้ติดค้างเจ้า อยู่ต่อหน้าผู้คนแสดงท่าทางที่ดีงามสดใส ในจิตใจกลับบ่นโทษตนเองตลอดเวลา ชัดเจนว่าอยู่ในอันดับสิบของประกาศชิงอวิ๋นกลับยังคิดว่าโชคชะตาไม่ยุติธรรม มิเช่นนั้นแล้วตนเองก็คงสามารถแข็งแกร่งดังเช่นชิวชานจวิน เจ้าคับแค้นใจให้ใครดูเล่า ข้ารับไม่ได้อย่างยิ่งและรังเกียจคนที่เป็นเช่นนี้ที่สุด ตอนนี้สำนักเทียนเต้ามีนักเรียนเป็นเหมือนเจ้ามากมาย ดังนั้นยิ่งนานยิ่งจะแปรเปลี่ยนเป็นดั่งสวนที่ไร้ประโยชน์ ทั้งวันได้แต่ร่ำร้องเพลงต่อเนื่องกันเกรียวกราว น่าเบื่อยิ่งนัก!”

ในตำหนักค่อยๆ เงียบสนิท ผู้คนจับจ้องไปยังที่นั่งของสำนักเทียนเต้า มองจวงห้วนอวี่

จวงห้วนอวี่นิ่งเงียบเป็นเวลานาน ท่าทางค่อยๆ สงบลง มองถังซานสือลิ่วพลางกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้แท้จริงแล้วข้าทำสิ่งไม่เหมาะสม ไม่ว่าเจ้าจะทำผิดอย่างไร ไม่ว่าเจ้าจะสนใจการดำรงอยู่ของสำนักเทียนเต้าหรือไม่ ไหนจะประโยคที่เจ้าเอ่ยออกมาอีก ถึงแม้จะไม่น่าฟังยิ่ง แต่ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง…แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ เพราะเหตุใดหลังจากเข้ามาสำนักเทียนเต้า บรรดาอาจารย์และพวกเราถึงไม่ชอบเจ้า เพราะเหตุใดถึงมีความรู้สึกบีบคั้นซุกซ่อนอยู่ดังเช่นเจ้ารู้สึก เย่อหยิ่งหรือ ไม่ใช่ นักเรียนของสำนักเทียนเต้าเหมาะสมที่จะเย่อหยิ่ง เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เมื่อเข้าสำนักมีผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือดูแล ไม่เข้าเรียนก็ได้ ไม่ทำตามกฎระเบียบของสำนักก็ได้ สิ่งที่ได้รับก็มีไม่น้อย แล้วสหายร่วมสำนักคนอื่นเล่า พวกเขาจะต้องฝึกฝนเล่าเรียนด้วยความยากลำบากถึงจะได้รับ เป็นธรรมดาที่คนเขาจะดูถูกคนที่ใช้เพียงทางลัดเช่นเจ้า”

ที่นั่งในตำหนักเวลานี้ คนส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นนักเรียนธรรมดา นักเรียนหลายสิบคนของคณะทูตทางใต้ มีหลายคนมาจากครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น คนหนุ่มทั้งสามของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพได้ฟังคำพูดของจวงห้วนอวี่ก็มีท่าทีสงบลงเล็กน้อย ส่วนโก่วหานสือที่ผู้คนต่างรู้ว่าเขาผ่านร้อนผ่านหนาวลำบากมาตั้งแต่เกิดนั้นกำลังคิดบางสิ่งอยู่

สีหน้าของรองเจ้าสำนักจวงน่าเกลียดอย่างยิ่ง เพราะว่าเขารู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่จวงห้วนอวี่กล่าวว่าดูแลใส่ใจถังซานสือลิ่วคือตน

“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล สำนักเทียนเต้ามีกฎของสำนักเทียนเต้า มีความเคยชินสืบทอดยาวนานกว่าพันปี บรรดาอาจารย์และพวกเจ้าอาจจะคิดว่า คนที่ยากจนข้นแค้น จึงจะมีอนาคตที่สดใสอย่างแท้จริง แต่…บ้านข้ามีเงินทองมากมาย แล้วข้าจะมีหนทางอย่างไรได้เล่า จะให้ข้าแสดงเป็นคนยากจน หรือให้บิดาข้านำทรัพย์สินของตระกูลทั้งหมดที่มีแจกจ่ายเสีย เช่นนั้นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์คงจะยินดีอย่างยิ่ง”

