ขณะที่ลวี่หลีสงสัยว่าท่าทางของเยี่ยเซินที่มีต่อซูจิ่นซีนั้นจริงหรือเท็จ แม่นมฮวาก็รู้สึกว่าทัศนคติของซูจิ่นซีที่มีต่อไท่จื่อเยี่ยเซินนั้นเย็นชาและไม่เห็นอกเห็นใจจนเกินไป เยี่ยเซินพูดกับซูจิ่นซีอีกครั้งว่า “จิ่นซี เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ยินยอมเข้าวังเพื่อดูแลเสด็จแม่? ”
ซูจิ่นซีเพียงจิบชาเบาๆ โดยไม่พูดจาอันใด
ดวงตาแคบเรียวยาวของเยี่ยเซินหรี่มองซูจิ่นซี ทันใดนั้นเขาก็หยิบม้วนกระดาษสีเหลืองจำนวนหนึ่งออกมาจากเสื้อคลุมแขนกว้างปักลาย “พระชายาโยวอ๋องรับพระราชโองการ! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น นางรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็วเพื่อรับพระราชโองการ เยี่ยเซินอ่านพระราชโองการอย่างจริงจัง แน่นอนว่าเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ซูจิ่นซีถูกบังคับให้เข้าไปในวังหลวงทันที ไม่สามารถคัดค้านพระราชโองการได้
ซูจิ่นซีคุกเข่าลงบนพื้น ก้มศีรษะลง รอยยิ้มอย่างคนประสบความสำเร็จเผยที่มุมปากอย่างเชื่องช้า
ที่จริงซูจิ่นซีไม่ต้องการเข้าวังเพื่อตรวจพระอาการของฮองเฮา เรื่องทั้งหมดนี้นางได้วางแผนไว้แล้วอย่างพิถีพิถันและความคืบหน้าของเรื่องราวก็พัฒนาตามวิถีเดิมของนาง เรื่องราวทั้งหมดอยู่ในกำมือของนางแล้ว
เรื่องในตอนนี้สำเร็จเสร็จสิ้นลงแล้ว นางจะมีเหตุผลให้ไม่ไปได้อย่างไร
ซูจิ่นซีเพียงรอโอกาสให้การแสดงนี้เป็นจริงมากขึ้น รอให้ฮ่องเต้คิดว่าซูจิ่นซีถูกพระองค์บังคับให้เข้าวังหลวง มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่สามารถต่อรองสถานการณ์กับฮ่องเต้ได้
“จิ่นซี พระราชโองการของเสด็จพ่อได้รับสั่งลงมาแล้ว ไม่สามารถละเมิดได้ เจ้าควรจัดเก็บสิ่งของให้ดีและเข้าวังหลวงไปพร้อมกับข้าเถิด! ”
เยี่ยเซินมอบพระราชโองการไปยังเบื้องหน้าซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีน้อมรับพระราชโองการและยังคงนั่งลงบนม้านั่งหิน
เช่นเดียวกับรอยยิ้มพึงพอใจที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเยี่ยเซิน ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็พูดขึ้นว่า “ให้ข้าเข้าวังหลวงย่อมได้ ทว่าข้ามีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว”
รอยยิ้มของเยี่ยเซินค่อยๆ จางลง “ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขใด ตราบใดที่ข้าสามารถทำได้ ข้าจะรับปากเจ้า”
“ข้าต้องการพบเยี่ยโยวเหยา”
ใบหน้าของเยี่ยเซินมืดครื้มลงทันที เขามองไปที่ซูจิ่นซีชั่วครู่แล้วกล่าวขึ้นว่า “จิ่นซี ข้าบอกความจริงกับเจ้าดีกว่า! เสด็จพ่อรับสั่งคุมขังเสด็จอาไว้ในตำหนักเจิ้นหนาน ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ตำหนักเจิ้นหนานและไม่อนุญาตให้พบเขา”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
แม้ซูจิ่นซีจะคิดคำนวณถึงสิ่งที่แย่ที่สุด ทั้งยังคาดเดาเรื่องเช่นนี้ได้ ทว่าเมื่อได้ยินเยี่ยเซินพูดความจริงออกมาจากปาก นางก็ยังคงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
แม่นมฮวาและลวี่หลีที่ยืนอยู่ด้านข้างล้วนตกตะลึงอย่างมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าในกรณีใด ซูจิ่นซีต้องพบเยี่ยโยวเหยาให้ได้ นางต้องการรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ สิ่งใดที่ทำให้ความสมดุลระหว่างฮ่องเต้กับเยี่ยโยวเหยาลาดเอียง ฮ่องเต้จึงได้ลงมือทำบางสิ่งบางอย่างกับเยี่ยโยวเหยาขึ้นมาจริงๆ
“จิ่นซี เจ้าควรรู้นิสัยของเสด็จพ่อ เรื่องนี้เป็นรับสั่งของท่าน เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้ ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงมันได้! ”
ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้?
