บทที่ 33 ศัตรูหัวใจ?

กลอนประตูที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมของบ้านแม่เฒ่าเจียง ถูกเปิดออกอย่างแรงด้วยฝีมือของแม่เฒ่าซู เพียงนางออกแรงก็สามารถทำให้มันพังได้แล้ว! สองสามีภรรยาถือวิสาสะเดินเข้าไปในลานบ้านโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งสองพบกับแม่เฒ่าเจียงกับแม่เจิ้นกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่เมื่อเห็นสองสามีภรรยายเดินเข้ามา พวกเขาก็พลันชะงักไป

แม่เฒ่าเจียงจ้องมองไปยังทั้งคู่และเอ่ยว่า “ออกไปเดี๋ยวนี้นะ! นี่พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่ เหตุใดไม่กลับไปหาอะไรกินที่บ้าน!”

“ก็ลูกชายของข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องได้กินข้าวที่นี่สิ! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาไล่ข้าไม่ทราบ?” แม่เฒ่าซูพูดด้วยท่าทางหยิ่งผยอง พ่อเฒ่าซูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย เมื่อเห็นว่ามีเก้าอี้ฟางตัวหนึ่งว่างอยู่ก็เดินตรงไปนั่งลงด้วยท่าทีวางมาด หญิงชราเชิ่ดหน้าขึ้นด้วยท่าทางเย่อหยิ่งราวกับรอให้พวกนางทำอาหารและเรียกให้พวกเขากิน

พวกเขาไม่อยากแบ่งอาหารให้กับคนชราทั้งสองนี้แม้แต่คนเดียว!

แม่เจิ้นและแม่เฒ่าเจียงส่งสายตาให้กันเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ ส่วนซูหวานหว่านเดินเอาตะกร้าที่ไปซ่อนไว้เป็นอย่างดี จากนั้นนางก็นำผักป่าผสมเข้ากับรำข้าววางลงบนจานเนื้อ ก่อนจะยกมันและมุ่งไปทางประตู เมื่อแม่เฒ่าซูเห็นอาหารจานนั้นก็ถึงกับต้องเบือนหน้าหนีด้วยท่าทางรังเกียจ ซูหวานหว่านเลยอดไม่ได้ที่จะแอบขำให้กับท่าทางของคนตรงหน้า หากแต่นางก็กลั้นเอาไว้และพูดออกไปเป็นเชิงล้อเล่นว่า

“ท่านย่าอยากจะกินอาหารจานนี้หรือไม่”

“จะบ้าหรือไง! เอาออกไปไกล ๆ เลยนะ! ข้าจะกินเนื้อที่พวกเจ้าปรุง ไม่ใช่ขยะพวกนี้!” แม่เฒ่าซูพูดพร้อมโบกมือไล่และเบือนหน้าหนี

ทันทีที่นางกำลังจะออกไปจากบริเวณลานบ้าน ก็มีลมพัดโชยเข้ามาทำให้แม่เฒ่าซูได้กลิ่นเนื้อลอยมา แม่เฒ่าซูโวยวายออกมาทันที “ซูหวานหว่าน! เนื้ออยู่ที่ใด? ใช่จานในมือเจ้าหรือไม่!?”

“ท่านย่าคิดว่าข้ากำลังถืออะไรอยู่ในมือ? ไม่เห็นหรืออย่างไรเว้นเสียแต่ว่าท่านจะตาบอด” เมื่อจบพูดเด็กสาวก็หันหลังกลับไปโดยที่ไม่รอให้แม่เฒ่าซูได้โวยวายใส่

อย่างไรก็ตามเมื่อแม่เฒ่าเจียงและแม่เจิ้นเดินออกไป คนแก่ทั้งสองก็ไม่ได้กลิ่นหอมของเนื้ออีกต่อไปแม้แต่กลิ่นจาง ๆ ก็ไม่หลงเหลือเอาไว้เลย!

จะเป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาจะยกมันออกไปแล้ว?

แม่เฒ่าซูนึกแล้วก็โมโหขึ้นมา หญิงชราผลุนผลันวิ่งเข้าไปในบ้าน และพบว่าทุกคนได้กินอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ในจานเหลือเพียงคราบน้ำมันของเนื้อ ทำให้แม่เฒ่าซูถึงกับน้ำลายหก แต่หญิงชรากับเบี่ยงเบนด้วยการรีบเช็ดน้ำลายและชี้นิ้วไปที่ซูต้าเฉียง “เจ้า! ไอ้ลูกอกตัญญูไม่รู้บุญคุณ! แอบข้ากินเนื้องั้นหรือ! จะมากเกินไปแล้วนะ!”

