บนชั้นที่สามแห่งหอคอยวิญญาณ ณ มุมหนึ่งซึ่งเป็นประตูขึ้นไปยังชั้นที่สี่ ฉินอวี้โม่กำลังยืนสนทนาอยู่กับผู้อาวุโสหลิวผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตู
“เสี่ยวอวี้โม่ ข้าจำได้ว่าข้าสัญญากับเจ้าไว้แล้วว่า หลังจากเปิดเรียนข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องของไป๋ฉี่”
ผู้อาวุโสหลิวมองฉินอวี้โม่แล้วเอ่ย ใบหน้าอาวุโสประดับรอยยิ้มเมตตา
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มตอบกลับด้วยความนอบน้อม นางจำได้ดี บุรุษอาวุโสที่อยู่ตรงหน้าสัญญาเช่นนี้ไว้จริง และนางก็เชื่อว่าผู้อาวุโสผู้นี้จะยอมบอกเล่าเรื่องราวให้นางได้รู้ตามที่เคยรับปากไว้
“ไป๋ฉี่เป็นอย่างที่เจ้าคาด เขาไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นวิญญาณ”
ผู้อาวุโสหลิวกล่าวตอบเรื่องตัวตนของไป๋ฉี่ออกมาตรง ๆ
คำว่า ‘วิญญาณ’ ในที่นี้หมายถึงจิตวิญญาณของสิ่งของต่าง ๆ เช่นอาวุธ อุปกรณ์หรือแม้แต่โอสถระดับสูง ต้องทราบก่อนว่า สิ่งของเหล่านี้หากมีระดับที่สูงส่งเพียงพอก็จะมีจิตวิญญาณของตนเองถือกำเนิดขึ้น จิตวิญญาณเหล่านี้หากก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับสูงก็จะสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้ และถ้าหากบำเพ็ญบารมีต่อไปจนถึงจุดหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์
“ไป๋ฉี่ คือวิญญาณของหอคอยวิญญาณ และเพราะว่าตอนนี้เขายังเป็นเพียงแค่วิญญาณทำให้ยังไม่สามารถออกไปนอกหอคอยได้ จนกว่าเขาจะฝึกฝนจนสามารถจำแลงร่างมนุษย์ที่แท้จริงได้แล้วเท่านั้น เจ้าหนุ่มน้อยถึงจะออกไปท่องเที่ยวยังโลกภายนอกได้”
ผู้อาวุโสหลิวอธิบาย ทว่านั่นกลับทำให้ฉินอวี้โม่สับสนหนักขึ้นกว่าเดิม
“ผู้อาวุโสหลิว ถ้าไป๋ฉี่บ่มเพาะพลังจนถึงขั้นกลายเป็นมนุษย์ได้ แล้วออกไปจากหอคอยวิญญาณจริง ๆ เช่นนั้นแล้วหอคอยแห่งนี้จะดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้ หากไป๋ฉี่ออกไปจากที่นี่ นั่นไม่เท่ากับว่าหอคอยวิเศษจะต้องกลายเป็นสถานที่ร้างไร้วิญญาณหรอกหรือ สมบัติระดับสูงที่ไร้ดวงจิตมีหรือจะคงพลังอำนาจเอาไว้ได้ เช่นนั้นแล้วมันจะไม่สูญเสียความพิเศษไปหรืออย่างไร ? ไป๋ฉี่คือวิญญาณของหอคอยแห่งนี้ หากไม่มีเขาอยู่ก็คงไม่ต่างจากการไร้เสาหลักคอยค้ำจุนเป็นแน่
“มันจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อใดที่หนุ่มน้อยผู้นั้นบ่มเพาะพลังจนกลายเป็นมนุษย์จริง ๆ ได้ เมื่อนั้นเขาก็จะมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะสั่นคลอนทั้งใต้หล้า สะท้านแผ่นฟ้า สะเทือนสวรรค์ได้เลย เมื่อถึงเวลานั้นของเพียงแค่แบ่งเศษเสี้ยวของพลังวิญญาณไว้หล่อเลี้ยงหอคอยแห่งนี้ มันก็จะอยู่ต่อไปได้แม้ว่าตัวเขาจะออกไปแล้วก็ตาม”
ผู้อาวุโสหลิวไม่ได้กังวลเกี่ยวกับปัญหานี้ ทว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่เขากำลังเป็นกังวลอยู่ในขณะนี้
“เสี่ยวอวี้โม่ ข้าคิดว่าเจ้ากับไป๋ฉี่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ข้าอยากจะขอร้องให้เจ้าช่วยสอนให้หนุ่มน้อยผู้นั้นรู้จักผิดชอบชั่วดี ให้เขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าให้เขาเลือกเดินทางผิดอย่างเด็ดขาด ถึงแม้รูปลักษณ์ของเขาจะมีอายุเท่า ๆ กับนักเรียนรุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้า แต่ความนึกคิดและสติปัญญาของเขาในตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กน้อย ในอนาคตถ้าเขาไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี และหากเขาบำเพ็ญบารมีจนสามารถออกไปภายนอกได้ เห็นทีว่าโรงเรียนราชสำนักของเราคงจะต้องพบเจอกับเรื่องลำบากมิใช่น้อย”
นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสหลิวเป็นกังวล หอคอยแห่งนี้เปรียบเสมือนร่างกายของไป๋ฉี่ การคงอยู่มาอย่างยาวนานทำให้เขาดูดซับเอาทั้งความคิด อารมณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงแรงปรารถนามากมายจากผู้คนที่เคยเข้ามาใช้งานหอคอยวิญญาณ สิ่งเหล่านั้นเองที่เป็นตัวบ่มเพาะอารมณ์ความรู้สึกของไป๋ฉี่ และมันก็ส่งผลให้จิตใจของเขามีทั้งด้านบวกและด้านลบผสมปนเปกัน
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือมันเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าจะคาดเดาได้ ในตอนนี้ที่ได้เห็นเขาอยู่ในภาวะสงบก็เป็นเพราะอารมณ์และความนึกคิดทั้งหลายยังคงรักษาสมดุลอยู่ได้ จิตวิญญาณแห่งหอคอยผู้นี้จึงดูเหมือนกับเด็กปกติธรรมดา
แต่ถ้าหากเขาพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ และยังดูดซับอารมณ์และความคิดมากมายของผู้คนเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด ไป๋ฉี่ก็อาจจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปในวันหนึ่ง และวันใดที่อารมณ์ด้านลบสามารถกลืนกินและควบคุมจิตใจส่วนใหญ่ของเขาได้ วันนั้นก็อาจจะเกิดหายนะขึ้นกับโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เวลาเช่นนั้นมาถึงและหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาที่น่าหวาดหวั่น มู่อวิ๋นจึงผนึกพลังของไป๋ฉี่ไว้ชั่วคราวซึ่งเป็นผลให้พลังของจิตวิญญาณแห่งหอคอยในรูปลักษณ์หนุ่มน้อยผู้นี้ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ในวันข้างหน้าอีกไม่ช้าก็เร็วไป๋ฉี่ก็คงจะทำลายผนึกนั้นได้ ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นความแข็งแกร่งของเขาจะก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดและไม่อาจหยุดยั้งได้
มู่อวิ๋นเองก็ทราบดีว่าหากจะแก้ปัญหานี้ให้ได้อย่างถาวรเขาจำเป็นจะต้องปลูกฝังความคิดที่ดีไว้ในหัวใจของไป๋ฉี่เพื่อให้เอาชนะสิ่งชั่วร้ายได้ ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้สำเร็จได้โดยง่าย
ทั้งอารมณ์และความคิดของไป๋ฉี่เหมือนกับเด็ก ๆ หากว่าเขาไม่ชอบใครเขาก็จะไม่สนใจฟังคนผู้นั้น ฉะนั้นแม้ว่าผู้อาวุโสหลายคนในโรงเรียนจะพยายามจะสื่อสารกับเขา แต่นอกเหนือจากผู้เฒ่าลึกลับเจ้าของชั้นเรียนข่ายอาคมแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่ไป๋ฉี่ยอมพูดคุยด้วยอีก
แต่เนื่องจากบุรุษผู้เฒ่าคนนั้นเป็นคนแปลกประหลาดและมีนิสัยเฉพาะตัว ดังนั้นแม้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับไป๋ฉี่จะค่อนข้างดีแต่น้อยครั้งนักที่เขาจะเข้าไปพบเจอและพูดคุยกับไป๋ฉี่
จนกระทั่งเมื่อไม่ถึงครึ่งปีที่ผ่านมา โรงเรียนราชสำนักก็เกิดความหวังขึ้น เมื่อพวกเขาค้นพบผู้ที่สามารถสร้างสัมพันธ์กับไป๋ฉี่ได้ และคนผู้นั้นก็คือฉินอวี้โม่ ในตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองนับว่าค่อนข้างดีมากทีเดียว
หากว่าไป๋ฉี่สื่อสารกับฉินอวี้โม่มากขึ้นจนสนิทสนมกระทั่งสามารถฝึกฝนร่วมกันได้ นั่นก็จะส่งผลดีกับการส่งเสริมอารมณ์และความคิดของไป๋ฉี่
