ตอนที่ 389 พบเผยสิบสามอีกครั้ง

พันธกานต์ปราณอัคคี

ณ เวลานี้เข้ามาในพื้นที่ลับเป็นครั้งแรกคนกลุ่มเหล่านี้ล้วนยังหาดอกสำลีตกสวรรค์ไม่พบ การบังเอิญเจอกันแม้จะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะตึงเครียดถืออาวุธเข้าหากัน 

 

 

ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าพื้นที่ลับย่อมต้องเป็นตระกูลใหญ่เหล่านั้น บางตระกูลที่ค่อนข้างโดดเด่นแม้จะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนก็ต้องเคยได้รับข้อมูลของแต่ละฝ่ายกันมาแล้ว ในตอนนี้เมื่อได้พบหน้ากันย่อมรู้ว่าเป็นใคร 

 

 

“พี่สยง” เฉิงหรูยวนกุมมือคารวะ 

 

 

เขาและคุณชายสยงสี่ผู้นี้ไม่เคยมีผูกสัมพันธ์กันมาก่อน แต่หลังจากที่เห็นข้อมูลแล้วกลับมีความประทับใจอย่างลึกซึ้ง เหตุผลไม่มีอะไรอื่นนอกจากในพื้นที่เซิงโจวแต่เดิมเป็นดินแดนของผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ แต่คุณชายสยงผู้นี้กลับเลือกฝึกสิ่งที่หาพบยากอย่างสายพละกำลัง 

 

 

พูดได้ว่าในตระกูลบำเพ็ญเพียรของเซิงโจวนี่ถือว่าขัดกับหลักทำนองคลองธรรมแล้ว 

 

 

เล่าต่อกันมาว่าในตอนนั้นหัวหน้าตระกูลสยงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตัดสินใจไล่เขาออกจากตระกูล ตราบจนเขาร่ำเรียนวิชาสำเร็จแล้วกลับมา วิชาการฝึกพละกำลังนั้นแข็งแกร่งไม่มีทีเปรียบ เมื่อทำการแข่งขั้นต่อสู้ในตระกูลก็กลายเป็นคนที่อยู่อันดับหนึ่งด้วยการกำราบศิษย์ระดับเดียวกันอย่างราบคาบจนหมดสิ้นถึงได้รับการยอมรับกลับมาอีกครั้ง และเพราะเหตุนี้คนผู้นี้ถึงได้พอมีชื่อเสียงในเซิงโจว 

 

 

แม้สยงสี่จะเลือกเดินทางบำเพ็ญเพียรสายพละกำลัง แต่ก็ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเหล่านั้น ไม่ได้มีรูปร่างใหญ่โตเอวหนา ในทางกลับกันรูปร่างของเขาไม่สูงไม่กำยำ สวมใส่เสื้อตัวสั้นที่กระชับคล่องแคล่วกล้ามเนื้อนูนขึ้นโดดเด่น หากเป็นผู้ที่ไม่รู้เรื่องจะต้องคิดว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ที่บึกบึนแข็งแรงเป็นแน่ 

 

 

สยงสี่กวาดตามองกลุ่มคนที่อยู่ตรงข้ามหมอกพิษ พยักหน้าน้อยๆ ให้เฉิงหรูยวน จากนั้นก็เดินต่อไปข้างหน้า 

 

 

ข้างกายกลับมีชายหนุ่มเสื้อฟ้าผู้ซึ่งผมขาวโพลนแต่สุขภาพดี ใบหน้างดงามไม่อาจที่เปรียบก้าวขึ้นมาจับข้อศอกเขาเอาไว้ กระซิบพูดสองสามประโยค 

 

 

ใบหน้าของสยงสี่ปรากฏแววประหลาดขึ้นมาแล้วหายไปในทันใด พลางมองที่หมอกพิษอีกครั้ง ท่าทีดูหวาดระแวงขึ้นมา 

 

 

“ตรงข้ามนั่นคือคุณชายเจ็ดของตระกูลเฉิงกระมัง” สยงสี่ถึงได้กุมมือคารวะ 

 

 

เฉิงหรูยวนควบคุมตนเองได้เป็นอย่างดี พยักหน้าน้อยๆ ตอบรับ “เป็นข้าน้อยเอง” 

 

 

“พี่เฉิง แม่นางผู้นั้นใช่แม่นางจอมพิษที่มีชื่อเสียงโด่งดังใช่หรือไม่” สยงสี่ชี้ไปทางหญิงสาวชุดดำผู้ซึ่งมีรูปร่างเย้ายวน ยืนตัวเป็นๆ อยู่ข้างกายเฉิงหรูยวน 

