ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 244 หมัดเทพทลายฟ้า

จอมศาสตราพลิกดารา

“องค์ชาย พวกตระกูลถังน่าจะหนีออกจากเมืองไปแล้ว”

หลิวเฉิงหลงที่ต่อแขนกลับแล้วสีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย

ช่วงไม่กี่วันนี้ ในเมืองมีการติดตามจับกุมครั้งใหญ่ บังเอิญจับพวกชั่วช้าและเผ่าปีศาจได้มากมาย แต่กลับหาร่องรอยของพวกตระกูลถังไม่เจอ นี่ทำให้หลิวเฉิงหลงสงสัยว่าคนเหล่านี้ไม่อยู่ภายในเมืองแล้ว

องค์ชายสองเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน “ยังอยู่ในเมืองอย่างแน่นอน”

เขาที่พูดเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องมีสิ่งอ้างอิงของตัวเอง

แต่ว่าเขาแค่ไม่ได้บอกหลิวเฉิงหลงเท่านั้น

ไม่กี่วันมานี้ ผลงานของหลิวเฉิงหลงทำเขาผิดหวังเล็กน้อย

กระทั่งองค์ชายสองยังรู้สึกสงสัย ขุนนางมากความสามารถจากเมืองฉินในวันวานคนนั้น พอมาอยู่เมืองฉางอันหลายปี ความสามารถเขาถดถอยลงแล้วหรือไม่

“ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็อยู่กับหลี่มู่ทางนั้นเป็นแน่” หลิวเฉิงหลงก็พยายามแสดงความสามารถอย่างสุดกำลัง เพื่อเรียกคะแนนคืนกลับมาบ้าง เขาเอ่ยต่อ “ทั่วทั้งเมืองฉางอันตอนนี้ สถานที่ที่ยังไม่ได้ค้นเหลืออีกไม่มากแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือ ‘เรือนซอมซ่อ’ ของหลี่มู่”

องค์ชายสองส่ายศีรษะ

“ทางหลี่มู่ปล่อยไปก่อน ค้นหาในเมืองเสีย หากขุดสามฉื่อยังไม่พอ ก็ขุดลงไปสามสิบฉื่อ ขุดมันลงไปเรื่อยๆ คนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลถัง จงจับมาเฆี่ยนเสียให้หมด ข้ายอมสังหารหนึ่งหมื่น แต่จะพลาดเพียงหนึ่งเดียวไปไม่ได้” องค์ชายสองกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก

ในใจของหลิวเฉิงหลงสะท้านขึ้นมา

จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนเองอาจตีความหมายผิดไป

จริงๆ แล้วองค์ชายสองอาจไม่ได้ต้องการหาพวกตระกูลถัง แต่ทำตัวเป็นคนขี้เมาที่ไม่สนใจสุรา[1]?

เช่นนั้นแล้ว เป้าหมายขององค์ชายสองเป็นใครกัน?

เขารีบร้อนรับบัญชา จากนั้นเอ่ยว่า “ฝ่าบาท เจ้าสำนักยมบาลเดินทางมาถึงในเมืองแล้ว ต้องการเข้าเฝ้าองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ” สำนักยมบาลเป็นสำนักใหญ่ในจักรวรรดิฉินตะวันตก มียอดฝีมือมากมาย สองผีดิบยมบาลที่อยู่ข้างกายองค์ชายสองก่อนหน้านี้ ก็เป็นคนจากสำนักแห่งนี้เอง แต่ว่าต่อสู้จนตัวตายตอนเหตุจลาจลหน่วยเลี้ยงรับรองคืนนั้นแล้ว ที่เจ้าสำนักยมบาลมายังเมืองฉางอันครั้งนี้ คงด้วยสาเหตุนี้เป็นแน่

คนสำนักยมบาลย่อมไม่อาจตายเปล่า

“ให้พวกเขาเข้ามา” ใบหน้าขององค์ชายสองปรากฏรอยยิ้มบาง

ลือกันว่าเจ้าสำนักยมบาลเก็บตัวฝึกตนเป็นร้อยปี ในที่สุดก็ก้าวข้ามขีดจำกัด บรรลุเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์เรียบร้อยแล้ว