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับรู้ นางเข้าใจถึงความกังวลของทางโรงเรียนอย่างกระจ่างชัด เมื่อการพัฒนาของไป๋ฉี่ไปผิดทาง นั่นก็หมายถึงหายนะที่จะต้องเกิดขึ้น เขาอาจจะกลายเป็นปีศาจร้ายที่ยากเกินควบคุม เรื่องนี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายในโรงเรียนเป็นกังวลมาโดยตลอด
และก็ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้จึงทำให้ผู้ที่รู้เรื่องตัวตนของไป๋ฉี่จำเป็นต้องมีเพียงท่านอธิการและผู้อาวุโสระดับสูงของโรงเรียนเท่านั้น เพราะยิ่งคนรู้มากก็ยิ่งก่อให้เกิดปัญหาได้ง่ายและอาจจะทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีใช้จุดเปราะบางในข้อนี้กระทำการชั่วช้าบางอย่างได้
“ข้าเข้าใจแล้วผู้อาวุโสหลิว ขอบคุณผู้อาวุโสที่ยอมเล่าความจริงให้ข้าฟัง”
เมื่อเข้าใจทุกอย่างจนกระจ่างฉินอวี้โม่ก็เอ่ยปาก บัดนี้ทั้งเจตนารมณ์ของท่านอธิการและเจตนาของผู้อาวุโสหลิว คุณหนูตระกูลฉินล้วนรับรู้เป็นอย่างดี
“เจ้าเป็นเด็กฉลาด เจ้าคงมีความคิดเป็นของตัวเอง พวกเราจะไม่บังคับเจ้าแต่อย่างน้อยเจ้าก็ช่วยเป็นสหายกับเขาหน่อยเถอะ อย่าให้เขาต้องหลงเดินในทางผิด”
ผู้อาวุโสหลิวยิ้มอ่อนโยน พวกเขาเชื่อในตัวฉินอวี้โม่ เชื่อในความพิเศษของนาง ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจบอกเล่าความลับสุดยอดดังกล่าวให้กับนักเรียนน้อยผู้นี้ไปตรง ๆ แม้จะไม่ได้คาดหวังแต่พวกเขายังแอบมีความหวัง พวกเขาเชื่อมั่นว่าฉินอวี้โม่จะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเหลือโรงเรียนราชสำนักในเรื่องนี้
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางกล่าว “ผู้อาวุโสหลิวโปรดวางใจ เรื่องนี้ขอให้ไว้ใจข้า หากท่านไม่มีสิ่งใดแล้วข้าอยากจะขอตัวขึ้นไปด้านบนก่อน ครั้งนี้ข้าตั้งใจจะเก็บตัวเป็นเวลาครึ่งปีเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับงานประชันยุทธ์ของโรงเรียน”
กล่าวจบนักเรียนผู้เป็นความหวังก็ก้มศีรษะให้บุรุษอาวุโส ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นที่สี่และมุ่งหน้าต่อขึ้นไปยังชั้นที่หกโดยไม่ลังเล
บนชั้นที่หก นอกเหนือจากห้องของไป๋ฉี่แล้ว ประตูของห้องอื่น ๆ ล้วนปิดสนิท ดูเหมือนทุกคนต่างก็ตั้งใจฝึกฝนกันอย่างหนักหน่วง
หน้าห้องทั้งหกที่มีผู้จับจองแล้วไม่มีผู้ใดยืนอยู่เลย ทว่าหน้าห้องที่เจ็ดกลับมีคนรออยู่จำนวนมาก พวกเขาทั้งหมดต่างล้วนกำลังรอคอยให้คนภายในห้องออกมาเพื่อจะได้เข้าไปใช้บ้าง แน่นอนว่าห้องที่เจ็ดนี้คือห้องว่างที่ไม่ได้มีผู้จับจองอย่างถาวร
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของฉินอวี้โม่ บางคนก็มีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาทันทีราวกับว่าพวกเขากำลังกลัวว่านักเรียนผู้มีชื่อเสียงจะเป็นคู่แข่งที่เข้ามาแย่งใช้ห้องกับพวกเขา ทว่าก็ยังมีบางคนที่สีหน้าปกติและเอ่ยปากทักทายฉินอวี้โม่อยู่เช่นกัน
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้ผู้ที่เอ่ยทักทายนางอย่างเป็นมิตร ก่อนจะพุ่งตรงไปยังห้องแรกที่เป็นของไป๋ฉี่โดยไม่ลังเล
“น้องอวี้โม่ เจ้าจะเข้าไปที่ห้องแรกไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหากเจ้าของห้องรู้ว่าเจ้าเข้าไป เขาจะลงโทษเจ้าอย่างหนัก เจ้ารีบออกมาเถอะ !”
