บทที่ 171 นายท่านห้า

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 171 นายท่านห้า

หลินเป่ยเฉินไม่ได้ถอยหนี แต่กลับเดินตรงเข้าไปหากลุ่มคนฝ่ายตรงข้าม พร้อมกับควักป้ายประจำตัวของผู้เฒ่าหมื่นพิษออกมาจากหน้าอก พลางคำรามออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าคือลูกศิษย์ของผู้เฒ่าหมื่นพิษ มีใครคิดขวางทางข้าหรือไม่?”

นี่คือป้ายประจำตัวที่เขาขโมยมาจากศพของผู้เฒ่าหมื่นพิษ

บรรดานักล่าอสูรรีบลดอาวุธลงทันที

หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าบนป้ายประจำตัวมีคำว่า ‘สมาคม’ สลักเอาไว้ด้วย

เพราะมีแต่บุคคลระดับสูงในสมาคมเท่านั้น ถึงจะได้ครอบครองป้ายประจำตัวในลักษณะนี้

นี่จึงกลายเป็นใบเบิกทางชั้นดีให้กับเด็กหนุ่ม

ชายฉกรรจ์นักล่าอสูรกลุ่มนั้นมีสีหน้าตะลึงลานแล้ว

“สรุปว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

หลินเป่ยเฉินเอียงหัวทำมุม 45 องศา ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

นี่คือคำถามที่ต้องการคำตอบ

นักล่าอสูรร่างกายผอมสูงผู้หนึ่ง ตอบว่า “นางผู้หญิงคนนี้หลบหนีออกมาจากสังเวียนต่อสู้ขอรับ…”

เพี๊ยะ!

หลินเป่ยเฉินตบหน้าชายฉกรรจ์ผู้นั้นอย่างแรง จนชายฉกรรจ์ตัวหมุน 360 องศา

ก่อนที่เขาจะคำรามด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า “เจ้าเห็นว่าข้าตาบอดหรืออย่างไร? ข้าเห็นอยู่แล้วว่านางหลบหนีออกมาจากข้างใน…ข้าอยากรู้ว่าทำไมคนของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ ถึงยังไม่ถูกขายออกไปหมดอีก?”

นักล่าอสูรร่างกายผอมสูงคนนั้นล้มลงไปนอนอยู่กับพื้น ฟันร่วงแทบหมดปาก

จึงเป็นชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง รับหน้าที่ตอบคำถามแทนว่า “สตรีนางนี้ร่างกายกำยำยิ่งกว่าหมีควาย ทำให้ขายไม่ออกเลยขอรับ สุดท้ายจึงถูกส่งตัวมาที่สังเวียนต่อสู้ วันนี้ถึงกำหนดที่นาก็ต้องลงไปเดิมพันชีวิต ใครจะคิดเลยว่านางกลับสามารถสังหารหมาป่าน้ำแข็งทั้ง 2 ตัวด้วยมือเปล่า และวิ่งหนีออกมาจากสังเวียน โดยที่พวกเราไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้…”

“พาข้าเข้าไปดูข้างในหน่อย”

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง

นักล่าอสูรกลุ่มนั้นไม่กล้าลังเลอีกต่อไป รีบหันหลังกลับและนำทางเดินเข้าไปทันที

สังเวียนต่อสู้ที่ถูกกล่าวถึงนี้ มีลักษณะเหมือนโคลอสเซียมของชาวโรมันโบราณที่หลินเป่ยเฉินเคยเห็นผ่านซีรีส์และภาพยนตร์ เพียงแต่ว่ามันย่อขนาดเล็กลงมาเท่านั้น พื้นที่ตรงกลางสังเวียนมีอาณาเขตประมาณ 15 วา รายล้อมด้วยกำแพงหินที่มีความสูง 2 จั้งเศษ