หึๆ นั่นมันสำหรับผู้อื่น!
ทว่าสำหรับซูจิ่นซี แม้แต่การตัดสินใจที่หนักแน่นก็ต้องถูกบดขยี้ให้แหลกเป็นผุยผงและกลายเป็นข้อยกเว้นให้จงได้
“นอกเสียจากว่าเจ้าจะให้ข้าได้พบเยี่ยโยวเหยา มิเช่นนั้น… ก็ไม่มีอันใดต้องพูดกันอีก! ”
ซูจิ่นซีมองไปที่เยี่ยเซิน นางพูดแปดคำสุดท้ายทีละคำ แสดงความมุ่งมั่นของตนอย่างมั่นคง
เยี่ยเซินมองซูจิ่นซีชั่วครู่ ทันใดนั้นก็หรี่ตาลงและพูดว่า “เจ้ามีความรู้สึกที่แท้จริงต่อเสด็จอาโยวอ๋องหรือ? ”
มีความรู้สึกที่แท้จริง?
ภายในใจของซูจิ่นซีกระตุกขึ้นอย่างกะทันหัน
ในคราแรก ซูจิ่นซีรู้สึกหวาดกลัวและขี้ขลาดเมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยโยวเหยา กระทั่งรู้สึกเขินอายเมื่อมองไปที่เขา จนกระทั่งบัดนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยโยวเหยา นางเริ่มมีความกล้าหาญมากขึ้น นางรู้สึกเศร้าเพราะการกระทำหรือคำพูดของเขา เจ็บปวดเพราะมีสตรีลึกลับนางหนึ่งมาอยู่ข้างกายเขา คาดหวังว่าเขาจะปรากฏตัว กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขา เริ่มคิดทุกสิ่งทุกอย่างแทนเขา ทั้งหมดนี้นับว่าเป็นความจริงใจ ซูจิ่นซีคิดว่านางคงมีความรู้สึกที่แท้จริงต่อเยี่ยโยวเหยาแล้วใช่หรือไม่?
“เยี่ยเซิน ท่านไม่สมควรยืนอยู่ตรงนี้และพูดคุยกับข้าเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ให้ข้าพบเยี่ยโยวเหยา หรือ… ไสหัวไป! ”
“เจ้าคิดขัดขืนพระราชโองการหรือ? ”
“ผู้ใดบอกว่าข้าขัดขืนพระราชโองการ พระราชโองการบอกเพียงว่าข้าได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวังหลวง ทว่าไม่ได้บอกว่าให้เข้าวังหลวงไปทำสิ่งใด นับว่าข้ารับพระราชโองการแล้ว หากข้าไม่ไปตรวจพระอาการของฮองเฮา พวกท่านจะทำอันใดกับข้าได้? ”
“เจ้า… ”
เยี่ยเซินสำลัก ไม่ว่าท่าทีของเขาที่มีต่อซูจิ่นซีจะดีเพียงใด ทว่าในที่สุดความอดทนของเขาก็มีขีดจำกัด เขากำหมัดแน่นอย่างเชื่องช้าและกล่าวว่า “ซูจิ่นซี เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก”
หึหึ!
หางจิ้งจอกโผล่ออกมาเสียแล้วกระมัง?
