บทที่ 178 เรื่องไม่เปลี่ยนเจตนาไม่เหมือนเดิม โดย Ink Stone_Romance
ผ่านวันที่สิบห้าเดือนแปดไป ราวกับพริบตาเดียวท้องฟ้าก็สว่างแล้ว
หนึ่งฝนฤดูใบไม้ร่วง หนึ่งลมหนาว หลังฝนฤดูใบไม้ร่วงหลายหน คนที่เดินบนถนนก็เปลี่ยนเป็นเสื้อเย็บสองชั้น ท่ามกลางสายฝนปรอยห่อไหล่ก้าวไวๆ เดินทาง ร้านรวงริมถนนล้วนแลดูเงียบเหงาไปบ้าง บรรดาพนักงานล้วนนั่งอยู่ยืนอยู่พูดคุยผ่อนคลาย มีคนวิ่งรีบร้อนมาบนถนน เห็นชัดว่าออกมาอย่างรีบเร่ง แม้กระทั่งร่ม เสื้อกันฝนก็ไม่พกมา วิ่งตึกๆ มาเช่นนี้
“นี่ไม่ใช่ท่านหมอหลี่แห่งโรงหมอเหรินซ่านเมืองทิศเหนือหรือ?” พนักงานที่พิงประตูอยู่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น ติดจะประหลาดใจอยู่บ้าง “รีบร้อนเช่นนี้ไปที่ไหนน่ะ?”
“ต้องไปโรงหมอจิ่งหลิงแน่” พนักงานอีกคนหนึ่งไม่เงยหน้าด้วยซ้ำก็เอ่ย
“มาวันนี้ก็แปลก คนที่ไปขอตรวจที่โรงหมอจิ่วหลิงไม่มาก กลับเป็นบรรดาท่านหมอมาก” พนักงานที่พิงประตูอยู่พูดคุยกันจิ๊จ๊ะอยู่
“ใครให้คำที่โรงหมอจิ่วหลิงเอ่ยล้วนถูกต้องเล่า” บรรดาพนักงานในห้องเอ่ยขึ้น
นี่เพิ่งผ่านไปสองเดือน ประโยคนั้นที่โรงหมอจิ่วหลิงประกาศออกไปข้างนอกตอนแรก ที่ว่าโรคที่ท่านหมอคนอื่นรักษาไม่ได้นางถึงรักษา มีคำอธิบายใหม่แล้ว ไม่ใช่ความยโสที่ทำให้คนรู้สึกโอหังทำคนโกรธแค้นเต็มอกอีกต่อไป
ท่านหมอที่อยู่ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงเสื้อผ้าเส้นผมล้วนเปียกชื้นหายใจหอบ ดูไปแล้วลำบากนัก สีหน้าก็ติดจะเคร่งเครียดอยู่บ้าง
“คุณหนูจวิน” เขาไม่ทันสนเช็ดน้ำฝนบนใบหน้า รีบร้อนเอ่ยขึ้น “ข้ารักษาโรคนี้ได้หรือไม่?”
