บทที่ 316 ตัวตนถูกเปิดเผย
หยานหวูซวงเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างถนนด้วยจิตใจอันเศร้าหมอง ไม่เข้าใจเลยว่าผู้เป็นบิดากำลังคิดอะไรอยู่? พ่อยังไม่เคยคุยกับพี่หลิวเลยแท้ ๆ แล้วเชื่อไว้ยังไงให้เขาตามพี่หลิวออกไปผจญภัยจะปลอดภัย?
หยานหวูซวงจำเป็นต้องพึ่งพาหลิวเทียนเหอจริงๆ เหรอ? แต่เขาคือนายน้อยแห่งตระกูลหยาน เขาจะลดตัวลงไปคุกเข่าอ้อนวอนผู้อื่นได้ยังไงแล้วถ้าโดนปฏิเสธขึ้นมา จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
หยานหวูซวงเดินกลับไปกลับมาอยู่คนเดียว รำพึงรำพันเหมือนคนเสียสติ
“ไม่ได้ ฉันต้องไปหาพี่หลิวแล้ว เพราะเขาคนเดียวฉันถึงต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนแบบนี้” ในเมืองหยานเซวี่ย การที่หยานหวูซวงต้องการจะตามหาตัวใครสักคน ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเกินไปนัก
…
ฉู่ชวิ๋นรีบเดินทางกลับมาที่โรงแรม
“ไม่คิดเลยนะว่านายจะรู้สึกผิด” พลัน เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
ฉู่ชวิ๋นยิ้มด้วยความขมขื่น ตอบว่า “รู้สึกผิดเรื่องอะไร ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
ถึงจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหญิงสาวผมม่วงคนนี้ตั้งใจพูดจาเหน็บแนมเขา แต่ฉู่ชวิ๋นก็ไม่คิดเลยว่าเธอจะพยักหน้าเหมือนเห็นด้วย
ฉู่ชวิ๋นหรี่ตามองด้วยความไม่อยากเชื่อ นี่มันอะไรกัน? หรือว่าเธอจะประทับใจเขาเรื่องพฤติกรรมชั่วโฉดเข้าให้แล้ว?
“สำหรับคนดี นายก็เป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง แต่สำหรับคนเลว นายก็เลวยิ่งกว่าพวกมันทุกคน” หญิงสาวผมม่วงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ฉู่ชวิ๋นยักไหล่อย่างไม่ค่อยแยแสสักเท่าไหร่ “ไม่รู้นะ โลกนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว ทุกหนทุกแห่งมีแต่ความโกลาหล ฉันก็แค่อยากมีชีวิตอยู่รอด แล้วฉันก็อยากให้คนที่อยู่รอบตัวฉันได้อยู่ดีกินดี”
“นายคงอยากให้เธอรอดชีวิตมากที่สุดใช่ไหม?” หญิงสาวผมม่วงถามออกมา
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า รู้ดีว่าหญิงสาวผมม่วงกำลังพูดถึงฮวาชิงหวู่ เขาตอบว่า
“ฉันติดหนี้บุญคุณผู้หญิงคนนั้นเยอะเหลือเกิน”
แล้วพวกเขาทั้งสองคนก็พูดคุยเรื่องอื่นกันจิปาถะ
“วันพรุ่งนี้เราจะเดินทางเข้าปักกิ่ง” ฉู่ชวิ๋นว่า
หญิงสาวผมม่วงพยักหน้า ฉู่ชวิ๋นเคยเล่าให้เธอฟังแล้วว่าผู้หญิงที่ชื่อฮวาชิงหวู่อยู่ในเมืองปักกิ่ง
“ก๊อกๆๆ,,,!”
เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้นขัดจังหวะสองหนุ่มสาว
ฉู่ชวิ๋นยิ้มด้วยความโศกเศร้า รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าใครกำลังยืนอยู่หน้าประตู มีแต่คนที่ดื้อรั้นที่สุดเท่านั้นถึงจะไล่ตามมาจนถึงที่นี่
“พี่หลิว เปิดประตูให้ผมเดี๋ยวนี้เลยนะ” หยานหวูซวงส่งเสียงตะโกนอยู่หน้าประตู
ฉู่ชวิ๋นไม่มีทางเลือก นอกจากเดินไปเปิดประตูให้หยานหวูซวงเข้ามา
“น้องหยาน ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้เป็นคนขโมยดอกบัวจิตวิญญาณพวกนั้น”
หยานหวูซวงเดินเข้ามากวาดตามองรอบห้องขณะพูดว่า “ผมไม่ได้มาที่นี่เพราะเรื่องนั้นหรอก แต่ผมมาเพราะโดนพ่อไล่ออกจากบ้านแล้วต่างหาก”
“อ้าว!”
ฉู่ชวิ๋นกับหญิงสาวผมม่วงหันมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อผมคิดอะไรอยู่ ถึงไล่ผมให้ออกมาติดตามพี่นี่แหละ” หยานหวูซวงพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ฮะ!”
ฉู่ชวิ๋นมีสีหน้าสับสนอยู่ไม่น้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“ดังนั้น พี่ต้องยอมให้ผมติดตามไปด้วยแล้วล่ะ” หยานหวูซวงพูดหน้าตาเฉย
“น้องหยาน นายพูดเล่นใช่ไหมเนี่ย?” ฉู่ชวิ๋นตอบรับกลับไปได้เพียงคำนี้จริงๆ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เมื่อออกจากเมืองหยานเซวี่ย เขาก็คือฉู่ชวิ๋น ไม่ใช่หลิวเทียนเหออีกต่อไปแล้ว แล้วก็ไม่อยากเป็นด้วย เขาอยากใช้พลังลมปราณใจจะขาดแล้ว!!!
“ใครจะบ้ามาล้อเล่นเรื่องแบบนี้ ตอนนี้ผมกลายเป็นคนไม่มีบ้านไปแล้ว ไม่รู้พ่อผมคิดอะไรเหมือนกัน แต่พ่อสั่งให้ผมมาติดตามพี่” หยานหวูซวงบ่นอุบ
ฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกไม่พอใจเช่นกัน “น้องหยาน ฉันยังไม่เคยพบหน้าพ่อนายเลยสักครั้ง แล้วตาแก่คนนั้นคิดอะไรอยู่? ไม่กลัวฉันจับตัวนายไปขายหรือไง?”
“ตาแก่คนนั้น?” หยานหวูซวงมองหน้าฉู่ชวิ๋นอย่างไม่พอใจสักเท่าไหร่
“มันเป็นคำพูดติดปากของฉันน่ะ” ฉู่ชวิ๋นรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“น้องหยาน ฉันขอพูดตามตรงเลยนะ ฉันมันเป็นพวกขึ้นเหนือล่องใต้
ค่ำไหนนอนนั่น แถมยังอดมื้อกินมื้อ ลูกคุณหนูอย่างนาย ทนใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ไหวหรอก”
“ผมไม่สน ไปคุยกับพ่อผมเองเถอะ” เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว
หยานหวูซวงก็จำเป็นต้องเล่นบทคนหัวแข็งบ้าง
ฉู่ชวิ๋นไม่อยากจะเชื่อ “น้องหยาน นายเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ทำไมทำตัวหัวรั้นแบบนี้ล่ะ”
“ผมเรียนมาจากพี่นั่นแหละ” หยานหวูซวงตอบ
“…” ฉู่ชวิ๋นพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“น้องหยาน ครั้งนี้ฉันต้องเดินทางเข้าปักกิ่ง หนทางยังอีกยาวไกล เอาไว้ครั้งหน้านายค่อยไปกับฉันก็แล้วกัน” ฉู่ชวิ๋นพยายามเจรจา
“ไปบอกพ่อผมเองเถอะ ผมกลับบ้านไม่ได้แล้ว” หยานหวูซวงว่า
ฉู่ชวิ๋นพูด “ก็ฉันไม่รู้จักพ่อนาย ฉันจะไปคุยได้ยังไง? ไม่ว่ายังไงนายก็ตามฉันไปไม่ได้ ทำไมนายถึงดื้อรั้นแบบนี้?”