……

จวนตระกูลหนิง

“ท่านพ่อ ข้ากับเสวี่ยเอ๋อร์อยากไปที่ ‘เรือนซอมซ่อ’ เสียหน่อย…” หลังจากรายงานเรื่องกิจการแล้วเห็นว่าบิดาน่าจะอารมณ์ดี หนิงจิ้งที่คิ้วหนาตากลมโตจึงลองหยั่งเชิงอย่างระมัดระวังต่อหน้าหนิงหรูซาน

“เจ้าคนชั้นต่ำนั่น จะไปที่เรือนซอมซ่อหรือ? ตอนนี้หลี่มู่ผิดใจกับองค์ชายสอง กลายเป็นตั๊กแตนหลังฤดูหนาวไปแล้ว กระโดดโลดเต้นได้อีกไม่เท่าไร หากนางไปที่เรือนซอมซ่อนั่น จะไม่ทำให้องค์ชายสองมองตระกูลหนิงเป็นศัตรูหรือไรกัน?” ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้าปีคนหนึ่งตำหนิตรงๆ หลังได้ยินคำขอ

คนผู้นี้คือหนิงคัง คุณชายใหญ่แห่งจวนตระกูลหนิง

หนิงหรูซานมีบุตรชายสามคนและบุตรีสามคน ในนั้นมีเพียงหนิงจิ้งที่เป็นลูกนอกสมรส ครั้งหนึ่งหนิงหรูซานเมาจนขาดสติ และได้ร่วมหลับนอนกับสาวใช้คนหนึ่งจนเขาถือกำเนิดขึ้นมา

ส่วนบุตรชายสองคนและบุตรีสามคนเป็นลูกของภรรยาเอก ลูกชายคนโตหนิงคัง คนรองหนิงอัน ต่างเป็นพวกสำมะเลเทเมา ใช้สมองไม่ค่อยเป็น ทำตัวเจ้าสำอาง ใช้เงินเหมือนเทน้ำ บู๊ไม่ได้บุ๋นไม่ดี ทำการค้าก็ไร้ปัญญา หนิงหรูซานพยายามอบรมอย่างสุดความสามารถ ทว่าไม่เป็นผล ตอนนี้ทำได้เพียงเลี้ยงลูกชายสองคนนี้ไว้ในจวน ให้เงินติดตัวทุกเดือน แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่ยอมสงบเสงี่ยม มักก่อเรื่องสร้างปัญหาอยู่เสมอ ทำให้เขาไม่อาจสบายใจได้

ส่วนบุตรีอีกสามคน คนโตและคนรองนั้นออกเรือนไปหมดแล้ว คนหนึ่งแต่งงานกับพ่อค้า อีกคนแต่งกับทหารจากกำลังพลหลักของค่ายนอกเมือง ใช้ชีวิตไม่ดีมากแต่ก็ไม่แย่ ถือว่าพอถูไถไปได้ ส่วนลูกสาวคนเล็กหนิงอิงยังไม่ออกเรือน ได้รับความรักเอ็นดูจากหนิงหรูซานมากที่สุด แต่บุตรีคนเล็กนี้กลับหันหลังให้การแต่งตัว สนใจเรื่องการยุทธ์ เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์กับแม่ชีแขนเดียวแห่ง ‘อารามพินิจใจ’ ในเมืองแล้ว วิทยายุทธ์นางใช้ได้ ซ้ำยังชอบท่องยุทธจักร มีชื่อเสียงอยู่บ้าง และยังถือเป็นสาวงามที่มีชื่อของเมืองด้วย

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ คนทั่วไปมองความตกต่ำของตระกูลหนิงออกกันทั้งสิ้น คนตระกูลหนิงส่วนใหญ่กลับไม่รู้จักประเมิณตน เอาแต่วางมาดว่าเป็นลูกหลานของขุนพลใหญ่ นอนอยู่บนความรุ่งโรจน์ของบรรพบุรุษ หลายปีนี้ หากไม่ใช่เพราะเขาพยายามรักษามันไว้อย่างเต็มกำลัง จวนตระกูลหนิงคงไม่มีหน้าออกไปเชิดหน้าชูตาอีกแล้ว