ด้านบนกำแพงหินติดตั้งที่นั่งสำหรับรับชมการต่อสู้ไว้เนืองแน่น

ด้านในสังเวียนมีประตูเหล็กอยู่ 4 บาน

หลังประตูเหล็กทุกบาน คือกรงขังสัตว์ร้ายที่รอรับการปลดปล่อย

“ฮ่าฮ่าฮ่า จับนางคนนั้นใส่โซ่ตรวน แล้วโยนลงสังเวียนอีกครั้ง…”

เสียงหัวเราะด้วยความอำมหิตและวิปริต ดังมาจากที่นั่งทิศตะวันตกบนกำแพงหิน

เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป ก็จะพบเข้ากับบุรุษหนุ่มผมดำที่มีความสูงมากกว่า 8 เซี๊ยะ ร่างกายกำยำเหมือนหมีป่า ใบหน้าดุร้ายอำมหิต เขากำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์หินน่าเกรงขาม สวมใส่เสื้อกั๊กสีเขียวลักษณะแปลกตา บัดนี้กำลังหัวเราะออกมาด้วยความคุ้มคลั่ง

ลูกสมุนของเขาลากตัวอู๋หงมาสวมใส่โซ่ตรวนอีกครั้ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้นางมีวิชาตัวเบายอดเยี่ยม แต่ก็ไม่สามารถหลบหนีออกจากสังเวียนได้อีกแล้ว

“ข้าจะเริ่มเปิดการเดิมพันอีกครั้ง เรามาพนันกันเถอะว่านางจะสามารถรับมือสัตว์ร้ายได้นานสักแค่ไหน”

นักล่าอสูรร่างกายอ้วนพีผู้หนึ่ง ถือค้อนตีระฆังอยู่ในมือ ตะโกนออกมาเสียงดังฟังชัด

นอกจากมีรายได้จากการขายตั๋วเข้าชมแล้ว รายได้หลักอีกหนึ่งอย่างของสังเวียนต่อสู้นี้ ล้วนมาจากการพนันของกลุ่มคนดู และเงินทุกเหรียญที่พวกเขารวบรวมได้ จะถูกส่งตรงไปที่นายท่านห้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินสังเกตเห็นว่าในสังเวียนด้านล่าง มีศพมนุษย์ในสภาพไม่น่าดูชมสักเท่าไหร่หลายสิบศพ หมายความว่าวันนี้คงมีคนตายมาแล้วไม่ใช่น้อย

ส่วนใหญ่คนที่ถูกจับลงสู่สังเวียนต่อสู้ก็เป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งนั้น

ตุบ

แล้วอู๋หงก็ถูกจับโยนลงไปสู่สังเวียนต่อสู้อีกครั้ง

“จงลงไปหาเพื่อนของเจ้าซะ ฮ่าฮ่า”

ชายหนุ่มผมดำร่างกายกำยำเหมือนหมีป่า ผู้สวมใส่เสื้อกั๊กสีเขียวหัวเราะเยาะและขยิบตา ก่อนที่เด็กชายอายุประมาณ 8 ถึง 9 ขวบรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่ง จะถูกลากออกมาจากกรงไม้ และถูกจับโยนลงไปสู่สังเวียนต่อสู้ด้วยเช่นกัน

ตอนนั้นเอง หลินเป่ยเฉินถึงได้เห็นว่าข้างกายของเขามีกรงไม้ตั้งอยู่หลายกรง และมันเป็นสถานที่เอาไว้ใช้กักขังบุคคลหน้าตามอมแมมเหมือนทาสรับใช้จำนวนมาก

“ไม่นะขอรับ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ท่านปู่ของข้าน้อยตาบอด รอให้ข้าน้อยกลับไปหา…ถ้าไม่มีข้าน้อยคอยดูแล ท่านปู่คงต้องตายแน่ๆ ได้โปรดเมตตาข้าน้อยด้วยนะขอรับ ปล่อยข้าน้อยออกไปเถิด…”

เด็กชายตกกระแทกพื้นสังเวียนหิน ใบหน้าฟาดพื้นหิน เลือดไหลกบปาก แต่ก็ยังรีบลุกขึ้นมาคุกเข่า ขอร้องอ้อนวอนน้ำตาไหลพราก