“ไปบอกพ่อผมเองเถอะ ตอนนี้ที่ผมต้องมานอนข้างถนนกลายเป็นคนไม่มีบ้าน มันก็เป็นเพราะพี่คนเดียว พี่หลิวนั่นแหละต้องรับผิดชอบ”
ฉู่ชวิ๋นนิ่งอึ้งตะลึงงัน หยานหวูซวงสมแล้วกับที่เป็นลูกคุณหนู จึงมีความเอาแต่ใจตัวเองอยู่หลายส่วน
ว่าแต่พ่อของเจ้าหมอนี่มันเสียสติไปแล้วหรือไง? ไม่กลัวว่าพวกเขาจะจับตัวหยานหวูซวงไปขายทิ้งบ้างหรือไง?
“ฉันควรทำยังไงดี?” ฉู่ชวิ๋นหันหน้าไปขอคำปรึกษาจากหญิงสาวผมม่วง
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ว่าแต่พ่อนายชื่ออะไรนะ?” ฉู่ชวิ๋นตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางไปเข้าพบ
บิดาของหยานหวูซวง เพื่อดูว่าชายชราผู้นั้นกินยาลืมเขย่าขวดหรือเปล่า?
เมื่อได้ยินชื่อของหยานกุยล๋ายจากปากหยานหวูซวงเรียบร้อยแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็ออกเดินทางไปยังบ้านตระกูลหยานทันที
“พี่หลิว อย่าคิดหลบหนีออกจากเมืองหยานเซวี่ยเด็ดขาดเลยนะ ต่อให้พี่มีปีกบิน ก็หนีไปจากที่นี่ไม่ได้หรอก” หยานหวูซวงส่งเสียงตะโกนไล่หลังมา
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเจ็บใจขึ้นมาทันที เนื่องจากตั้งใจเอาไว้ว่าเมื่อออกมาจากโรงแรม เขาจะส่งสัญญาณให้หญิงสาวผมม่วงเตรียมตัวหลบหนี แต่แผนการนี้กลับถูกเปิดโปงเข้าเสียแล้ว
ชายหนุ่มจำเป็นต้องเดินทางไปยังบ้านตระกูลหยานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“คุณชายหลิว นายท่านรอพบอยู่ในห้องโถงใหญ่แล้วครับ” พ่อบ้านประจำตระกูลหยานออกมายืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตู
ฉู่ชวิ๋นตกตะลึงเล็กน้อย หยานกุยล๋ายคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องมาหา
ในห้องโถงใหญ่ของบ้านตระกูลหยาน หยานกุยล๋ายนั่งส่งยิ้มให้กับฉู่ชวิ๋นที่เดินเข้าไป
“คุณชายหลิว เชิญนั่งลงก่อน”
หยานกุยล๋ายมีลักษณะที่ดูดีมาก การแต่งกายก็คล้ายกับหยานหวูซวงทุกกระเบียดนิ้ว
“นายท่านหยาน ผมมีเรื่องอยากจะถามหน่อย” ฉู่ชวิ๋นเริ่มเปิดประเด็นทันที
“เกี่ยวกับหยานเอ๋อร์ใช่ไหม?” หยานกุยล๋ายถามกลับมาตามตรง
หยานเอ๋อร์เรอะ? ฉู่ชวิ๋นรู้สึกปั่นป่วนมวนท้องขึ้นมาทันที หยานหวูซวงเติบโตจนเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์แล้ว ยังจะมาเรียกหยานเอ๋อร์เป็นเด็กทารกอยู่อีกเหรอ?