“อย่าคิดร่างพระราชโองการมาบังคับข้าให้ไปรักษาพระอาการประชวรของฮองเฮาอีก แม้แพทย์จะใจดีมีคุณธรรมทว่าก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ข้าแนะนำไท่จื่อว่าอย่าเสียเวลากับข้าดีกว่า ไปเชิญหมอมีฝีมือท่านอื่นเถิด! หากท่านเสียเวลาโดยใช่เหตุ เกรงว่าพระอาการประชวรของฮองเฮาคงไม่อาจรอท่าน! ”
ตอนที่เยี่ยเซินมาเชิญซูจิ่นซี เขาได้สั่งให้อวิ๋นจิ่นมาตรวจพระอาการของฮองเฮาแล้ว อวิ๋นจิ่นกล่าวว่ากำหนดระยะเวลาในการถอนพิษของฮองเฮา ไม่มีเวลาให้ล่าช้าได้อีกต่อไป
ดวงตาของเยี่ยเซินทั้งเย็นเยือกทั้งโกรธเกรี้ยว เขาจ้องมองซูจิ่นซีราวกับต้องการมองทะลุนางอย่างไรอย่างนั้น
ซูจิ่นซีดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด นางยกชาที่ถูกต้มขึ้นดื่มอึกแล้วอึกเล่าอย่างผ่อนคลาย
ในที่สุดเยี่ยเซินก็กัดฟันและพูดว่า “เอาล่ะ ซูจิ่นซี ข้ารับปากเจ้า! ”
“ท่านรับปากแล้วจะมีประโยชน์อันใด? ท่านสามารถตัดสินใจแทนฝ่าบาทได้หรือ? ”
“ข้ารับปากกับเจ้าว่า ตราบใดที่เจ้าเข้าไปในวังหลวงพร้อมกับข้า ข้าจะไปขอร้องเสด็จพ่อให้ทันที หากเสด็จพ่อไม่เห็นด้วยกับการให้เจ้าพบเสด็จอาโยวเหยา เจ้าจะไม่ถอนพิษให้เสด็จแม่ก็ย่อมได้! ”
“ไม่ทราบว่าไท่จื่อทรงมั่นใจเพียงใดว่าสามารถพูดกับฮ่องเต้ได้! ”
“เก้าในสิบ! ”
ซูจิ่นซีจิบชาอย่างสงบโดยไม่พูดอันใดแม้แต่น้อย
หากเยี่ยเซินคนก่อนพูดเช่นนี้ ซูจิ่นซีแน่ใจได้เพียงว่าเขาไม่มีความมั่นใจแม้แต่ส่วนเดียว เนื่องจากเขาเพียงคำนวณในใจเท่านั้น
ทว่าเยี่ยเซินในตอนนี้… แม้เขาจะดูแตกต่างจากเมื่อก่อน ทว่าซูจิ่นซีเชื่อเขาเพียงห้าส่วนเท่านั้น
เพราะนางไม่เชื่อฮ่องเต้ อีกห้าส่วนที่เหลือเป็นแผนการสมรู้ร่วมคิดของฮ่องเต้
อย่างไรเสียห้าส่วนนี้ก็เพียงพอแล้ว
“ได้! ” ซูจิ่นซีวางถ้วยชาในมือลง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ซูจิ่นซีและเยี่ยเซินก็เข้าไปในวังหลวงด้วยกัน
เยี่ยเซินพาซูจิ่นซีไปที่ตำหนักวังแห่งหนึ่งก่อน ส่วนตนเองไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้
คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเซินไม่ได้ตั้งใจขอร้องฮ่องเต้ เพราะฮ่องเต้กลับมาพบซูจิ่นซีด้วยตนเอง
“ซูจิ่นซี ข้าขอสั่งให้เจ้ารักษาฮ่องเฮาเดี๋ยวนี้” ฮ่องเต้รับสั่งอย่างเคร่งขรึมน่าเกรงขามและทรงโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง
เมื่อมองไปที่ฮ่องเต้ ดวงตาสง่างามของซูจิ่นซีพลันหรี่ลง นางเยาะเย้ยในใจชั่วขณะ
ฮ่องเต้ไม่ใส่พระทัยในคำขอของนาง เป็นดั่งที่นางคิดไว้ก่อนหน้านี้ พระองค์คิดจะบีบบังคับให้นางยอมประนีประนอม!
สายตาซูจิ่นซีหันไปมองเยี่ยเซินอีกครั้ง
ใบหน้าของเยี่ยเซินรู้สึกผิดเล็กน้อย เขาเดินมาเบื้องหน้าซูจิ่นซีและพูดกับซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบาว่า “จิ่นซี เจ้ารักษาพระอาการประชวรให้เสด็จแม่ก่อน รอให้พระอาการของเสด็จแม่ดีขึ้น แล้วค่อยเจรจาต่อรองเรื่องนี้กับเสด็จพ่อก็ยังไม่สาย”
ก่อนรักษาพระอาการประชวรของฮองเฮา พวกเขายังไม่เห็นสมควร หากรอให้พระอาการประชวรของฮองเฮาหายแล้ว เรื่องนี้ซูจิ่นซียังจะมีสิทธิ์พูดอีกหรือ?