“โรคใด?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
คนที่มาหานางปรึกษาอาการแล้วถูกปฏิเสธมากนัก หลังปฏิเสธนางก็จะบอกว่าท่านหมอคนอื่นรักษาหายได้ แต่ไม่ได้ชี้ชัดว่าหมอคนไหน ดังนั้นคนที่มาปรึกษาอาการจะเลือกท่านหมอเอง
เมื่อหมอที่ถูกเลือกได้ยินว่าคุณหนูจวินตรวจมาก่อน ไม่เป็นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
พวกเขาจะตั้งใจรับตรวจคนไข้คนนี้ รักษาได้ก็รักษา รู้สึกว่าอับจนหนทางก็ไม่รู้สึกอับอาย เริ่มแรกทุกคนยังแอบมาขอคำชี้แนะจากคุณหนูจวินที่โรงหมอจิ่วหลิงเงียบๆ ต่อมาค้นพบว่าตนไม่ใช่หมอคนเดียวที่ทำเช่นนี้ จึงไม่ปิดบังเสียเลย
ได้ยินคุณหนูจวินเอ่ยถาม ท่านหมอคนนี้ก็สงบจิตใจ เล่าอาการป่วยของคนไข้ออกมา
“ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่เคยรักษาโรคเช่นนี้หายมาก่อน” เขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “คนป่วยเช่นนี้บังเอิญส่งมาที่ข้าที่นี่ ข้าไม่กล้าแล้วก็ไม่สะดวกปฏิเสธไม่รักษา ดังนั้นจึงมาขอคำชี้แนะของคุณหนูจวินหากข้ารักษาไม่ได้จริงๆ หวังว่าคุณหนูจวินจะบอกคนป่วยคนนี้ด้วย ให้พวกเขาเชิญผู้ปราดเปรื่องคนอื่น”
คุณหนูจวินยิ้มมองเขา
“ก่อนหน้านี้ท่านรักษาอย่างไร? แล้วคิดอย่างไรกับโรคนี้?” นางเอ่ยถาม
ท่านหมอคนนี้เคร่งเครียดอยู่เล็กน้อย เหมือนเช่นตอนเป็นนักเรียนเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามของอาจารย์ แม้เขาจบจากสำนักมาสิบกว่าปีแล้วก็ตาม
เขารวบรวมสติคครุ่นคิดครู่หนึ่ง เล่าสูตรยาและความคิดเห็นของตนเองก่อนหน้านี้ออกมา
“แต่ล้วนรักษาไม่หาย” เขาเอ่ยติดจะหดหู่อยู่บ้าง ทั้งดวงตาก็คาดหวังอยู่หลายส่วน
เขาศึกษาฝึกฝนแนวทางการรักษามากมายก็ไร้หนทาง แน่นอนว่ามีท่านหมอรักษาหายได้ แต่วิชาฝีมือระหว่างหมอล้วนป้องกันกันและกัน สูตรยาของท่านหมอคนหนึ่งไม่มีทางให้ท่านหมอคนอื่นดู ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิธีรักษาโรคที่แน่ชัด
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว มีโอกาสครั้งหนึ่งแล้ว
ตั้งแต่สองเดือนก่อนหลังเรื่องราวของท่านหมอเฝิง บรรดาท่านหมอในเมืองแม้ปากไม่พูด ในใจล้วนเฉลียวขึ้นมา ท่านหมอเฒ่าเฝิงคนนี้ต้องได้ความช่วยเหลือจากคุณหนูจวินแน่ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเปลี่ยนกลายเป็นพูดจาดีเช่นนี้
ต่อมาเรื่องเช่นนี้ก็ยิ่งมากขึ้นทุกที ขอเพียงเป็นท่านหมอที่คนป่วยซึ่งติดธงคุณหนูจวินบอกว่าผู้อื่นรักษาได้มาหา ท้ายที่สุดล้วนรักษาโรคเหล่านี้หายได้จริงๆ
วิชาแพทย์ของท่านหมอเหล่านี้สูงต่ำไม่เท่ากัน แต่มีจุดหนึ่งเหมือนกันคือพวกเขาล้วนเคยไปหาคุณหนูจวิน นอกจากนี้หลังเรื่องก็เหมือนท่านหมอเฒ่าเฝิงเช่นนั้นกลายเป็นทำตัวดี เคารพคุณหนูจวินอย่างมาก
ชัดเจนยิ่ง คุณหนูจวินคนนี้ชี้นำบรรดาท่านหมออยู่จริงๆ
ไม่รู้ครั้งนี้ตนเองจะถูกชี้แนะบ้างได้หรือไม่ อย่างไรตนเองเผชิญหน้ากับโรคนี้เรียกได้ว่าไม่เป็นอย่างสิ้นเชิง
เช่นนี้ก็ไม่อาจพูดว่าชี้แนะอย่างเดียวได้แล้ว แต่เป็นถ่ายทอดวิชาฝีมือ
นางยอมหรือ?