“ใช่ ฉันสั่งให้หยานเอ๋อร์ออกไปหาคุณชายหลิวเอง”
“ทำไมล่ะครับ? เราไม่เคยเจอกันเลยนะ” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจ
“เพราะว่าคุณชาย มันหน้าไม่อายไงล่ะ” หยานกุยล๋ายพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง
ฉู่ชวิ๋นปากกระตุก เกือบจะพ่นน้ำชาที่เพิ่งจะยกขึ้นจิบออกมาจากปากแล้ว ตาแก่คนนี้กำลังด่าเขาอยู่ชัดๆ
“คุณชายหลิว ได้โปรดอย่าเพิ่งเดือดดาล บางครั้งคำว่าหน้าไม่อายก็ไม่ใช่คำด่าเสมอไป” หยานกุยล๋ายยังคงพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม
“แล้วคุณไม่กลัวหรือครับ ว่าหยานหวูซวงมาติดตามผมแบบนี้ อาจจะเสียคนได้นะ?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หยานกุยล๋ายหัวเราะในลำคอ ตอบว่า “จากมุมมองของจอมยุทธ์ด้วยกันแล้ว ผมได้ยินเรื่องพฤติการณ์คุณชายหลิวที่สร้างเอาไว้บนภูเขาคุนหลุน ลูกชายผมมันโตมาจนป่านนี้ แต่ยังอ่อนต่อโลกมากเกินไป ผมอยากให้เขาได้เรียนรู้”
“ด้วยเหตุผลนี้ คุณก็เลยจะให้หยานหวูซวงออกมาเรียนรู้โลกกว้างกับผมเนี่ยนะ?”
หยานกุยล๋ายส่ายศีรษะ พูดว่า “ก็ไม่เชิงเสียทีเดียว แต่พฤติกรรมของคุณชายหลิวทำให้ผมนึกถึงใครบางคน”
“ใครเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นรู้สึกร้อนตัว
“ฉู่ชวิ๋น จอมมารฉู่ชวิ๋น” หยานกุยล๋ายตอบกลับมาด้วยดวงตาเป็นประกาย
ฉู่ชวิ๋นนิ่งอึ้ง จ้องมองไปที่หยานกุยล๋ายด้วยความไม่อยากเชื่อ อดรู้สึกรำคาญใจขึ้นมาไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ถูกเปิดเผยตัวตนจนได้สินะ นับว่าชายชราคนนี้มีสายตาเฉียบแหลมไม่เบา
แต่ถ้าเขาทำตัวมีพิรุธตั้งแต่ตอนนี้ ก็ออกจะเป็นการถูกเปิดเผยตัวตนที่ง่ายเกินไปสักหน่อย…ไม่สิโง่เลยมากกว่า
“จอมมารฉู่ชวิ๋น ชื่อนี้ผมก็เคยได้ยินมาบ้าง” ฉู่ชวิ๋นไม่ขอยอมรับความจริงนี้เด็ดขาด
หยานกุยล๋ายระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “ยิ่งคุณปฏิเสธแบบนี้ ฉันก็ยิ่งมั่นใจว่าคุณคือจอมมารฉู่ชวิ๋นแน่นอน”
“หา? ทำไมล่ะ?” ฉู่ชวิ๋นยังคงถามเสียงแข็ง
หยานกุยล๋ายตอบโดยไม่ปิดบังว่า “ไม่ว่าผู้ใดที่เข้ามาใกล้ชิดหยานเอ๋อร์ ฉันจะส่งคนไปตรวจสอบประวัติโดยละเอียดก่อนซึ่ง หลิวเทียนเหอไม่มีตัวตนอยู่จริง แต่ประวัติเข้าเมืองมีจอมมารฉู่ชวิ๋นอยู่ในนั้นและเขาก็ไม่ปรากฏตัวออกมาเลย ไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ”
ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ฉู่ชวิ๋นก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนอีกต่อไป ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “นายท่านหยาน ผมมีเรื่องอยากจะบอกกับคุณสักหน่อย”
“ได้โปรดพูดออกมา”
“คุณมันก็หน้าไม่อายเหมือนกัน” ฉู่ชวิ๋นว่า
“…” หยานกุยล๋ายพูดอะไรไม่ออก ริมฝีปากกระตุกด้วยความเดือดดาล
“นายท่านหยาน ก็อย่างที่คุณพูด บางครั้งคำว่าหน้าไม่อายก็ไม่ใช่คำด่าเสมอไป” ฉู่ชวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส
หยานกุยล๋ายกลับมามีใบหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง ส่งเสียงหัวเราะร่วนขณะพูดว่า “ที่แท้คุณก็คือจอมมารฉู่ จริง ๆ ด้วย”
“บอกความจริงมา ทำไมคุณถึงอยากให้หยานหวูซวงมาติดตามผม?” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายเย็นชา กล่าวต่อว่า “คุณก็รู้ ถ้าผมอยากฆ่าเขา ผมทำได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ”
พรึบ!