เมื่อได้เห็นว่าฉินอวี้โม่เดินเข้าไปในห้องที่หนึ่งโดยไม่ลังเล บุรุษผู้หนึ่งก็รีบส่งเสียงเตือนนาง คิ้วของเขาขมวดเป็นปมยุ่งเหยิง
บุรุษผู้นี้คือผู้ที่อยู่ในอันดับเจ็ดของทำเนียบนภา มีนามว่า*–เนี่ยหรูเฟิง* เขาเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนหกดารา พลังการต่อสู้ของคนผู้นี้นับว่าไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่ไม่รู้จักผู้คนที่กำลังรออยู่ที่หน้าห้องที่เจ็ดเป็นการส่วนตัวเลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นเมื่อขึ้นมาถึงนางจึงไม่ได้เข้าไปทักทายพวกเขา ทว่าเนี่ยหรูเฟิงผู้นี้ ฉินอวี้โม่จำได้ว่าเมื่อแรกที่นางขึ้นมา เขาคือคนที่ยกยิ้มให้นางอย่างเป็นมิตร นางจึงยิ้มและพยักกลับไปตามมารยาท แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นห่วงนางจนถึงกับจะเอ่ยปากเตือนเรื่องของไป๋ฉี
“ขอบคุณรุ่นพี่เนี่ยหรูเฟิงที่มีน้ำใจช่วยเตือนข้า แต่ข้าไม่คิดว่าจะมีปัญหาใดหากเข้าไปใช้ห้องที่หนึ่ง อย่างไรในตอนนี้มันก็ว่างอยู่ ถ้าข้าจะเข้าไปฝึกฝนข้างในก็คงไม่เป็นอะไร”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวขอบคุณบุรุษผู้มีน้ำใจเนี่ยหรูเฟิง อดีตนักฆ่าสาวเข้าใจดี ห้องแรกนี้หากเป็นคนอื่น ไป๋ฉี่คงจะไม่ยินยอมให้เข้าไปอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ของนางกับไป๋ฉี่ถือว่าดีไม่น้อย ฉินอวี้โม่จึงคิดว่าแม้นางจะเข้าไปสหายผู้เป็นวิญญาณก็คงจะไม่มีปัญหา หรือถ้าหากเขาไม่ยินดีนางก็คิดเอาว่าน่าจะสามารถเจรจากับสหายผู้นี้ได้
นางอยากจะเก็บตัวอยู่ในหอคอยวิญญาณสักครึ่งปี ดังนั้นการอยู่ในห้องของไป๋ฉี่จึงถือว่าปลอดภัยมากที่สุดแล้ว เพราะหากใช้ห้องว่างห้องอื่นก็ไม่ทราบว่าจะถูกรบกวนเมื่อใด แต่ถ้าใช้ห้องนี้ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะเข้าใกล้เป็นแน่
“เนี่ยหรูเฟิง เจ้าอย่าไปห่วงเรื่องของผู้อื่นจะดีกว่า รุ่นน้องฉินอวี้โม่แข็งแกร่งเหนือผู้ใด แน่นอนว่านางคงไม่กังวลอะไรอยู่แล้ว ต่อให้เป็นเจ้าของห้องที่หนึ่งนางก็อาจจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยก็ได้”
ในโรงเรียนราชสำนักมีนักเรียนจำนวนมากมายและหลากหลาย แน่นอนว่าทัศนคติของแต่ละคนที่มีต่อคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินจึงแตกต่างกันออกไป ซึ่งเมื่อได้ยินคำพูดที่ตอบกลับเนี่ยหรูเฟิงไปเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่บางคนก็รู้สึกว่านางโอหังเกินไปและเกิดทัศนคติในแง่ลบ ยิ่งไปกว่ายังมีบางคนที่หมั่นไส้จนต้องกล่าววาจาเสียดสีออกมา