หมอคนนี้มองคุณหนูจวิน
คุณหนูจวินเคลื่อนสายตาออก
“อาซื่อ” นางเอ่ยเรียก
อาซื่อเป็นพนักงานประจำร้าน ได้ยินเข้าก็ขานรับ
นี่คือต้องการส่งแขกสินะ? หมอคนนี้สีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
“พา…ท่านหมอคนนี้เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด” คุณหนูจวินเอ่ย
หมอผู้นี้อึ้งไป หน้าแดงเล็กน้อยก้มมองเสื้อผ้าของตนเอง เปียกโชกแนบตัวดูไม่ค่อยสง่านัก ท่านหมอที่เขาเผชิญหน้าอยู่ก็เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่งด้วย
“โรคนี้พวกเรานั่งลงคุยกันสักหน่อย” คุณหนูจวินเอ่ย ยื่นมือเคาะโต๊ะ “คุยกันเวลาอาจนานสักหน่อย ท่านสวมเสื้อผ้าเช่นนี้จะเป็นหวัดได้”
หมอผู้นี้ดีอกดีใจไม่รู้ควรพูดอะไรดี
นางไม่รู้ชื่อที่มาของหมอคนนี้ด้วยซ้ำ
“มากับข้าเถอะขอรับ” อาซื่อเอ่ย อยู่ด้านหน้านำทาง
ท่านหมอคนนั้นก็ไม่เกรงใจอีกคำนับให้คุณหนูจวิน ตามพนักงานร้านเข้าไป รอเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด เช็ดศีรษะเช็ดหน้าออกมาแล้ว ฝั่งตรงข้ามโต๊ะของคุณหนูจวินก็วางชาร้อนถ้วยหนึ่งไว้แล้ว
หมอผู้นี้คำนับอีกครั้ง นั่งลงอย่างเคารพ กุมชาร้อนถ้วยนั่น รู้สึกเพียงตัวและใจล้วนอบอุ่น
“เมื่อครู่ท่านพูดว่าโรคนี้ยาที่สั่งให้คือสูตี้ ตังกุย[1]…”คุณหนูจวินเอ่ยพลางยกพู่กันเขียนลงบนกระดาษ
ท่านหมอฝั่งตรงข้ามรีบวางถ้วยชาลง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังตั้งใจฟัง
บนถนนเยื้องไปฝั่งตรงข้าม ใต้ชายคาท่านหมอเกิ่งที่สวมหมวกมองผ่านหน้าต่างมองเห็นฉากนี้ เขากดหมวกลงนิดหนึ่งหมุนตัวเดินจากไปแล้ว
“วันนี้ท่านหมอทั้งเมืองล้วนไม่โกรธเพราะนางบอกว่าตนเองรักษาหายดีได้อีกแล้ว กลับถือว่าเป็นเกียรติ”
“ทุกคนถึงขนาดคาดหวังว่านางจะกล่าวว่าตนเองรักษาได้ เพราะขอเพียงนางบอก พวกเขาย่อมรักษาได้แน่นอน รักษาไม่หาย นางก็จะทำให้พวกเขารักษาหาย”
“มีคนถามนางว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ นางบอกว่าหมอคนหนึ่งรักษาหนึ่งคน หมอร้อยคนช่วยหมื่นประชา”
“นี่คือการเป็นอริกับท่านหมอทั้งเมืองเสียที่ไหน ไม่มีใจเมตตาดูแคลนชาวบ้านที่ไหนเล่า นี่เป็นพระโพธิสัตว์มาโปรดคนชัดๆ”
ท่านหมอเกิ่งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ทีละอย่างๆ
สีหน้าเจียงโหย่วซู่ทะมึน
เรื่องนี้กลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
…
“เรื่องนี้น่ะ กลายเป็นเช่นนี้ก็ไม่แปลก”