มีเพียงหนิงจิ้งลูกนอกสมรสที่ขยันซื่อสัตย์เป็นทุนเดิม รับผิดชอบหน้าที่การงาน และยังช่วยเหลือกิจการบางส่วนของตระกูลได้ เดิมทีบุตรชายคนนี้ไม่อยู่ในสายตาของหนิงหรูซานเลย อย่างไรเสียหนิงจิ้งก็แค่เป็นคนซื่อสัตย์ แต่ยังไม่ฉลาดมากพอ ทำการค้าก็เพียงไม่ขาดทุน ทว่าก้าวหน้าได้ยาก สอบไม่ผ่านเรื่องทำให้ตระกูลรุ่งเรือง

แต่ทว่า หนิงจิ้งกลับได้แต่งภรรยาผู้หนึ่งที่มีพรสวรรค์ด้านการค้าอย่างน่าตะลึง ถึงแม้มีฐานะเป็นเพียงสาวใช้ แต่ด้านการค้า นางมีความสามารถที่แม้แต่พวกเถ้าแก่ใหญ่ในสมาพันธ์การค้าด้านนอกหลายคนก็ยังไม่มี ทำให้หนิงหรูซานตกตะลึงยิ่งนัก ดังนั้นในช่วงไม่กี่ปีนี้ เขาจึงค่อยๆ ให้สามีภรรยาหนิงจิ้งรับกิจการบางอย่างของตระกูลไป พวกเขาก็ดูแลจัดการได้เรียบร้อยสมบูรณ์และดีขึ้นเรื่อยๆ จวนตระกูลหนิงถึงรักษาสภาพการณ์ในตอนนี้เอาไว้ได้

แต่หากเป็นเช่นนี้ ก็ยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้บุตรชายสองคนที่เหลือคิดว่าบิดาลำเอียงให้กับคนชั้นต่ำลูกเมียน้อย ส่งต่ออำนาจดูแลกิจการให้คนใช้คนหนึ่ง จะมีคำครหามากมายตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

หนิงคังไม่ชอบขี้หน้าสามีภรรยาหนิงจิ้งมาโดยตลอด มักจะจิกกัดก่นด่าเสมอ ยามนี้สบโอกาสจึงตำหนิ ด่าตงเสวี่ยว่าเป็นคนชั้นต่ำ และไม่ยอมให้ทั้งคู่ไปยัง ‘เรือนซอมซ่อ’ นั้น

หนิงหรูซานกลับคิดอย่างตั้งใจ จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ก็ดีเหมือนกัน พวกเจ้าไปเถอะ”

เขาก็คาดหวังบางอย่างจากตัวหลี่มู่เช่นกัน

เรื่องที่ล่วงเกินองค์ชายสองนั่นก็จริง แต่หากพูดอีกที ก็เป็นแค่การปฏิเสธคำเชื้อชวนขององค์ชายสองเท่านั้น อัจฉริยะอายุสิบห้าปีที่บู๊และบุ๋นเป็นเลิศ เป็นทั้งเหวินจิ้นซื่อที่อายุน้อยที่สุดในจักรวรรดิ เป็นขั้นฟ้าประทานที่อายุน้อยสุดในแผ่นดินใหญ่ เมื่อนำทั้งสองมารวมกัน ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิต้องให้ความสำคัญแน่นอน หนำซ้ำเขายังเป็นบุตรชายของหลี่กังเจ้าเมืองฉางอัน แม้ช่วงนี้ดูแล้ว หลี่กังไม่มีความคิดที่จะให้หลี่มู่กลับมาอีกครั้งก็ตาม

กับคนเช่นนี้ ในตอนสถานการณ์ยังไม่เอื้อ จึงควรเข้าไปลงทุนด้านน้ำใจ ถือโอกาสส่งถ่านให้ท่ามกลางพายุหิมะ

หนิงจิ้งเมื่อได้ฟังก็ดีใจเป็นล้นพ้น เอ่ยว่า “ขอบคุณท่านพ่อ”

ส่วนคำก่นด่าของพี่คนโต แม้ว่าในใจเขาจะโมโห แต่ก็ไม่ได้ไปต่อปากต่อคำด้วย

เพราะเสวี่ยเอ๋อร์เคยบอกไว้แล้ว ไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องพวกนี้ ขอแค่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็พอ หนิงจิ้งเองก็ไม่เคยคิดไปทะเลาะเบาะแว้งกับพี่ชายทั้งสองเช่นกัน

สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์

สายลมฤดูใบไม้ร่วงแผ่วเบา ใบไม้เหลืองอร่ามปลิวไสว

เจ้าสำนักบัณฑิตเถี่ยจ้านยิ้มกว้างต้อนรับแขกคนสำคัญกลุ่มหนึ่งด้วยตนเอง

“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสจางมาเยือนที่นี่ นับเป็นเกียรติชั่วชีวิตของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์แห่งนี้จริงๆ” เถี่ยจ้านที่แต่ไหนแต่ไรมักอารมณ์ร้อน ในตอนนี้ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มนอบน้อม

เป็นเพราะว่าชายวัยกลางคนผมสีชาดที่นั่งอยู่ตรงข้าม คือหนึ่งในผู้อาวุโสสำนักดับนิวรณ์สาขาหลัก เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานสูงสุดที่เล่าลือกัน กระทั่งลือกันว่าจางปู้เหล่า ‘เทพสังหารผมสีชาด’ คนนี้บรรลุถึงขั้นเหนือมนุษย์แล้ว

สำนักดับนิวรณ์ หนึ่งในหกสำนักโบราณ สืบทอดมากว่าหมื่นปี ต้องมีสิ่งที่ทำให้ผู้คนตะลึงอยู่แน่ ปัจจุบันนี้ถึงแม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เท่าพวกสำนักเทพทั้งเก้าหรือสามสิบหกสำนักชั้นหนึ่ง แต่เบื้องหลังที่แฝงอยู่ในด้านมืดกลับไม่ใช่สิ่งที่มองข้ามได้เลย ถึงขั้นเล่าลือกันว่า จริงๆ แล้วหกสำนักโบราณอยู่เบื้องหลัง กำลังควบคุมราชวงศ์แผ่นดินใหญ่เสินโจวให้เข้าเปลี่ยนประวัติศาสตร์ พลังแท้จริงที่ซ่อนไว้ไม่ด้อยกว่าสำนักเทพทั้งเก้าเลยแม้แต่น้อย

เว่ยชงผู้อาวุโสแห่งสำนักดับนิวรณ์ที่ตายด้วยน้ำมือหลี่มู่ก่อนหน้านี้ เป็นเพียงผู้อาวุโสของสำนักฝั่งจักรวรรดิฉินตะวันตกเท่านั้น แต่ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ ตรงหน้าเป็นผู้อาวุโสจากสาขาหลักจริงๆ และเป็นคนใหญ่คนโตที่มีชื่อมาหลายร้อยปี

“เจ้าสำนักบัณฑิต ท่านอาจารย์มาครั้งนี้ หลักๆ แล้วก็เพราะเรื่องที่ผู้อาวุโสเว่ยของสำนักฝั่งจักรวรรดิฉินตะวันตกเจอกับเหตุร้าย จึงจะมาพักที่สำนักบัณฑิตของพวกเราระยะหนึ่ง ถือเป็นเกียรติของสำนักบัณฑิตเรามาก” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวคนหนึ่งรีบพูดขึ้น ใบหน้าเขาหล่อเหลา ขณะพูดจามีท่าทางหยิ่งทะนงอย่างไม่ปิดบัง

ชายหนุ่มคนนี้มีนามว่าเฮ่ออวิ๋นเสียง อดีตศิษย์อัจฉริยะของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ที่ออกไปเมื่อหลายปีก่อน เขาเป็นยอดปรมาจารย์ตั้งแต่อายุยังน้อย และไปต้องตาจางปู้เหล่าแห่งสำนักดับนิวรณ์จนไว้รับเป็นศิษย์ ครั้งนี้จางปู้เหล่ามายังเมืองฉางอัน การเลือกมาหยุดพักที่สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์แห่งนี้ก็เป็นความคิดเขา

สำหรับเฮ่ออวิ๋นเสียงแล้ว นี่ก็คือการกลับสู่บ้านเกิดอย่างภาคภูมิ

ก่อนหน้านี้ เขาก็ได้รับ ‘คำสั่งรวมตัวศิษย์เก่าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์’ ด้วย