พลันใดนั้นแม่เฒ่าซูก็นึกขึ้นมาได้ว่าเหตุใดจึงไม่เห็นเนื้อ นางชี้หน้าซูหวานหว่านและก่นด่าออกมา “นังซูหวานหว่าน! นี่เจ้าโกหกข้างั้นหรือ!”

เห้อ…

พูดจาไร้สาระอีกแล้ว…

ซูต้าเฉียงมองไปที่แม่ของตนด้วยท่าทีที่สงบพร้อมพูดอย่างใจเย็นว่า “ท่านแม่ พวกเราไม่ได้ทำอะไรลับหลังท่านเลย พวกเราก็กินของเรากันปกติตรงนี้อย่างเปิดเผย ข้าไม่ได้ปิดบังอะไรท่าน ตั้งแต่ท่านไล่พวกเราออกจากบ้าน พวกเราก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันแล้ว ข้าว่าท่านกลับบ้านไปทำอาหารกินกันเองเถอะ”

เขากล้าไล่ข้างั้นเหรอ! ทั้งพ่อเฒ่าซูและแม่เฒ่าซูไม่พอใจกับคำพูดของลูกชาย คนชราทั้งสองทำการดุด่าว่ากล่าวซูต้าเฉียงยกใหญ่ ทั้งยังพาลไปด่าใส่ทุกคนในบ้านด้วย พวกเขาทั้งสองบ่นด่ากันอย่างไม่ลดละจนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยจึงหยุดไปเอง โดยที่คนในบ้านไม่ได้ให้ความสนใจกับคนชราทั้งสองเลยแม้แต่น้อย

นี่พวกเขาเมินข้างั้นเหรอ!?

พวกเขาไม่ได้ฟังที่ข้าพูดเลยด้วยซ้ำ!

แม่เฒ่าซูโกรธจัดจนตาเหลือกและความดันขึ้นจนทำให้อาเจียนเป็นเลือด ก่อนที่จะเป็นลมล้มหมดสติอยู่ตรงนั้น

ตาเฒ่าซูตวาดใส่ลูกชายทันทีที่เห็นภรรยาของเขาล้มลง “ต้าเฉียง!! เจ้าเห็นรึยังว่าแม่ของเจ้าโกรธจนเป็นลมล้มพับไป! เจ้าควรจะสำนึกและรีบให้เงินค่ารักษาแม่เจ้ามาให้ข้าได้แล้ว!”

ซูหวานหว่านเหล่ตามองไปยังแม่เฒ่าซูที่นอนอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่าขนตาของนางยังกระตุกอยู่ แน่นอนว่านี่คงเป็นอีกหนึ่งการแสดงของนาง!

ซูหวานหว่านจึงแกล้งเอ่ยถามกับแม่เฒ่าซูว่า “นี่ท่านย่าหมดสติจริงหรือเปล่า?”

“ก็ใช่สิ ไม่เห็นหรือไง นางไอเป็นเลือดขนาดนี้เจ้ายังคิดว่านี่เป็นการแกล้งเล่นอยู่อีกเหรอ!” ตาเฒ่าซูพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางจริงจังเพื่อให้การแกล้งเป็นลมของภรรยาดูสมจริงมากยิ่งขึ้น

ยังจะหน้าด้านโกหกอยู่อีก ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่านางแกล้งเป็นลมชัด ๆ!

เด็กสาวถอนหายใจยาวออกมาและเดินกลับเข้าไปในห้องครู่หนึ่ง จากนั้นก็ออกมาพร้อมกับถุงผ้าสีดำใบเล็ก ๆ นางยื่นมันไปให้พ่อเฒ่าซูอย่างไม่เต็มใจ “สิ่งนี้… เป็นยาวิเศษที่ข้าได้มาจากหมอ สรรพคุณเมื่อกินเข้าไปแล้ว อาการทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ นี่คือสิ่งเดียวที่ข้าสามารถให้ท่านได้ ท่านเอาไปให้ท่านย่ากินเถอะ”

หลังจากที่ซูหวานหว่านวางถุงผ้าใบเล็กไว้ข้าง ๆ แม่เฒ่าซูแล้ว ภายในถุงนั้นก็มีการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ เกิดขึ้น ลางสังหรณ์บางอย่างของแม่เฒ่าซูบ่งบอกว่าของที่อยู่ในถุงนั้นไม่ใช่ของดีอย่างที่ซูหวานหว่านพูดแน่ ๆ ทำให้แม่เฒ่าซูที่แกล้งหมดสติอยู่รู้สึกเป็นกังวลจนเผลอขมวดคิ้ว