เด็กชายผู้นี้มาจากครอบครัวยากจนไม่มีเงินซื้อยา ด้วยความที่ปู่ตาบอดป่วยไข้ไม่สบาย เขาจึงสมัครเข้ากลุ่มนักล่าอสูรเดินทางมาเก็บสมุนไพรวิเศษที่หุบเขาชายแดนเหนือ แต่ไม่คิดเลยว่ากลุ่มนักล่าอสูรที่เขาเข้าร่วม จะถูกดักปล้นระหว่างทาง สมาชิกในกลุ่มถ้าไม่ถูกฆ่าตายก็ถูกจับมาขายเป็นทาส ตัวเด็กชายนั้นโชคร้ายตกมาอยู่ในมือของลูกสมุนนายท่านห้า จึงถูกส่งตัวมาที่สังเวียนต่อสู้แห่งนี้ในฐานะอาหารของสัตว์ร้าย

แต่ไม่ว่าจะร้องขอความเมตตาอย่างไร บรรดานักล่าอสูรที่อยู่โดยรอบ ก็ไม่แสดงความเห็นใจเขาสักนิดเดียว

ในทางกลับกัน พวกมันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสนุกสนาน พร้อมกันนั้นก็ร่ำร้องให้เจ้าหน้าที่รีบเปิดประตูกรงขังสัตว์ประหลาดโดยเร็ว

อู๋หงเดินลากโซ่ตรวนเข้ามาช่วยประคองเด็กชายลุกขึ้นยืน “เจ้ามาหลบอยู่หลังข้า”

แกร๊ก!

เสียงประตูเหล็กค่อยๆ ยกขึ้นอย่างแช่มช้า

แฮ่!

แล้วเสียงขู่คำรามของหมาป่าน้ำแข็งก็ดังขึ้น

หมาป่าน้ำแข็งที่โตเต็มวัยแล้วสี่ตัว พุ่งทะยานออกมาจากหลังประตูเหล็ก พวกมันวิ่งเข้ามาหาอู๋หงเป็นจุดหมายเดียวกัน

อู๋หงเบิกตาโตด้วยความโกรธแค้น นางบิดลำตัว กำลังจะพุ่งเข้าไปปะทะกับพวกมัน…

ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว!

แต่ในทันใดนั้น ลำแสงสีเงินก็เป็นประกายวูบวาบ

หมาป่าน้ำแข็งสี่ตัวล้มคว่ำคะมำลงไปกับพื้น แขนขาหักผิดรูปผิดร่าง ในไม่ช้าก็นอนแน่นิ่งไป

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ ทำให้ทุกคนตกอยู่ในอาการตะลึงลาน

“ฝีมือผู้ใด?”

บุรุษหนุ่มผมดำเสื้อกั๊กเขียวลุกขึ้นยืนด้วยความพิโรธ ดวงตาที่คมเหมือนใบมีดของเขากวาดมองรอบตัว “เจ้าตัวบัดซบผู้ใดกล้าเข้ามาก่อกวนการแข่งขันในสังเวียนของข้า ไม่ทราบว่ามันผู้นั้นไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน รู้หรือไม่ว่าเจ้าจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง?”

หลินเป่ยเฉินลดมือลงอย่างช้าๆ

แน่นอนว่ามันต้องเป็นฝีมือของเขาอยู่แล้ว

เพียงแต่เขาไม่คิดว่าตนเองจะลงมือรวดเร็วเช่นนี้

แต่เพราะเห็นอู๋หงยินดีอุทิศชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องเด็กชาย หลินเป่ยเฉินจึงรู้สึกซาบซึ้งใจจนทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้อีกต่อไป

จะอย่างไรการช่วยเหลือคนก็สำคัญที่สุดอยู่แล้ว

หลินเป่ยเฉินพลิ้วกายกระโดดลงไปยืนอยู่ใจกลางสังเวียนต่อสู้ ก่อนหันหน้าไปยังทิศทางของชายหนุ่มเสื้อกั๊กเขียว และแสดงป้ายประจำตัวของผู้เฒ่าหมื่นพิษให้อีกฝ่ายดู “ด้วยนามของนายท่านสี่ ข้าได้รับคำสั่งให้มาพาตัวผู้หญิงคนนี้ไปทดสอบยาที่ถ้ำหมื่นพิษขอรับ”

“พี่สี่อยากได้คนอย่างนั้นหรือ?” บุรุษหนุ่มผมดำเสื้อกั๊กเขียวกระโดดลงจากบัลลังก์หิน มายืนอยู่ในสังเวียนต่อสู้ด้วยเช่นกัน ยามเมื่อเท้าของเขาสัมผัสพื้น พื้นหินก็สั่นสะเทือนเล็กน้อยด้วยระดับพลังที่น่าเกรงขาม

“แล้วทำไมพี่สี่ไม่บอกข้าเองตอนที่เราประชุมกันครั้งสุดท้าย?” บุรุษหนุ่มผมดำมองหน้าหลินเป่ยเฉินไม่วางตา

พี่สี่?

อย่าบอกนะว่าไอ้หมอนี่คือนายท่านห้า?

หลินเป่ยเฉินลอบอุทานร้องหามารดาอยู่ในใจ

ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาเจอตอเข้าอย่างจัง

“เพราะคนที่ถูกส่งตัวไปทดลองยารอบสุดท้ายตายหมดแล้วขอรับ อาจารย์ต้องการคนใหม่ สตรีนางนี้มีร่างกายกำยำสมบูรณ์ดี อาจารย์จึงอยากได้ตัวนางไปทดลอง”

หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่านี่เป็นคำอธิบายที่มีเหตุมีผลที่สุด

แต่บุรุษหนุ่มผมดำกลับแค่นหัวเราะออกมาเหมือนได้รับฟังเรื่องตลก “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของถ้ำหมื่นพิษตั้งแต่เมื่อไหร่?”

หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็ตอบว่า “ข้าน้อยเพิ่งจะได้รับการบรรจุเป็นลูกศิษย์ไม่นานนี้เองขอรับ”

บุรุษหนุ่มผมดำได้ยินดังนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจยิ่งกว่าเดิม “พี่สี่จะรับลูกศิษย์แต่ละที ยากเย็นขนาดไหนทำไมใครจะไม่รู้ การรับลูกศิษย์สักคนของเขาต้องจัดทำพิธีอย่างยิ่งใหญ่ ข้าไม่เคยเห็นเขารับลูกศิษย์คนใหม่มานานแล้ว เหอเหอ ตกลงว่าเจ้าเป็นใครกันแน่?”

หลินเป่ยเฉินพลันหงุดหงิดขึ้นมาในใจ ชักจะทนไม่ไหวแล้วนะโว้ย

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาและยิ้มมุมปาก

“ไม่ทราบว่าท่านจะถามอะไรนักหนาเนี่ย?”

บุรุษหนุ่มผมดำถึงกับชะงักไปทันที

หลินเป่ยเฉินพูดต่อว่า “รู้หรือไม่ถามมากไปมันจะเป็นภัยต่อตัวท่านเอง”

บุรุษหนุ่มผมดำผู้มีร่างกายกำยำกำลังจะลงมือโจมตีด้วยความเดือดดาล แต่แล้วแขนขาก็อ่อนแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน จุดก่อกำเนิดลมปราณไม่สามารถใช้งานได้ กล้ามเนื้อและกระดูกปราศจากเรี่ยวแรง เหมือนอยู่ดีๆ ร่างกายก็กลายเป็นอัมพาตขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“นี่มันฤทธิ์ผงหลับไหลไม่รู้ลืม…เจ้า…” บุรุษหนุ่มผมดำอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงและโกรธแค้น

หลินเป่ยเฉินดาวน์โหลดกระบี่โดรานมาถือในมือ ก่อนตวัดตัดออกไปในแนวขวาง พร้อมกับคำรามว่า “จงลงนรกไปซะ!”