“เจ้าสำนักบัณฑิตเถี่ยไม่ต้องเกรงใจ ข้ามาโดยมิได้รับเชิญ แค่นี้ก็รบกวนมากแล้ว เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจะมาสอนบรรยายการต่อสู้ให้สำนักสามวันก็แล้วกัน” จางปู้เหล่าผู้อาวุโสอายุกว่าร้อย แต่มองดูแล้วท่าทางอายุเพียงสี่ห้าสิบ ใบหน้ายังเป็นสุภาพบุรุษองอาจ ผมสีชาดเป็นสัญลักษณ์แทนตัวเขา คำพูดคำจาก็แสนจะเกรงใจ

“อา…หากเป็นเช่นนี้ก็ดีนัก” เถี่ยจ้านยินดีอย่างมาก

ผู้แข็งแกร่งระดับนี้มาสอนบรรยายการยุทธ์ในสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ศิษย์ในสำนักจะเรียนรู้ได้มากน้อยเพียงไหน ขอแค่เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป สำหรับสำนักบัณฑิตเหมันต์แล้วล้วนเป็นประกาศชั้นดี สามารถบอกได้ว่าพวกตนมีเส้นสายระดับไหน ถ้าหากร่วมมือกับสำนักดับนิวรณ์ได้อีกขั้น ความรุ่งเรืองในภายภาคหน้าของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ก็ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

“ได้ยินมาว่าหลี่มู่คนนั้นจะเข้ามายืมอ่านคลังคัมภีร์ของสำนักหรือ?” จางปู้เหล่าถามขึ้น

เถี่ยจ้านถอนหายใจ ตอบกลับว่า “ใช่ขอรับ หลี่มู่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย เย่อหยิ่งกำเริบเสินสาน คนระดับสูงในเมืองฉางอันต่างกังวลว่าจะไปยั่วโมโหอาจารย์ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังหลี่มู่เข้า จึงไม่ได้ลงมือทำอะไร ส่วนสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ของข้าไม่มีใครเป็นศัตรูกับเขา ดังนั้นจึง…เฮ้อ” เขาถอนใจหลายครั้ง

“ไม่เป็นไร ข้าจะอยู่ที่นี่รอหลี่มู่เอง ถึงอย่างไรเจ้าคนน่ารังเกียจคนนี้ก็เป็นผู้สังหารผู้อาวุโสเว่ย”  ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่ากล่าว

เถี่ยจ้านลิงโลด “หากผู้อาวุโสจางยินดีลงมือจัดการภัยนี้ให้ ก็ถือเป็นเรื่องดีมากจริงๆ”

เฮ่ออวิ๋นเสียงพูดยิ้มๆ “ท่านอาจารย์มาที่นี่ก็เพราะหลี่มู่ ท่านวางใจเถิด ข้าก็มีฐานะเป็นศิษย์สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์เหมือนกัน ไม่มีทางนั่งดูเฉยๆ แน่นอน”

คนของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ตรงนั้น เมื่อได้ยินต่างก็รู้สึกยินดี

ในที่สุดดาวช่วยชีวิตก็มาถึงแล้ว

สำนักตรวจการ

“สวีก้งเฟิ่ง ข้าน้อยไร้ความสามารถ ทำให้สำนักตรวจการของพวกเราต้องขายหน้า” หน่วยลาดตระเวนลู่หลีจื่อมีสีหน้าละอาย ก้มหน้าต่ำ เอ่ยด้วยความคับข้องใจ

อย่างไรเขาก็ยังไม่สามารถจัดการหลี่มู่ได้

เนื่องจากทำงานไม่สำเร็จ สำนักตรวจการสาขาหลักจึงตำหนิลงมา และส่ง ‘หมัดเทพทลายฟ้า’ สวีเซิ่งแห่งกลุ่มก้งเฟิ่งมาจัดการแก้ไขปัญหานี้

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองฉางอัน การตายของผู้ตรวจนายหนึ่ง หน่วยลาดตระเวนทำงานไม่ได้งาน ทำให้สำนักตรวจการรู้สึกเสียหน้า ถึงแม้ช่วงไม่กี่ปีมานี้การแย่งชิงอำนาจในสำนักตรวจการหนักหนานัก แต่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของสำนักตรวจการ แต่ละฝ่ายต่างก็ให้ความสำคัญมากเช่นกัน

………………………………………….

[1] คนขี้เมาที่ไม่สนใจสุรา เปรียบเปรยถึง สิ่งที่คิดทำไม่เป็นอย่างที่เห็น มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่