ซูหวานหว่านจับแม่เฒ่าซูอ้าปาก ซึ่งนางก็ให้ความร่วมมือกับซูหวานเป็นอย่างดี ทว่าทันใดนั้นแม่เฒ่าซูก็ต้องลืมตาขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างเย็น ๆ ลื่น ๆ สัมผัสที่ริมฝีปากของตน และสิ่งที่นางเห็น… มันก็ทำให้นางกรีดร้องเด้งตัวลุกขึ้นแล้วพลักซูหวานหว่านออกไป!

“เจ้ากล้าดียังไงเอางูมาให้ข้ากิน!” แม่เฒ่าซูพูดด้วยท่าทางขยะแขยง

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว นี่ไม่ใช่งูทว่าเป็นยาต่างหาก” ซูหวานหว่านยิ้มอย่างเป็นมิตรพร้อมกับยื่นของในมือไปใกล้แม่เฒ่าซูมากขึ้น ในขณะที่แม่เฒ่าซูเองก็กระเถิบถอยห่างไปเรื่อย ๆ “ท่านย่า ยานี้มีประโยชน์อย่างน่ามหัศจรรย์จริง ๆ ใช่หรือไม่ ท่านยังไม่ทันได้กินก็ดีขึ้นแล้ว!”

เมื่อพูดจบเด็กสาวก็หยิบสิ่งนั้นขึ้นมาและคลายหางของมันที่ถูกพันไว้รอบคอของตัวเอง ปรากฏให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตนั้นที่แท้จริงแล้วมันก็คือตุ๊กแก หางของมันดูละม้ายคล้ายกับงูมากจนทำให้แม่เฒ่าซูถึงกับตกใจ ซึ่งพ่อเฒ่าซูเองก็รู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน ทว่าอย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตในถุงสีดำนั้นจะไม่ใช่งู… หากแต่เป็นแค่ตุ๊กแกก็มากพอแล้วที่จะทำให้คนชราสองกลัวจนตกใจถอยหลังหนีไป

ซูต้าเฉียงที่ซ่อมประตูก็ได้เจอเข้ากับพ่อแม่ของตนอีก เมื่อทั้งสองเห็นลูกชายจึงเริ่มโวยวายด่าทอ ทว่าซูหวานหว่านที่อยู่ตรงนั้นไม่ยอมให้เรื่องวุ่นวายนี้เกิดขึ้น นางทำท่าทางเหมือนกับจะเอาตุ๊กแกในมือโยนใส่พวกเขา คนแก่ทั้งสองจึงวิ่งหนีกระเจิงไปคนละทิศคนละทางอย่างรวดเร็ว

หลังจากจบเรื่องวุ่นวายหลังมื้ออาหาร ซูหวานหว่านก็รีบผละตัวออกมาพร้อมกับอาหารจานหนึ่งกับก้อนหยกในตะกร้า นางคลุมทับด้วยผักป่าเพื่อไม่ให้เตะตาคนอื่นก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบ ๆ

สำหรับก้อนหยกก้อนนี้หากว่าซูหวานหว่านนำมันไปขายเปล่า ๆ จะต้องขาดทุนราวกับมันเป็นเพียงของไร้ค่า เด็กสาวจึงกำลังคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้เพื่อที่จะได้เพิ่มราคาของหยก เพราะนางจำเป็นต้องแบ่งเงินไปซื้อไก่ไปให้พวกหมาป่าตามที่ได้สัญญาเอาไว้

ซูหวานหว่านคิดว่าอาจจะต้องหยิบยืมอะไรบางอย่างจากฉีเฉิงเฟิงเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับมัน

เมื่อไปถึงหน้าประตูบ้านของฉีเฉิงเฟิง ซูหวานหว่านที่กำลังจะเคาะประตูก็ได้ยินเสียงเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความโกรธทว่ากลับแฝงความอ่อนโยนอยู่ในน้ำเสียงโวยวายลอดออกมา “ท่านพี่ฉี อย่าทำแบบนี้อีกนะ!”

เกิดอะไรขึ้น?

หญิงนางใดกันที่มาโวยวายใส่ฉีเฉิงเฟิงถึงบ้าน?