 

 

เฉิงหรูยวนมองแม่นางจอมพิษทีหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองสยงสี่ “ใช่แล้ว ” 

 

 

น้ำเสียงของสยงสี่แฝงความเกรงใจเอาไว้บางส่วน “ข้าได้ยินสหายพูดว่าหมอกพิษเบื้องหน้ามีฤทธิ์ทำให้คนสูญเสียสติสัมปชัญญะจนเกิดคลุ้มคลั่ง หากคิดจะผ่านไปอย่างไหลลื่นเกรงว่าต้องให้แม่นางจอมพิษออกโรง ไม่ทราบว่าพี่เฉิงยินยอมช่วยเหลือสักครั้งหรือไม่ ตัวข้าสกุลสยงย่อมจำจดไว้ในใจ” 

 

 

คำขอเช่นนี้หากเป็นผู้อื่นอาจปฏิเสธอย่างไม่คิด แต่เฉิงหรูยวนครุ่นคิดแล้ว หากจะไล่ต้นแกะหนึ่งตัวก็ต้องไล่ต้อน ไล่ต้อนแกะสามก็ต้องไล่ต้อนอยู่ดี เขาตกลงรับปากจู้ห้าและสวี่แปดแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างความเข้าใจผิดกับสยงสี่ 

 

 

“หากแม่นางจอมพิษสามารถทำลายหมอกพิษนี้ได้ ตัวข้าสกุลเฉิงย่อมต้องช่วยเหลืออย่างไม่เกี่ยงงอน” เฉิงหรูยวนพูดจบก็มองไปทางแม่นางจอมพิษทีหนึ่ง 

 

 

แม่นางจอมพิษพยักหน้า ก้าวขึ้นมาในมือมีขวดทรงน้ำเต้าขวดหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ปากพึมพำไม่หยุด ปล่อยเคล็ดวิชาที่ซับซ้อนวุ่นวายเข้าไปในน้ำเต้าหยกไม่หยุด เห็นว่าน้ำเต้าหยกส่องแสงประกายจัดจ้า เป็นประกายสวยงาม 

 

 

มุมปากของนางประดับรอยยิ้มบางๆ แสดงเสน่ห์กระชากวิญญาณออกมา แต่ดูเหมือนตัวนางไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้ ยื่นนิ้วเรียวยาวออกมาดึงปากน้ำเต้าออกด้วยท่าทีสงบนิ่ง 

 

 

ปากน้ำเต้าดูเหมือนมีแรงดูดมหาศาล ไออากาศสีเขียวอ่อนที่ลอยวนอยู่บนยอดหญ้าค่อยๆ ลอยหายเข้าไปในน้ำเต้า 

 

 

แม่นางจอมพิษโยนขวดน้ำเต้าหยกขึ้นกลางอากาศ น้ำเต้าหยกเริ่มเคลื่อนย้ายไปตามทิศทางต่างๆ ช้าๆ ทุกการเคลื่อนไหวหมอกพิษที่อยู่บริเวณนั้นก็จะถูกดูดจนหมดสิ้น 

 

 

ลอยวนเวียนอยู่กลางอากาศเช่นนี้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ หมอกพิษบริเวณนั้นก็สลายหายไปหมดสิ้น ทั้งหมดถูกดูดหายเข้าไปในน้ำเต้าหยก 

 

 

แม่นางจอมพิษชูมือขึ้นเรียก น้ำเต้าหยกลอยเข้ามาในมือ แต่ใบหน้าของนางกลับซีดขาวไปเล็กน้อย นางใช้ผ้าสีขาวผืนเล็กเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าผากอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มให้เฉิงหรูยวน “คุณชายเฉิง สำเร็จแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

จนถึงตอนนี้ริมฝีปากถึงได้ยกขึ้น แลดูมีความภูมิใจแฝงอยู่ 

 

 

พูดถึงเรื่องการสร้างพิษและควบคุมพิษนางกล้าพูดว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันไม่มีใครเป็นคู่แข่งนางได้ 

 

 

หมอกพิษถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น เฉิงหรูยวนไม่คิดอยู่นาน ประสานมือคารวะผู้คนกลุ่มนั้นแล้วจากไป 

 

 

จ้องมองทิศทางที่กลุ่มเฉิงหรูยวนจากไปอยู่นานสยงสี่ถึงหันกลับมา มองไปยังจู้ห้าและสวี่แปด 

 

 

“พี่สยงมีกิจใดหรือ” จู้ห้าเกิดนึกตื่นเต้น สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงถามขึ้น 

 

 