ถังซานสือลิ่วพยักหน้า พลางกล่าวว่า “เจ้ามีเหตุผลของเจ้า ข้ามีความเคยชินของข้า สำนักเทียนเต้ามีกฎระเบียบของสำนักเทียนเต้า ค่ำคืนนี้พวกเราไม่เอ่ยถึงถูกผิด ในเมื่อต่างฝ่ายต่างกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม เช่นนั้นเรื่องนี้ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นความสนุกได้ตลอดกาล ดังนั้นข้าจึงลาออกจากสำนักเทียนเต้า”

“เจ้าหุบปากเสีย!” รองเจ้าสำนักจวงสีหน้าน่าเกลียดอย่างยิ่ง ตวาดเสียงดังลั่น

เมื่อครั้นยังเยาว์วัยตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยมีบุญคุณต่อเขา เรื่องราวแห่งไมตรีอันดีงามระหว่างตระกูลถังยาวนานหลายปี ในเมื่อเขารับปากผู้อาวุโสตระกูลถังว่าจะดูแลถังซานสือลิ่วในจิงตู จะได้แต่มองเขาก่อเรื่องวุ่นวายหน้าตาเฉยได้อย่างไรกัน “วุ่นวายพอได้แล้ว! บิดาของเจ้ามอบเจ้าให้ข้า เจ้าคิดว่าข้ามิกล้าสั่งสอนเจ้าหรือ!”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขาแล้วครุ่นคิดชั่วครู่ “ท่านลุงจวง ท่านกล่าวว่าบิดาของข้าฝากฝังให้ท่านดูแลข้า…แท้ที่จริงแล้วเมื่อเดินทางมาจิงตู ข้าได้เปิดจดหมายอ่านนานแล้ว ข้ารู้ว่าคนที่ฝากฝังให้ท่านดูแลข้าคือมารดาข้า ดังนั้นท่านไม่ต้องใช้ประโยคนั้นมากดดันข้า”

รองเจ้าสำนักจวงโมโหมือสั่นเทาเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมถึง….ทำไมถึงเปิดจดหมายออก!”

ไม่รู้เพราะเหตุใด จวงห้วนอวี่ที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินประโยคนี้สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด

ถังซานสือลิ่วกล่าว “สรุปแล้ว คืนนี้ข้าต้องการลาออกจากสำนักเทียนเต้า”

รองเจ้าสำนักจวงกล่าวด้วยความเจ็บปวดระคนกลัดกลุ้มใจ “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมถึงไม่เชื่อฟังอย่างนี้ การสอบเตรียมได้สิ้นสุดลง เจ้าต้องการลาออก แล้วการสอบใหญ่ปีหน้าจะทำอย่างไร”

ถังซานสือลิ่วอึ้งงันไปเล็กน้อย พบว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาอย่างแท้จริง

“นี่ไม่ใช่ปัญหา”

เฉินฉางเซิงยิ้มพลางเอ่ยว่า “มาอยู่กับข้า”

ถังซานลิ่วเลิกคิ้วขึ้น “มาอยู่กับเจ้าหรือ”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “นักเรียนของสำนักฝึกหลวง มีคุณสมบัติเข้าร่วมการสอบใหญ่ได้โดยตรง”

กฎระเบียบข้อนี้เขาไม่ได้จำผิดแน่ เพราะแรกเริ่มหลังจากเข้ามาจิงตู เพราะว่าไม่ต้องการเข้าร่วมการสอบเตรียม และต้องการเข้าสอบการสอบใหญ่ในปีหน้าโดยตรง จึงใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะเข้าร่วมสำนักไม้เลื้อยทั้งหก เพียงแค่คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายแล้วโชคชะตาจะให้เขากลายเป็นนักเรียนใหม่คนแรกของสำนักฝึกหลวงในรอบหลายปีมานี้

คิ้วดกดำของถังซานสือลิ่วเลิกสูงยิ่งขึ้น คล้ายกับว่าเจอสิ่งที่น่าสนใจ และน่าสนุกสนานอย่างยิ่ง

“ตอนนี้พวกเจ้ามีทั้งหมดกี่คน”

“สามคน”

เฉินฉางเซิงชี้ตนเองและลั่วลั่ว เอ่ยว่า “ยังมีอีกคนที่อยู่สำนักฝึกหลวง เจ้าเคยเจอแล้ว”

ถังซานสือลิ่วนิ่งเงียบชั่วครู่ หลังจากนั้นยิ้มออกมา พลางกล่าวว่า “นับข้าไปอีกหนึ่งคน”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด เอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเราก็มีสี่คนแล้ว”