คำพูดของฉู่ชวิ๋นปลุกไฟโทสะของหยานกุยล๋ายให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
ร่างกายของหยานกุยล๋ายระเบิดพลังลมปราณออกมาอย่างรุนแรง พลังลมปราณพุ่งตรงเข้าใส่ฉู่ชวิ๋นเหมือนกับเป็นเกลียวคลื่น
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้ตื่นตกใจ โคจรพลังลมปราณจำแลงโต้ตอบกลับไปอย่างทันท่วงที
ในขณะนี้ พลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน โต๊ะและเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ในห้องโถงใหญ่ระเบิดกระจุยกลายเป็นเศษผง แม้แต่พื้นห้องก็เกิดรอยแตกร้าวขนาดใหญ่
หยานกุยล๋ายยังคงยืนอยู่ที่เดิม
ฉู่ชวิ๋นถอยหลังไปจากจุดเดิมประมาณครึ่งเมตร
หากนี่คือการแข่งขัน ฉู่ชวิ๋นก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ในการสู้ผ่านลมปราณ!
ฉู่ชวิ๋นถึงกับตกตะลึง หยานกุยล๋ายนับว่ามีความแข็งแกร่งมากจริงๆ
“จะสู้ก็เข้ามา?” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายเย็นชา ถ้าจะให้เริ่มต่อสู้กันจริงๆ เขาก็จะนับว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูแล้วนะ
“จอมมารฉู่ชวิ๋นอย่าเพิ่งเดือดดาล ฉันมีเรื่องจะเจรจาด้วย” บิดาของ
หยานหวูซวงรีบพูดออกมาทันที
ฉู่ชวิ๋นไม่ยินดีรับฟัง ดวงตาของเขาเย็นชาปานน้ำแข็ง ลมหายใจเริ่มพวยพุ่งรุนแรง ราวกับว่าสัตว์ร้ายในตัวกำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา
“นายท่านหยาน ตอนนี้ผมรู้สึกคันไม้คันมือ อยากได้รับคำชี้แนะจากคุณสักหน่อย”
เมื่อพูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็ร่ายวิชากลอักษร “ฆ่า” พลังลมปราณรูปตัวอักษรสีแดงสดพวยพุ่งเข้าไปใส่หยานกุยล๋ายด้วยความรุนแรง
หยานกุยล๋ายเครียดเขม็งอยู่หลายส่วน ไม่กล้าประเมินกระบวนท่านี้ต่ำเกินไป เขายกมือขึ้นซัดลมปราณออกมาเป็นรูปเสือตัวหนึ่ง เจ้าเสือตัวนั้นอ้าปากกว้าง ไล่งับพลังลมปราณรูปตัวอักษรทีละตัวอย่างรวดเร็ว
เปรี้ยง!
พลังลมปราณของทั้งสองฝ่ายระเบิดตัวอย่างรุนแรง คลื่นแรงระเบิดแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ สภาพของห้องโถงใหญ่ที่เคยสวยงามกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง ในอากาศมีแต่เศษฝุ่นลอยฟุ้งเต็มไปหมด
จอมยุทธ์ทุกคนของตระกูลหยานรีบเข้ามาดูด้วยความตื่นตกใจ
“คุณชายหลิว ไม่คิดจะพูดจากันแล้วใช่ไหม” หยานกุยล๋ายคำรามด้วยความโกรธแค้น ผู้ที่มีอาวุโสมากกว่าย่อมมีระดับพลังเหนือกว่าคือเรื่องปกติ แต่ใครจะคิดเลยว่าจอมมารฉู่จะแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นไร้อารมณ์ความรู้สึก ยกมือข้างหนึ่งขึ้นหมุนวนในอากาศและชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า
แว๊ก!
เสียงกรีดร้องที่แสบแก้วหูของนกเพลิงดังก้องในอากาศ นกเพลิงขนาดใหญ่บินโฉบลงมาจากท้องฟ้าด้านนอก เปลวไฟจากตัวมันเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบกาย
หยานกุยล๋ายรู้สึกเดือดดาลมาก ถ้านกตัวนี้บินต่ำลงมากกว่านี้ ตระกูลหยานของเขาคงถูกทำลายไปเกินครึ่ง
ในขณะนี้ หยานกุยล๋ายโคจรพลังลมปราณเต็มพิกัด รวบรวมพลังลมปราณที่มีทั้งหมดในร่างกาย ยิงคลื่นลมปราณออกไปปะทะกับนกเพลิงยักษ์บนท้องฟ้า
เปรี้ยง!
แผ่นดินสั่นสะเทือนด้วยแรงระเบิดขนาดใหญ่ ก้อนเมฆรูปเห็ดระเบิดตัวกลางท้องฟ้า เปลวไฟแผ่กระจายไปทั่วก้อนเมฆ สุดท้ายนกเพลิงตัวนั้นก็มลายหายไปกลางอากาศ
ฉู่ชวิ๋นลอบตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย หยานกุยล๋ายมีความแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
“คุณชายหลิว คุณสามารถใช้วิชาโบราณเช่นนี้ได้ด้วย ฉันต้องขอคารวะจากใจจริง” หยานกุยล๋ายพูดในลักษณะเจ็บแค้นใจ
ฉู่ชวิ๋นยังคงไม่ได้พูดคำใดออกมา
“คุณชายหลิว คุณเคยได้ยินชื่อของไผ่อัคคีบ้างหรือไม่?” หยานกุยล๋ายพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรมากขึ้น
ตอนนี้เองที่ฉู่ชวิ๋นกลับมาได้สติอีกครั้ง เขารู้ดีว่าไผ่อัคคีคืออะไร มันเป็นวัตถุดิบเอาไว้สร้างสุดยอดอาวุธเวทย์มนต์ ช่วยให้ทนน้ำทนไฟ ส่งผลให้อาวุธชิ้นนั้นที่ถูกผลิตขึ้นมามีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เสียแต่ว่าไผ่อัคคีเป็นสิ่งที่หายากเหลือเกิน
“นานมาแล้วตระกูลหยานของพวกเราค้นพบซากโบราณสถาน และพบเจอไผ่อัคคีอยู่จำนวนหนึ่ง วันนี้ฉันยินดีมอบมันให้แก่คุณชายหลิว ถือว่าเป็นของขวัญจากฉันก็แล้วกัน” หยานกุยล๋ายพูดพร้อมกับกัดฟันกรอด
“ขอบคุณมากนะลุง อุตส่าห์ใจดีให้ผมตั้งสองต้นแน่ะ” ฉู่ชวิ๋นพูด
2 ต้น? หยานกุยล๋ายเชิดหน้าขึ้น ไอ้คนหน้าไม่อาย เขาบอกตั้งแต่เมื่อไหร่กันว่าจะให้ 2 ต้น?
“ขอบคุณคุณลุงมากที่ช่วยให้คำชี้แนะ ระดับพลังของคุณแข็งแกร่งจนน่าตกใจ แม้แต่เทพเจ้าก็คงต้องหลีกทางให้คุณลุงแล้ว ผมขอคารวะจากใจจริง”
“…” หยานกุยล๋ายรู้สึกปวดมวนในท้องขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังจับตาดูอยู่ หยานกุยล๋ายก็ทำได้แต่เพียงพูดออกมาเพื่อรักษาภาพลักษณ์ว่า “คุณชายหลิวมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ถือได้ว่าหาได้ยากยิ่ง นับเป็นโชคดีของหยานเอ๋อร์ที่จะได้ติดตามคุณต่อๆ ไปในอนาคต”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้ายิ้มแย้ม แอบด่าอยู่ในใจว่า “ตาจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ตะโกนบอกชาวบ้านแบบนี้แล้วจะให้ฉันเอาหยานหวูซวงไปทิ้งไว้ตรงไหน!”