ดวงตาทั้งสองข้างของสยงสี่จับจ้องสองคน จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาเสียงกัง “พี่จู้ พี่สวี่ พวกท่านจะออกไปเองหรือจะให้น้องส่งพวกท่านออกไปดีเล่า” 

 

 

พูดจบก็เหลือบไปมองวงแหวนสีขาวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลทีหนึ่ง 

 

 

สีหน้าของจู้ห้าเปลี่ยนไปในทันใด แม้ว่าเขาจะสู้กับสวี่แปดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ทางนี้กลับสูญเสียไปเพียงคนเดียว ย่อมต้องไม่ยินยอมพร้อมใจกลับไปเช่นนี้เป็นแน่ 

 

 

สวี่แปดแม้จะแค้นสยงสี่ แต่คิดไม่ถึงว่าจู้ห้าเองก็หนีไม่พ้นเช่นเดียวกัน ใจรู้สึกเหมือนได้พ่นลมแค้นออกมาระลอกหนึ่งในฉับพลัน กลับกลายเป็นมองสยงสี่ถูกชะตาขึ้นมา 

 

 

“ขอลา” สวี่แปดประสานมือ พาผู้ช่วยเพียงคนเดียวเหยียบเข้าไปในวงแหวนสีขาว แววตาประกายยินดียินร้ายไปกับความโชคร้ายของผู้อื่น 

 

 

“พี่สยง ตอนนี้เรื่องดอกสำลีตกสวรรค์ยังไม่มีแม้แต่เงาให้เห็น ไม่จำเป็นต้องเอาเป็นเอาตายกับพี่น้องกระมัง” จู้ห้าไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก 

 

 

สยงสี่มองเขาด้วยอาการคลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะยิ้ม “พี่จู้เลือกดีแล้วหรือ” 

 

 

กลายเป็นว่าไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่นิดเดียว 

 

 

สีหน้าจู้ห้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ในที่สุดก็เข้าใจว่าคนที่ขัดหลักทำนองคลองธรรมอย่างเขาไม่รู้การไว้หน้าผู้อื่น 

 

 

เขากัดฟันแน่น “ได้ พี่สยง พวกเราได้พบกันใหม่แน่!” 

 

 

พูดจบก็หมุนตัวแต่จังหวะที่สยงสี่นำกลุ่มคนเตรียมหันไปอีกทาง จู้ห้าและผู้ช่วยอีกสี่คนหันกลับมาอย่างรวดเร็วต่างคนต่างใช้วิธีของตนเองโจมตีฝ่ายตรงข้าม 

 

 

ทางด้านสยงสี่เหมือนคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว หันกลับไปบุกโจมตีกลับในทันใด ทางด้านจู้ห้าที่ปราณดั้งเดิมเสียหายไปเยอะเพราะการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเห็นความแตกต่างได้ชัด เพียงแค่พริบตาเดียวก็ไม่มีแรงต่อสู้ดิ้นรน หมดปัญญาหนีรอดไปได้ 

 

 

มองดูห้าคนที่ถูกจับกุม สยงสี่ก้าวขึ้นมาข้างหน้าทีละก้าว 

 

 

“สยงสี่ เจ้า เจ้ากล้าหรือ!” จู้ห้าแสร้งทำเป็นแข็งข้อตะคอกออกมา 

 

 

สยงสี่สืบเท้าเข้ามาไม่หยุด เมื่อมาถึงข้างหน้าจู้ห้าก็ลากเขาขึ้นมาเหมือนเป็นลูกเจี๊ยบตัวเล็กๆ แล้วโยนเข้าไปในวงแหวนสีขาวในทันใด 

 

 

จากนั้นก็ไม่หยุดเขาโยนสี่คนที่เหลือเข้าไปทีละคน แล้วปัดมือไปมาพูดว่า “ไม่รู้กำลังตัวเอง!” แววตาสะท้อนความเย้ยหยันเอาไว้ 

 

 

ชายหนุ่มผมขาวโพลนผู้นั้นเขยิบเข้ามาใกล้ “ซื่อหยวน แล้วคุณชายเฉิงผู้นั้นจะทำเช่นไร” 

 

 

สยงสี่ขมวดคิ้ว สุดท้ายก็พูดออกมาอย่างไม่ยินยอยพร้อมใจเท่าไรนัก “ช่างเถิด ปล่อยเขาไป เฉิงเจ็ดไม่ใช่คนที่เอาไปเทียบกับคนอ่อนแอแบบนั้น” 

 

 

เฉิงหรูยวนและพวกเดินวนไปมาแต่ยังหาม่านพลังเคลื่อนย้ายสีเขียวไม่พบ จำต้องวนกลับมาด้วยความจนปัญญา พวกเขามุ่งหน้าตรงไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ 