คนผู้นั้นคือผู้ที่อยู่ในอันดับหกของทำเนียบนภา เขาเองก็เป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนหกดารา ผู้มีนามว่า*–ปู้เฟยเทียน* อย่างไรก็ตามคนผู้นี้สนิทสนมกับจีหย่ง ดังนั้นแล้วการที่เขาไม่ชอบหน้าคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้จึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่าย เมื่อได้เห็นฉินอวี้โม่กำลังจะเข้าไปยังห้องที่หนึ่ง ไม่เพียงไม่คิดห้ามปรามแต่คนผู้นี้ยังรู้สึกตื่นเต้นและสะใจมากเมื่อคิดว่าจะได้เห็นความทุกข์ทรมานของนางหลังจากนี้
แม้จะใช้เวลาอยู่ในโรงเรียนราชสำนักได้เพียงไม่นาน แต่ที่ผ่านมาฉินอวี้โม่ก็สร้างวีรกรรมไว้หลายอย่างทำให้นางเป็นที่จับตามองของนักเรียนทุกคน แม้แต่ตัวปู้เฟยเทียนเองก็มองเห็นถึงความแข็งแกร่งและพิเศษของสตรีผู้โด่งดัง ทว่าเขาก็มองว่ารุ่นน้องเข้าใหม่ผู้นี้ยโสโอหังเกินไป อีกทั้งที่นางเคยมีเรื่องราวกับจีหย่งก็ทำให้ความประทับใจในตัวฉินอวี้โม่ย่ำแย่จนถึงกับเลวร้าย ซึ่งตอนนี้มันก็ทำให้เขาอยากจะเห็นเหลือเกินว่าหากสตรีโอหังผู้นี้ถูกเจ้าของห้องที่หนึ่งสั่งสอนอย่างหนักมันจะน่าสนุกมากเพียงใด และน่าจะยังกล้าทำตัวโอหังต่อไปอีกหรือไม่
“ปู้เฟยเทียน รุ่นน้องอวี้โม่อาจจะเพิ่งเคยมาที่ชั้นหกก็ได้ มีเรื่องหลายเรื่องที่นางยังไม่รู้ ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่เราก็ควรจะเตือนนาง ข้าจะเตือนนาง ถ้าเจ้าอยากจะยืนรอดูความทุกข์ของผู้อื่นก็เชิญรออยู่ตรงนี้ต่อไป อย่าได้วิพากษ์วิจารณ์ให้มากนัก !”
เห็นได้ชัดเจนว่า เนี่ยหรูเฟิงนั้นไม่ถูกกับปู้เฟยเทียน เพราะเมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่าย เนี่ยหรูเฟิงก็หันไปจ้องตาเขม็งในทันที ทว่าฝ่ายหลังเองก็ถลึงตาใส่อย่างไม่กลัวเกรงและทำราวกับพร้อมจะมีเรื่องได้ทุกเวลาเช่นกัน
“เนี่ยหรูเฟิง เรื่องที่เจ้าพยายามจะประจบประแจงฉินอวี้โม่อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ใคร ๆ ก็เดาใจเจ้าออกทั้งนั้น เจ้ารู้ว่าคู่หมั้นของนางก็คือหานโม่ฉือที่เจ้าเทิดทูน ยอมรับมาเถอะว่าเจ้าอยากจะเอาใจนางเพื่อหาทางตีสนิทหานโม่ฉือใช่ไหมเล่า ?!”