กรมสืบสวนฝ่ายเหนือในเวลานี้ องครักษ์เสื้อแพรหลายคนก็กำลังรายงานเรื่องนี้เช่นกัน
“ผู้อื่นเป็นหมอเพื่อปากท้อง เพื่อเลี้ยงชีพ ต้องหาเงิน” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์ “แต่คุณหนูจวินคนนี้หาใช่ไม่”
“ใช่ ข้างหลังนางคือเต๋อเซิ่งชาง ไม่ขาดแคลนเงิน และไม่ขาดแคลนสิ่งเลี้ยงชีพ” องครักษ์เสื้อแพรอีกคนหนึ่งเอ่ย “นางเพียงหวังชื่อเสียง ไม่ใช่กำไร”
“ชื่อเสียงกำไรเป็นข้อผูกมัดคน แต่หากต้องการเพียงชื่อเสียง ไม่ต้องการกำไร ถ้าเช่นนั้นคนผู้นี้ก็ไม่กลัวถ่ายทอดวิชาฝีมือเพื่อช่วยผู้คนแล้ว” องครักษ์เสื้อแพรคนก่อนเอ่ยขึ้น “หาใช่พระโพธิสัตว์ไม่”
ได้ยินเรื่องนี้หัวหน้ากองร้อยเจียงลูบคาง
เรื่องถึงกับกลายเป็นเช่นนี้
“พวกหมอไร้น้ำยาฝูงนี้ หวังกับพวกเขาไม่ได้จริงๆ” เขาเอ่ยด่า
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ใต้เท้า ถ้าอย่างนั้นพวกเราลงมือไหมขอรับ?” พวกเขาเอ่ย
หัวหน้ากองร้อยเจียงโบกมือ
อย่างไรเรื่องของตระกูลฟางก็ตึงมืออยู่บ้าง
“ข้าไปขอคำสั่งจากใต้เท้าหัวหน้ากองพันสักหน่อย” เขาเอ่ย
หัวหน้ากองร้อยเจียงมาถึงลู่อวิ๋นฉีที่นี่กลับถูกคนที่ประตูขวางไว้ ทำท่ามือส่งไปข้างใน
หัวหน้ากองร้อยเจียงเข้าใจว่านี่คือลู่อวิ๋นฉีอยู่ข้างในจัดการงาน
แม้ล้วนเป็นองครักษ์เสื้อแพร แต่ภารกิจระหว่างทุกคนก็ล้วนเก็บเป็นความลับต่อกัน
หัวหน้ากองร้อยเจียงรอไม่นานนัก เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น องครักษ์เสื้อแพรหลายคนเดินออกมา พยักหน้าให้พวกเขาที่อยู่นอกประตูนับเป็นการทักทายจากนั้นก็จากไป
ลู่อวิ๋นฉีก็เดินตามออกมาด้วย
“ใต้เท้า” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยขึ้น
ลู่อวิ๋นฉีกยกมือห้าม สักประโยคไม่เอ่ยเดินไปแล้ว
หัวหน้ากองร้อยเจียงหยุดฝีเท้า มองลู่อวิ๋นฉีก้าวไวๆไป
“ใต้เท้าจะไปในวังหรือขอรับ?” เขาเอ่ย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
แม้หน้าตาของลู่อวิ๋นฉีแต่ไหนแต่ไรล้วนไร้อารมณ์ มองยินดีโกรธเกรี้ยวไม่ออก แต่อยู่กับเขานานเข้าก็มองเค้าลางออกอยู่บ้างเหมือนกัน
มองวูบหนึ่งเมื่อครู่มองเห็นแววสั่นไหวในดวงตาของลู่อวิ๋นฉี ท่าทางเช่นนี้เขาเห็นเพียงครั้งเดียว นั่นก็คือนาทีนั้นที่โลงศพองค์หญิงจิ่วหลิงฝังลงดิน
ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่แล้ว หัวหน้ากองร้อยเจียงคิด
……………………………………….
[1] สูตี้ (熟地) ตังกุย ( 当归) เป็นสมุนไพรของจีน