 

 

“พี่เฉิง พบกันอีกแล้ว” มาถึงสุดปลายทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็บังเอิญพบกับกลุ่มสยงสี่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ไกลมีวงแหวนสีเขียวอยู่จำนวนหนึ่ง 

 

 

ทั้งสองกลุ่มแยกย้ายตำแหน่งไปอย่างรู้กันและกัน ต่างฝ่ายต่างเลือกม่านพลังเคลื่อนย้ายเหยียบเข้าไป 

 

 

ช่วงเวลาหลังจากนั้นเฉิงหรูยวนและพวกพ้องก็เริ่มไปกลับระหว่างเขตพื้นที่ต่างๆ ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดหาพบยากล้วนประสบมานับครั้งไม่ถ้วน การต่อสู้ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ประสบผ่านมาไม่น้อยเช่นเดียวกัน ไม่นานก็เริ่มรู้สึกว่าพบกลุ่มอื่นน้อยลงเรื่อยๆ 

 

 

จะว่าไปแล้วก็ใช่เขตไร้จนแห่งนี้แต่เดิมมีเขตพื้นที่มากมายไร้ที่สิ้นสุด แม้พวกเขาจะมีกลุ่มเยอะมากมาย แต่หากแยกย้ายไปเมื่อไรก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร พร้อมกับมีกลุ่มที่บังเอิญเจอแล้วปะมือกัน กลุ่มที่พ่ายแพ้ย่อมถูกโยนเข้าไปในวงแหวนสีขาวโดนขับไล่ กลุ่มคนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว 

 

 

พวกมั่วชิงเฉินเพิ่งจะฟื้นฟูพลังวิญญาณหลังจากสู้กับสัตว์อสูร พบวงแหวนสีเขียวกำลังจะเหยียบเข้าไปก็เห็นว่าวงแหวนสีเขียวนั้นส่องประกายพอให้เห็นร่างของคนหกคน 

 

 

ทั้งหกคนนั้นเมื่อเห็นพวกมั่วชิงเฉินก็ไม่รอช้า ต่างฝ่ายต่างบุกโจมตีในทันใด 

 

 

สถานการณ์ที่เปิดศึกต่อสู้ทันทีที่พบหน้าเช่นนี้ผู้คนทั้งหลายต่างประสบผ่านกันมาหลายครั้งแล้ว ออกกำลังแสดงฝีมืออย่างต่อสู้กับผู้ที่มาถึงไม่ลังเล 

 

 

คนที่สู้กับมั่วชิงเฉินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังผู้หนึ่ง คนผู้นั้นมีพละกำลังมหาศาล กำปั้นลมพุ่งมาทางมั่วชิงเฉิน 

 

 

มั่วชิงเฉินคิดว่าหากกำปั้นนี้พุ่งโดนเป้าตนเองคงจะต้องลอยกระเด็นเป็นแน่ 

 

 

แต่นางกลับไม่หลบหลีก มุมปากอมยิ้มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกไม่พอใจในทันใด กังวลว่ามีอะไรแอบแฝง แต่ตอนนี้เมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ พลังกำปั้นของเขาพุ่งไปที่หญิงสาวโดยไม่ลดลง 

 

 

ในชั่วขณะที่กำลังสัมผัสถึงผิวเนื้อของมั่วชิงเฉิน จู่ๆ นางก็ขยับตัว เห็นว่านางทิ้งตัวไปข้างหลังจากนั้นในจังหวะที่ทิ้งตัวลงไปกลับเอนไปทางซ้ายด้วยระยะที่ไม่น่าคาดคิด หลบเลี่ยงผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังพอดิบพอดี 

 

 

ความเร็วในการโจมตีของผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเร็วและมีพลังอย่างมาก แรงส่งย่อมมากเช่นเดียวกัน ในเสี้ยววินาทีที่กำปั้นพุ่งโดนอากาศต่อให้เขาเกิดความระแวงขึ้นในใจตอนนี้ก็ตั้งตัวไม่ทันแล้ว เขาเห็นว่าเบื้องหน้าจู่ๆ มีก้อนอิฐสีมองส่องประกายก้อนหนึ่งแล้วทั้งใบหน้าก็ปะทะเข้าไป เกิดเสียงดังกระหึ่ม 

 

 

เสียงดังก้องที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้คนที่กำลังต่อสู้มือกันต้องหยุด สายตาหันมามองทางมั่วชิงเฉินโดยไม่ได้ตั้งใจ 

 

 