ซูหวานหว่านหยุดคิดชั่วครู่ พลางสังเกตการณ์ต่อไปเรื่อย ๆ ว่าสิ่งที่นางคิดในใจนั่นถูกหรือผิดกันแน่

ซูหวานหว่านจึงตัดสินใจเงี่ยหูฟังอย่างเงียบ ๆ “ท่านพี่ฉี!! เหตุใดท่านถึงได้อยู่กับนังซูหวานหว่านสองต่อสอง! ท่านชอบซูหวานหว่านหรือ ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร? นี่ท่านคู่ควรแก่ความพยายามของข้าแล้วงั้นหรือ!”

ตึง!

เสียงหนังสือกระทบกับโต๊ะไม้ในบ้านดังขึ้น ไม่นานฉีเฉิงเฟิงก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเรียบนิ่ง “หากข้าทำอันใด อย่างไร ที่ไหน กับใคร เหตุใดข้าต้องรายงานเจ้าด้วย แล้วถ้าหากข้าชอบซูหวานหว่านมันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

ซูหวานหว่านที่ได้ยินบทสนทนาดังกล่าวก็โล่งอกเนื่องจากนางมั่นใจแล้วว่าฉีเฉิงเฟิงไม่ได้ทำเรื่องแย่ ๆ อย่างที่นางคิด ทว่าอย่างไรก็ตามที่ฉีเฉิงเฟิงพูด…นั่นหมายความว่า…เขาชอบนางเหรอ!

เมื่อคิดเช่นนั้นหัวใจของเด็กสาวก็เต้นตึกตักและหน้าแดงขึ้นมาทันที

“หึ! แล้วท่านพี่จะเสียใจ!” เด็กสาวผู้นั้นพูดขึ้นพร้อมกับกระทืบเท้าอย่างเอาแต่ใจก่อนเปิดประตูแล้ววิ่งออกมาจากบ้านของฉีเฉิงเฟิงอย่างรวดเร็ว ซูหวานหว่านจึงพยายามเอียงตัวหลบเพื่อไม่ให้นางสังเกตเห็น

แม้ว่าจะไม่ได้ชนกัน ทว่าหญิงสาวผู้นั้นรู้สึกเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง และเมื่อเห็นว่าเป็นซูหวานหว่านนางก็พูดออกมาอย่างไม่เป็นมิตร “เจ้าไม่ได้ยินอะไรใช่หรือไม่เมื่อครู่?”

น้ำเสียงของเด็กสาวคนนี้ช่างแย่ซะจริง! ทั้งดูยโสและดูถือตัว

อะไรทำให้เด็กสาวผู้นี้ดูมั่นใจขนาดนี้กันนะ? ท่าทางที่นางแสดงออกมาเหมือนกับว่านางมองซูหวานหว่านเป็นคู่ปรับ

ซูหวานหว่านรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ดูเหมือนจะถูกมองว่าเป็นศัตรูหัวใจโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

สรุปแล้วได้ยินหรือไม่? หญิงสาวตรงหน้ากัดฟันกรอดอย่างไม่พอใจ “เหอะ! ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าได้ยินหรือไม่ เพราะยังไงเจ้าก็จะไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปยุ่งกับท่านพี่ฉีเด็ดขาด!”

หญิงสาวผู้นั้นพูดพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมา

ซูหวานหว่านลอบมองเด็กสาวผู้นั้นอีกครั้ง จึงสังเกตได้ว่าใบหน้าของนางถูกแต่งแต้มอย่างสวยงามด้วยเครื่องประทินโฉมราคาแพง โดยรวมแล้วนางดูสวยกว่าฮวงอี๋ฮวนอยู่มากเลยทีเดียว

ดูเหมือนว่าซูหวานหว่านจะไม่สนใจว่านางจะเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทว่าดูจากหน้าตาและลักษณะของคิ้วแล้วก็คงจะเป็นลูกสาวของท่านหัวหน้าหมู่บ้านแน่ ๆ

อยู่ ๆ หัวใจของซูหวานหว่านพลันเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ‘ป๋าย เย่วซิน’ เด็กสาวผู้นี้เป็นหญิงที่เลื่องลือเรื่องความงดงาม นางงดงามขนาดที่ว่านางปฏิเสธการขอแต่งงานของคนไปแล้วเป็นจำนวนกว่า 10 คนเลยทีเดียว

หรือว่า…. ที่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านเลี้ยงดูฉีเฉิงเฟิงที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่เป็นอย่างดี เพราะต้องการเลี้ยงและฟูมฟักเขาเพื่อให้มาเป็นสามีของลูกสาวของตัวเองกัน?