บทที่ 184 ร่วมมือกันลอบสังหาร

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

“ที่นี่มีคนของเผ่าปีศาจไม่น้อย ไม่เกี่ยวกับพวกเราก็อย่าไปยุ่งเลย” เย่เฟิงพูด “เจ้าว่า มีความเป็นได้ไหมว่าหญ้านรกจะอยู่ที่พวกเขา? หรือว่าพวกเขารู้ไหมว่าหญ้านรกอยู่ที่ไหน?”

ทันใดนั้นมือที่เท้าคางของกู้ชูหน่วนก็วางลง ผิวปากแล้วพูดว่า “ไป พวกเราไปกินข้าวกัน”

“นายหญิง มีแค่สิบห้ากษาปณ์นะขอรับ เกรงว่าจะกินไม่อิ่มนะขอรับ”

กู้ชูหน่วนหลับตาลง คลำหาของในแหวนมิติครู่หนึ่ง เจอเศษเงินเล็กๆในนั้น รวมแล้วก็มีแค่สิบตำลึง

นางโยนเงินให้ฝูกวง “ไปหาร้านขายของแลกสิบตำลึงนี้ให้เป็นเศษเงิน”

ฝูกวงอ้าปากค้างอย่างตะลึง

เขาลืมไปเลยว่านายหญิงมีแหวนมิติ นางสะสมเงินอยู่ในนั้นไม่น้อยเลย

ก้มหน้ามองเงินสิบห้ากษาปณ์ที่น้อยจนน่าสงสารในมือของตัวเอง เขาก็รู้ตัวว่าตัวเองโดนนายหญิงแกล้งซะแล้ว

ด้วยกำลังทรัพย์สินของนายหญิง พวกเขาไม่จำเป็นต้องขอทานหรือทำงานหาเงินเลยด้วยซ้ำ

ฝูกวงมองกู้ชูหน่วนอย่างน้อยอกน้อยใจ เบะปากพูดว่า “นายหญิงนิสัยไม่ดีเลย ขนาดข้าก็ยังหลอก”

“สิบห้ากษาปณ์ก็เป็นเงินเหมือนกัน การหาเงินไม่ใช่เรื่องง่าย นานๆทีจะมีคนให้พวกเรา ทำไมพวกเราต้องปฏิเสธด้วยเล่า เจ้าเด็กนี่ ไม่รู้จักการบริหารเงินเลย”

“……”

นางให้เงินคนอื่นไปเป็นแสนตำลึงโดยไม่คิดอะไร ในหอโคมเขียวอู๋โยว ก็ให้เงินคนอื่นเป็นจำนวนมาก

ตอนนั้นทำไมไม่เห็นนางปวดใจบ้างเลยล่ะ?

แม้จะโต้เถียง ฝูกวงก็เอาเงินสิบตำลึงนี้ไปแลกเศษเงินมา ก็ถึงเดินตามกู้ชูหน่วนเข้าไปในโรงเตี๊ยมผิงอัน

นอกประตูโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อขวางทางพวกเขาเอาไว้ มองพวกเขาด้วยสายตาดูถูก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

“ขอทานที่ไหนกัน รู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน? เห็นป้ายด้านหน้าหรือยัง? โรงเตี๊ยมผิงอัน ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นโรงเตี๊ยมเท่านั้น ยังเป็นหอสุราด้วย พวกเจ้าสามคนจะจ่ายไหวหรือไง?”

กู้ชูหน่วนแอบกวาดตามองภายในโรงเตี๊ยมโดยไม่เป็นที่น่าสงสัย

ตอนนี้ไม่ใช่เวลากินข้าว คนในโรงเตี๊ยมมีไม่เยอะมาก มีแค่ลูกค้าไม่กี่โต๊ะเท่านั้น

เป็นเหมือนที่นางเดาเอาไว้ไม่มีผิด พวกยอดฝีมือลึกลับที่เข้าไปเมื่อกี้ ต่างก็ไม่ได้กินข้าวอยู่ในห้องโถง ไม่รู้ว่าไปหลบคุยเรื่องสำคัญกันที่มุมไหน

ฝูกวงเอาเงินหนึ่งตำลึงออกมา

ใบหน้าของเสี่ยวเอ้อยังคงดูถูกเหมือนเดิม

“แค่เงินหนึ่งตำลึง พวกเจ้าสามคนก็อยากมากินข้าวที่นี่งั้นเหรอ? อาหารร้านเราแพงมาก แค่อาหารจานทั่วไปก็คิดเงินหนึ่งตำลึงแล้ว”

“บะหมี่เนื้อหยางชุนสามถ้วย” กู้ชูหน่วนพูดอย่างเรียบเฉยและเด็ดขาด

“ไปๆๆ อย่ามารบกวนข้าเรียกลูกค้า”

กู้ชูหน่วนกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา

“โรงเตี๊ยมผิงอันที่โด่งดังแห่งตำบลชิงหง แท้จริงแล้วเป็นโรงเตี๊ยมที่ต้อนรับแต่ลูกค้าที่มีอิทธิพลงั้นเหรอ”

“ใครจะทำเช่นนั้นกัน? เจ้ามีเงินแค่หนึ่งตำลึง จ่ายเงินค่าบะหมี่เนื้อหยางชุนได้เหรอ? ไสหัวไปซะ”

“เอ้า ที่นั่นเขียนไว้ว่า บะหมี่เนื้อหยางชุน สามถ้วยหนึ่งตำลึงนี่?”

เสี่ยวเอ้อหันหน้ากลับไปมอง เขาชะงักพูดไม่ออก

ในร้านมีบะหมี่เนื้อหยางชุนสามถ้วยหนึ่งตำลึงก็จริง แต่คนที่มากินอาหารร้านพวกเขา ใครจะสั่งแค่บะหมี่หยางชุนล่ะ?

“ถ้าวันนี้เจ้าไม่ให้พวกข้าเข้าไป พวกเราสามคนจะป่าวประกาศออกไปว่าโรงเตี๊ยมผิงอันของพวกเรารับแต่ลูกค้าที่มีอิทธิพล ดูถูกขอทานอย่างพวกเรา”

กู้ชูหน่วนบิดพลิ้ว แล้วนั่งอยู่หน้าประตูไม่ให้ลูกค้าที่อยากเข้าโรงเตี๊ยมเข้ามา อย่างกับมนุษย์ป้า

“ลุกขึ้น เจ้าลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นะ จะก่อกวนก็ไปที่อื่นไป”

“โรงเตี๊ยมผิงอันรังแกคนไม่มีทางสู้ โรงเตี๊ยมผิงอันดูถูกคนอื่น ดูถูกขอทาน”

นางตะโกนเสียงดัง พอตะโกนแบบนี้ก็มีผู้คนไม่น้อยถูกดึงดูดเข้ามา ทุกคนต่างก็ซุบซิบนินทากันใหญ่

กู้ชูหน่วนบีบน้ำตา แล้วพูดกับพวกชาวบ้านที่มาล้อมวงทั้งน้ำตาว่า “พวกเราสามพี่น้อง ขอทานไปทั่วทุกที่ กว่าจะได้เงินหนึ่งตำลึงมา อยากจะเข้าไปกินบะหมี่หยางชุน แต่กลับถูกไล่ออกมาเสียก่อน สงสารน้องชายข้าที่ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ อยู่ได้อีกไม่กี่เดือน ความหวังทั้งชีวิตนี้ของเขาก็คือการได้กินบะหมี่หยางชุนร้อนๆของโรงเตี๊ยมผิงอัน”

นางพูดไปก็ตบไหล่เย่เฟิงอย่างเจ็บปวดใจไปด้วย

เย่เฟิงปาดเหงื่อ นางจะแสดงทำไมไม่หาฝูกวงล่ะ มาหาเขาทำไมกัน?

“ดูสิน้องชายข้าตกใจใหญ่เลย หรือว่าขอทานอย่างพวกเราสมควรโดนดูถูกแบบนี้เหรอ? พวกเรากินบะหมี่ไม่ได้ไม่จ่ายเงินเสียหน่อย”

เพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ เย่เฟิงกับฝูกวงก็ปาดโคลนดำที่ใบหน้าตัวเอง ปกปิดใบหน้าอันหล่อเหลาของพวกเขาไว้

ตอนนี้เย่เฟิงมีสีหน้าเย็นชาไม่พูดไม่จา ทุกคนก็คิดว่าเขาตกใจจริงๆ

แต่ละคนต่างก็ด่าทอเสี่ยวเอ้อในร้านกันใหญ่

“ปกติพวกเจ้าก็หยิ่งผยองจองหองกันอยู่แล้ว ดูถูกคนจน ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะทำขนาดนี้ ขนาดคนป่วยใกล้ตายแล้วก็ยังรังแกได้ พวกเจ้ามันชั่วจริงๆ”

ได้ยินคำว่าใกล้ตายแล้วสามคนนี้ ใบหน้าเย็นชาของเย่เฟิง ก็อดไม่ได้ที่จะกระตุก

“นั่นสิ ดูสามคนนี้สิ คนหนึ่งใกล้ตาย คนหนึ่งขาพิการ อีกคนก็ดูซื่อบื้อเงอะงะ พวกเจ้ายังไล่พวกเขาออกมาได้ ถ้าพวกเจ้ากล้าไล่พวกเขาออกมา ต่อไปพวกเราจะไม่มากินข้าวหรือนอนที่โรงเตี๊ยมผิงอันอีกเลย”

เย่เฟิง “……”

ฝูกวง “……”

พวกชาวบ้านด่ากันไม่หยุด เสี่ยวเอ้อทำตัวไม่ถูก เถ้าแก่มาขอโทษแล้วก็ไม่ได้ผล

เรื่องราวเริ่มบานปลายออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ชั้นสองของโรงเตี๊ยมก็มีชายหนุ่มร่างกำยำเดินออกมา

ผู้ชายมาถึงก็พูดว่า “เสียงดังโวยวายอะไรกัน โวยวายอีกเดี๋ยวข้าก็จับบิดคอซะเลยนี่”

“ขอรับๆๆ ไม่เสียงดังแล้วขอรับ” เถ้าแก่รีบปาดเหงื่อขอโทษ

ค้าขายมาหลายปี เขายังพอมีทักษะสังเกตสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

วันนี้มีเหล่าคนยุทธภพเข้ามาติดต่อกันหลายคน ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่

ชายร่างกำยำกวาดตามองไปที่พวกกู้ชูหน่วน พูดอย่างรำคาญว่า “ขอทานอย่างพวกเจ้าสามคนก็ทำตัวให้ดีหน่อย ข้าไม่ได้นิสัยดีขนาดนั้น”

“เจ้าค่ะๆๆ……” กู้ชูหน่วนรีบพยักหน้า

“ให้ขอทานสามคนนี้เข้าไปกินบะหมี่ แล้วก็เงียบๆด้วย”

พูดจบ เขาก็มองทุกคนด้วยแววตาตักเตือน จากนั้นก็ถึงเดินขึ้นชั้นสองไป

บนโต๊ะที่ติดหน้าต่าง ฝูกวงกินบะหมี่พร้อมกับพูดเสียงเบาว่า

“นายหญิง ข้าน้อยสืบเรื่องทุกอย่างมาแล้วขอรับ คนพวกนี้รวมตัวจากทั่วทุกที่ เพื่อวางแผนการลอบสังหารขอรับ”

“ฆ่าใคร?”

“ยังไม่ทราบขอรับ แต่คนพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นคนของเผ่าปีศาจ มีหัวหน้ากองธงดารารัตน์เป็นคนนำ เรียกรวมตัวหัวหน้าจากหลายฝ่าย รวมไปถึงเหล่ายอดฝีมือของเขาทิ้งวิญญาณร่วมมือกันลอบสังหาร”

ไม่ว่าจะเป็นฝูกวง กู้ชูหน่วน หรือว่าเย่เฟิงก็สังเกตเห็นว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่

คนของเผ่าปีศาจร่วมมือกับพวกคนชั่วอย่างเขาทิ้งวิญญาณ เพื่อฆ่าใครบางคนงั้นเหรอ?

รวมตัวกันขนาดนี้ คนที่พวกเขาอยากฆ่าต้องมีฝีมือที่เก่งกาจมากแค่ไหนกันนะ?

“จับตาดูพวกเขาให้ดี”

“ขอรับ”

“นายหญิง พวกเขาออกไปจากประตูหลังกันแล้วขอรับ” ฝูกวงขยับหู แล้วพูดเตือน

“ไป ตามไปดูกัน”

อีกฝ่ายมีจำนวนคนเยอะมาก แต่ละคนก็เป็นยอดฝีมือกันทั้งนั้น กู้ชูหน่วนไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป

ทำให้ถึงป่าไผ่นอกตำบลชิงหงแล้วก็ตามพวกเขาไม่ทัน