พอดีกับที่นางกระโดดตัวลอยยกขาข้างหนึ่งเตะร่างของผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังลอยออกไปไกลจนตกลงบนวงแหวนสีขาวสายหนึ่ง กระพริบเพียงสองสามทีก็ไม่เห็นแม้แต่เงา 

 

 

มั่วชิงเฉินจับก้อนอิฐแน่นช้อนตามองคนอื่น มองดูว่าใครต้องการให้ตนเองช่วยเหลือบ้าง 

 

 

เห็นว่าคนอื่นดูตื่นตะลึงไปเล็กน้อย จึงเม้มปากยิ้ม “ท่านพี่ ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่” 

 

 

ยังไม่รอให้ถังมู่เฉินพูดอะไรคนที่ต่อสู้กับเขาก็ถอยหลังห่างออกไปจากขอบเขตการต่อสู้ โบกมือไปมาพร้อมพูดว่า “สหายเต๋าทุกท่านเข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้วจริงๆ” 

 

 

เฉิงหรูยวนอมยิ้มมองมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง ถึงได้หันไปทางคนผู้นั้น “จะเข้าใจผิดหรือไม่ไม่สำคัญ พี่น้องเชิญเถิด” ชี้ไปยังแสงสีขาวที่อยู่ไม่ไกล 

 

 

ผู้นำของกลุ่มนี้เขาไม่รู้จัก คิดว่าน่าจะไม่ใช่ตระกูลที่มีชื่อเสียงอะไร เฉิงหรูยวนที่ประสบพบพาลการต่อสู้มานานนับครั้งไม่ถ้วนย่อมขี้เกียจพูดไร้สาระ เลือกใช้วิธีที่เห็นผลมากที่สุด 

 

 

ผู้นำกลุ่มตรงข้ามกัดริมฝีปาก ถลึงตามองมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง “ได้ เจ้าเด็กน้อย ตัวข้าจำเจ้าไว้แล้ว!” 

 

 

เฉิงหรูยวนไม่รู้จักเขา แต่เขารู้จักเฉิงหรูยวน อดนึกเสียใจที่ตอนแรกไม่ดูสถานการณ์ให้ดีบุกชิงลงมือไปก่อน แล้วยังถูกเจ้าเด็กคนนั้นคุมตัวคนหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์คือความสามารถในการต่อสู้ยิ่งด้อยถอยลงไป 

 

 

ลูกผู้ชายเมื่อตกที่นั่งลำบากก็ต้องยอมถอยเพื่อที่จะไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง หากเขาไม่ไปก็แค่ถูกจัดการอีกครั้งเท่านั้นเอง 

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ฉวยโอกาสตัดสินใจดำเนินการอย่างฉับพลัน พลางถลึงตามองมั่วชิงเฉินอีกครั้ง แล้วถึงได้หันกลับไปด้วยท่าทางโมโห 

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาลง แววตาปรากฏความดูถูกขึ้นมา 

 

 

ต่อให้มีความสามารถไม่พอ แต่การถอยหนีโดยไม่สู้กับการสู้อย่างสุดความสามารถแต่พ่ายแพ้สุดท้ายแล้วก็ยังต่างกัน 

 

 

มีบางครั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ควรทำ พอทำแล้วดูขลาดเขลา แต่มีบางครั้งกลับเป็นเรื่องศักดิ์ศรีและจิตใจ ยอมแพ้ทั้งๆ ที่ไม่สู้ หลังจากนี้คิดจะพัฒนาขึ้นเกรงว่าคงเป็นเรื่องยากอย่างมาก 

 

 

“แม่นางถัง ของวิเศษของท่าน…ช่างวิเศษนัก” เฉิงหรูยวนมองก้อนอิฐที่ส่องประกายแสงสีทองทีหนึ่ง รู้สึกว่าคำชมนี้แลดูกระอักกระอวนอยู่เล็กน้อย 

 

 

เสิ่นฉงเหวินขมวดคิ้ว “น่าเกลียด!” 

 

 

หญิงสาวผู้หนึ่งถือก้อนอิฐหนึ่งก้อน ช่างหยาบคายนัก! 

 

 

ในตอนนี้เองที่วงแหวนสีเขียวอันหนึ่งเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นในฉับพลัน ทุกคนตั้งป้อมหวาดระแวงในทันใด แต่กลับพบว่ากลางวงแหวนนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา คนที่นำมานั้นสวมใส่ชุดสีเขียวแกมฟ้า เลิกคิ้วส่งยิ้มให้ “พี่เฉิง พี่เสิ่น เอ๋ แม่นางมั่วอย่างนั้นหรือ”