ปู้เฟยเทียนกล่าววาจาแทงใจพลางสาดสายตาดูแคลนจ้องมองเนี่ยหรูเฟิง เขาไม่รอให้อีกฝ่ายตอบโต้ก็กล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้น ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบข้า เรื่องนั้นก็เป็นเพราะเจ้าแพ้ข้าเป็นประจำ ถ้าเจ้าข้องใจนัก งั้นรอให้ข้าเข้าไปฝึกในห้องที่เจ็ดได้ก่อน ออกมาเราค่อยประลองกัน ถึงตอนนั้นเจ้าจะได้รู้ว่าการพูดจาอวดดีกับข้าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร”
ปู้เฟยเทียนสาดวาจาทิ่มแทงอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้า แม้แต่ฉินอวี้โม่ฟังแล้วยังรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ไม่ต้องกล่าวถึงเนี่ยหรูเฟิงผู้ถูกกระทำเลยสักนิด
“ปู้เฟยเทียน ข้ายอมรับว่าที่เจ้าพูดมาก็มีส่วนถูก ข้านับถือรุ่นพี่หานโม่ฉือจากใจ เขาคือตำนานของโรงเรียน ไม่เพียงแค่ข้าคนเดียว หลายคนในโรงเรียนก็นับถือเขาทั้งนั้น แต่การที่เจ้ากล่าวหาว่าข้าจงใจประจบรุ่นน้องอวี้โม่เพื่อตีสนิทกับรุ่นพี่หานโม่ฉือนั้นถือเป็นการสบประมาทข้า ถ้าข้าอยากจะประจบนางจริงข้าคงทำไปตั้งนานแล้ว ไม่รอมาถึงครึ่งปีเช่นนี้แน่ !”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ บุรุษผู้เดือดดาลก็กล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้นเจ้าก็อย่าจองหองให้มันมากนัก จริงอยู่ที่เจ้าอยู่ในอันดับที่สูงกว่าข้าและอาจจะแข็งแกร่งกว่าข้า แต่สักวันหนึ่งข้าจะเหนือกว่าเจ้าให้ได้ ข้าจะก้าวข้ามทุกคนที่อยู่ตรงหน้าข้า แต่ไม่ต้องห่วงไปเพราะข้าจะให้เกียรติทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่าก็ตาม ข้าไม่เหมือนกับเจ้ากับที่เที่ยววางท่ายิ่งใหญ่ข่มผู้อื่นจนน่ารังเกียจอย่างแน่นอน”
— แปะ แปะ แปะ ! —
เมื่อได้ฟังวาจาเด็ดเดี่ยวที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นของบุรุษรุ่นพี่ ฉินอวี้โม่ก็อดปรบมือให้เขาอย่างชื่นชมไม่ได้
สิ่งที่เนี่ยหรูเฟิงกล่าวไม่มีผิดเลยสักนิด ถ้าเขาต้องการประจบประแจงนางเขาก็คงทำไปตั้งนานแล้ว หากมีเจตนาเช่นนั้นจริงเขาคงไม่รอคอยจนถึงวันนี้ การที่เขาเตือนนางก็เป็นเพราะไม่อยากให้นางเดือดร้อน
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะด้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม ทว่าหัวใจของเนี่ยหรูเฟิงผู้นี้กลับแข็งแกร่งและน่าชื่นชมกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้
เนี่ยหรูเฟิงผู้นี้นับว่าเป็นคนดีที่น่าคบหาคนหนึ่ง
อายุของเขายังไม่มาก อีกทั้งยังมีใจนักสู้และทัศนคติที่ดี หากว่าเขาไม่ละทิ้งความมุ่งมั่นแน่วแน่เหมือนเช่นในวันนี้ไป ในอนาคตเขาคงเป็นดั่งกระบี่คมกล้าที่สามารถสะบั้นหัวใจของทุกคนได้ทีเดียว
บัดนี้ใบหน้าของปู้เฟยเทียนบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าตอบโต้เขาถึงขนาดนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการปรบมือของฉินอวี้โม่ยิ่งเสมือนสาดน้ำมันเข้ากองไฟ มันทำให้เขาเกิดอาการหงุดหงิดจนเกิดจะทนไหว
บุรุษผู้อยู่ในอันดับที่หกของทำเนียบนภาจ้องมองเนี่ยหรูเฟิงด้วยสายตาและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง