ชุยอินหลัวแอบมองอวิ๋นหว่านชิ่นผ่านช่องระหว่างนิ้ว แต่เหมือนพี่ชายเพิ่งพูดถึงเรื่องที่ทำให้นางเสียใจ นางก็ร้องไห้โฮขึ้นมาดังกว่าเดิม
“มีคนอยู่——” ซย่าโหวซื่อถิงขมวดคิ้ว ตะโกนเสียงดัง กำลังจะเรียกให้คนเข้ามาพาชุยอินหลัวออกไป แต่ก็ต้องถูกสายตาของอวิ๋นหว่านชิ่นหยุดเอาไว้ เป็นพี่ชายประสาอะไร ให้ข้าวปลาอาหารกับที่อยู่อาศัยแค่นั้น ไม่ถามไถ่ความเป็นอยู่เลยหรืออย่างไร ไม่ถามน้องสักคำว่าเกิดอะไรขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปพูดกับนางด้วยเสียงอ่อนหวาน พร้อมจับมือน้อยๆ ของนางและดึงเข้ามาใกล้ๆ “อาหลัวเป็นอะไรรึ มีคนแกล้งเจ้าใช่หรือไม่”
ชุยอินหลัวสะดุ้งถอยออกมาทันที เพราะมือของอวิ๋นหว่านชิ่นร้อนอย่างกับไฟ และโพล่งออกมาว่า “พวกเจ้า พวกเจ้านั่นแหละที่แกล้งข้า!”
ซย่าโหวซื่อถิงโกรธจนหน้าดำ “หากพี่ไม่ลงโทษเจ้า เจ้าจะรู้สึกไม่สบายใช่ไหม พี่จะให้โอกาสอีกครั้งนะ ออกไปเดี๋ยวนี้!”
เด็กอ้วนตุ้ยนุ้ยเป็นเด็กดื้อรั้น ยิ่งโดนบังคับก็ยิ่งไม่พอใจ นางย่ำเท้าตึงตังจนพื้นหินสั่นสะเทือน
อวิ๋นหว่านชิ่นค้อนตาใส่ท่านอ๋อง นี่มันคนประเภทที่เข้ากับเด็กไม่ได้ ใช้แต่ความรุนแรง นางหันไปลูบหัวชุยอินหลัว และพูดด้วยน้ำเสียงโน้มน้าวว่า “พวกเราแกล้งอะไรเจ้าเช่นนั้นหรือ”
ชุยอินหลัวรวบรวมความกล้าและมองอวิ๋นหว่าชิ่น แอบเหลือบมองพี่ชายหนึ่งที จากนั้นน้ำตาก็เอ่อล้นออกมาพรวดพราด “พวกเจ้าไม่บอกอะไรข้า แล้วพวกเจ้าก็แต่งงานเลย!” นางอัดอั้นมานานจนทนอยู่ต่อไม่ไหว ปาดขี้มูกหนึ่งทีแล้วก็วิ่งออกไปเลย
ซย่าโหวซื่อถิงไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ทำได้เพียงออกไปบอกให้สาวใช้ ไปจับน้องสาวให้ได้ แล้วส่งกลับเรือนไปซะ จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าห้องนอน เมื่อเข้ามาในห้องนอนแล้ว ก็เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นนั่งนิ่งอยู่บนเตียง กำลังจ้องมองเขาอยู่ “ท่านอ๋องกับน้องสาวมีเรื่องอะไรกันหรือเจ้าคะ” ไม่อยากให้พี่ชายแต่งงาน จะมีเหตุอันใดอีกเล่า ใช่ว่าอายุน้อยแล้วจะไม่รู้เรื่องชายหญิงเสียหน่อย หญิงสาวที่เข้าใจอะไรเร็วมีเยอะแยะไป โดยเฉพาะ เด็กคนนี้ถูกเลี้ยงดูโดยพี่ชาย หากจะมีใจให้พี่ชาย ก็คงไม่แปลก อาจมีอีกเหตุผลหนึ่ง ก็คือ อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่า เมื่อชาติก่อน ชุยอินหลัวมีตำแหน่งเป็นมเหสีรอง ยิ่งได้ยินชุยอินหลัวพูดเมื่อกี้ จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไรกัน
เพิ่งจัดการเสร็จคนหนึ่ง มาอีกคนแล้ว ซย่าโหวซื่อถิงจะหัวเราะก็ไม่ใช่จะร้องไห้ก็ไม่เชิง ในใจรู้สึกทั้งภูมิใจและอบอ่นใจ ปกติจะเป็นเขาที่อกสั่นขวัญแขวน คอยจัดการฝูงผึ้งรุมนางไม่หวาดไม่ไหว ช่างเป็นโอกาสหายากนัก ที่นางจะหึงเขาสักครั้ง “เด็กอายุเท่าไหร่ ข้าจะมีอะไรกับนางได้เล่า ชายาที่รักของข้าอย่าตีโพยตีพายไปเลย”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่านอ๋องตั้งใจไม่พูดให้ชัดเจน นางก็เลยเงยหน้าขึ้น เชิดหน้าเดินหนีไป ท่านอ๋องสูดหายใจลึก สีหน้าจริงจัง รู้สึกว่านางจับจุดอ่อนของตนได้แล้ว!
ท่านอ๋องลุกขึ้นพรวด ยื่นมือไปคว้านางจากด้านหลังมามาโอบไว้ จากนั้นโน้มศีรษะลงและพูดข้างหูว่า “อาหลัวร้องไห้เพราะข้าที่ไหนกันเล่า เพราะเจ้าต่างหาก!”
เพราะข้างั้นรึ อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ยอมฟังท่านอ๋องที่เล่าด้วยน้ำเสียงจำใจ “…อาหลัวเป็นเด็กแก่แดด ครั้งนั้นที่เจ้ามาที่จวน นางมาถามข้าเกี่ยวกับเจ้า ตั้งแต่ชื่อแซ่ ที่อยู่อาศัย ข้าเห็นว่านางยังเป็นเด็ก ไม่รู้เรื่องอะไร เดี๋ยวก็คงลืมไปเอง ก็เลยพูดไปไม่กี่ประโยค ให้มันผ่านๆ ไป ไม่คิดเลยว่า นางจะเก็บเจ้าไว้ใจ ถึงขั้นพาสาวใช้จะแอบหนีออกจากจวน เพื่อไปหาเจ้า แต่โชคดีที่ถูกคนจับได้เสียก่อน แล้วเจ้าไม่มีอะไรทำหรืออย่างไร——แต่งเป็นชายหนุ่มรูปงามขนาดนั้นทำไมเล่า ช่างหาเรื่องให้ข้าจริงๆ …”
พอฟังจนจบ ครั้งนี้เป็นอวิ๋นหว่านชิ่นแทน จะหัวเราะก็ไม่ใช่จะร้องไห้ก็ไม่เชิง ที่ไหนได้ เจ้าน้องสาวคนเล็กแห่งตระกูลชุย หวนคะนึงหานางเสียงั้น รักแรกของหญิงสาวมีค่ามาก ความรักแรกแย้มจะพลุ่งพล่านดุจน้ำเชี่ยว จะไม่ให้อารมณ์แปรปรวนได้อย่างไรกันเล่า ชายหนุ่มรูปงามที่ตนชอบเป็นหญิงก็ว่าแย่แล้ว แล้วหญิงผู้นั้นยังถูกพี่ชายตัวเองแอบแต่งงานด้วยอีก นางคงคิดไปแล้วว่าพี่ชายตั้งใจหลอกนาง
องค์ชายสามก็อีกคน ไม่บอกกล่าวให้ชัดเจนแต่แรก! เข้าหาเด็กไม่เป็นจริงๆ
ช่างเถอะๆ ไว้ค่อยหาเวลาปลอบใจน้องสาวคนเล็กอีกทีก็แล้วกัน
อวิ๋นหว่านชิ่นหันกลับไปคุยเพื่อดูท่าทีของท่านอ๋อง “อาหลัวไม่มีพ่อแม่ นอกจากองค์ชายสามและพระสนมเอก ไม่มีญาติสนิทที่ไหนอีก พระสนมเอกให้อาหลัวมาอยู่กับท่าน คงคิดไตร่ตรองดีแล้ว หากนางโตขึ้นอีกนิด คงจะให้นางกับท่านอ๋อง…” ยังมีวิธีปกป้องหลานสาวที่ดีไปกว่าการแต่งงานอีกหรือ
ซย่าโหวซื่อถิงเริ่มนิ่ง เขาไม่เข้าใจว่านางจะกังวลเรื่องนี้ทำไม ความคิดของนาง หลายครั้งเขาเองก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ชินแล้ว
เขามองเจ้าสาวของตัวเองพร้อมกับยิ้มด้วยความสงสัย
อวิ๋นหว่านชิ่นเรียกก็ไม่ตอบ “ยิ้มดีใจอะไรกัน” มีเมียเล็กเมียน้อยมันน่าภูมิใจขนาดนั้นเชียวรึ ดูจากสภาพร่างกายแล้ว คงไม่มีบุญได้เสวยสุขหรอก!
เวลาผ่านไปครู่เดียว ท่านอ๋องเดินไปหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่ตนถอดออกตอนรับแขก แขวนอยู่บนฉากกั้น และนำมาห่อหุ้มนางไว้ จากนั้นกุมมือลากนางไปที่หน้าต่างบานใหญ่ ที่อยู่ทางทิศเหนือของห้องนอน ผลักหน้าต่างลายดอกไม้ออกไป ภายนอกเงียบสงัด งานเลี้ยงด้านหน้าจบลงไปแล้ว ค่ำคืนนี้ เหลือเพียงเสียงลมอันแผ่วเบากับไอเย็นจากเกล็ดหิมะ ดวงจันทร์สีขาวลอยอยู่กลางอากาศ คืนนี้ไม่มีเมฆ ทำให้พระจันทร์ดูสว่างสไวกว่าทุกๆ วัน แสงสีขาวของดวงจันทร์ตัดกับขอบฟ้า ยิ่งทำให้ค่ำคืนนี้ดูเงียบเหงา
ด้วยความเคยชินของการยืนข้างหลังของผู้ชาย เขาโอบกอดเอวของนางไว้จากด้านหลัง ปากแนบชิดข้างหูและพูดด้วยโทนเสียงอันอ่อนโยนหวานเยิ้มว่า “ห้องหอห้องนี้ปรับปรุงจากห้องนอนของข้า เมื่อก่อน เมื่อไหร่ที่อาการเดิมของข้าออกฤทธิ์จนข้าทนไม่ไหว ข้าก็จะมายืนชมพระจันทร์ตรงนี้คนเดียว พระจันทร์โดดเดี่ยวอยู่บนท้องฟ้า ข้านั้นโดดเดี่ยวอยู่ตรงนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้ามีเจ้า พระราชวังบนฟ้าจะกว้างใหญ่แค่ไหน ก็สู้จวนของข้าไม่ได้…แล้วเจ้าคิดว่าข้ายิ้มดีใจเรื่องอะไรล่ะ”
ตอนที่ท่านอ๋องพูด ลมหายใจที่พ่นออกมา ด้วยอากาศที่หนาวเย็น จนลมหายใจก็เย็นไปด้วย แต่นางกลับรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ เริ่มรู้สึกร้อนที่ติ่งหู
ทันใดนั้น นางได้ยินเสียงบางอย่าง มันเบามาก เหมือนเป็นเสียงเสียดสีของคนแนบหูกับกำแพง เพราะว่าหน้าต่างเปิดอ้าไว้ ทำให้ได้ยินสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ชัดมาก นางรู้ว่าเป็นใคร นางหันตัวเข้าหาท่านอ๋อง ตัวอิงหน้าต่างเอาไว้ มือสองข้างโอบที่คอซย่าโหวซื่อถิงอย่างรวดเร็ว จากนั้นดันที่หน้าอกและทำการเปิดเสื้อออก นางมุดเข้าไปแนบที่หน้าอกของเขา
หน้าแดงระรื่อที่เกิดขึ้นก่อนหน้าชุยอินหลัวจะทำลายบรรยากาศ มันแดงขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นนางอิงอยู่ตรงหน้าต่าง สองมือเกี่ยวเขาไว้ราวกับเถาวัลย์ ท่าทางคล้ายนางปีศาจ และคล้ายนางฟ้า เขาถึงกับกลืนน้ำหลาย “ชิ่นเอ๋อ เจ้า…จะทำอะไร”
นิ้วมือวาดเล่นบนหน้าอกไม่หยุด จนซย่าโหวซื่อถิงจักกะจี้ เพื่อข่มอารมณ์เอาไว้ ลมหายใจก็เต้นเร็วผิดปกติ จนลอยออกไปข้างนอกหน้าต่าง ดวงตาสองข้างกลับแดงจนเปลี่ยนสี เจ้าปีศาจตัวน้อย คิดจะเปลี่ยนใจหรืออย่างไร อยากเข้าห้องหอวันนี้เลย
อืม แบบนี้แหละ เสียงครางยิ่งดังยิ่งดีเจ้าค่ะท่านอ๋อง คนที่แอบฟังอยู่ตรงกำแพง คงได้ในสิ่งที่ต้องการและกลับไปรายงานให้เจ้านายทราบได้กระมัง เอาอีกสักนิดก็แล้วกัน! อวิ๋นหว่านชิ่นตอบกลับด้วยเสียงหวานย้อย “หม่อมฉันขอดูหน่อย ยาที่ให้องค์ชายใช้ มันได้ผลหรือไม่เพคะ”