บทที่ 361

บทที่ 361

ถังหยินได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้ว และเมื่อต่อสู้กับแม่ทัพแคว้นเปิง มันก็เลยทำให้อาการของเขาแย่ลง …ทำให้ตอนที่เย่เหล่ยมาหา บาดแผลของชายหนุ่มก็ได้เปิดออกหลายจุดเลยทีเดียว

เมื่อมองไปที่ถังหยินที่กำลังหอบหายใจอยู่ในรถม้า เย่เหล่ยก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความอดทนของเขา เพราะบาดแผลพวกนี้ถือว่าเลวร้ายพอตัว และการที่ถังหยินไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักนิด ก็ถือได้ว่าเป็นความอดทนที่เหนือกว่าคนธรรมดาไปไกลลิบ

เย่เหล่ยพูดอย่างเย็นชา “อาการบาดเจ็บของเจ้าร้ายแรงมาก ต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกนานทีเดียวกว่าจะหายดี”

หลังจากที่ถังหยินได้ยินสิ่งนี้ เขาก็หันมายิ้มและหัวเราะเบา ๆ “งั้นเหรอ ข้าเข้าใจแล้ว ต้องขอบใจเจ้ามาก”

เย่เหล่ยขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเขาพูด ก่อนที่จะอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ

….และหลังจากที่เย่เหล่ยพันแผลและให้ยาอีกครั้ง ถังหยินก็พลันรู้สึกว่าความเจ็บปวดในร่างกายของเขาลดน้อยลง เขาจึงหันมองไปยังชิวเจิ้นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และถามว่า “สถานการณ์ที่เมืองหยานเป็นอย่างไรบ้าง ?”

ชิวเจิ้นมองไปยังเย่เหล่ยที่กำลังช่วงแต่งตัวให้กับถังหยิน ก่อนจะพูดเบา ๆ ออกมา “สถานการณ์มีเสถียรภาพมากแล้ว แม้ว่ากองทัพหนิงจะมาถึงบริเวณใกล้เคียงของเมืองหยาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังเมืองหยาน และเลือกที่จะไปยังเมืองหวัน ส่วนภายในเมืองหยานนั้น แม่ทัพอู่กวนก็ยังคงเผชิญหน้ากับพวกที่เหลือที่อยู่ภายในราชวัง

“ดี !” ถังหยินพยักหน้าแล้วหัวเราะ พลางคิดในใจว่าจะตกรางวัลให้อู่กวนและจ้านหูอย่างงาม !

ชิวเจิ้นหัวเราะเช่นกันและกล่าวว่า “ข้าคิดว่าทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณแผนการอันยอดเยี่ยมของนายท่าน ถ้าท่านไม่เสนอออกมา การเข้ายึดเมืองหยานคงจะยากกว่านี้หลายเท่าตัวนัก”

ถังหยินเงยหน้าขึ้นและหัวเราะเบา ๆ

…ก่อนที่กองทัพใหญ่จะมาถึงเมือง ประตูเมืองหยานก็ได้ถูกเปิดรอไว้แล้ว ซึ่งอู่กวน จ้านหู และผู้ใต้บังคับบัญชาของจีหยิงก็พากันออกมาจากเมืองเพื่อต้อนรับพวกเขา

อันที่จริง …ตามความตั้งใจของชิวเจิ้นแล้ว เนื่องจากถังหยินได้รับบาดเจ็บ เขาจึงควรอยู่แต่ในรถม้าเพื่อพักผ่อน แต่ทว่าถังหยินกลับโบกมือปัด และบอกเพียงว่าเขาสบายดี ก่อนจะทำการเดินลงจากรถม้าอย่างดื้อดึง

“ทำความเคารพ ! นายท่าน !”

หลังจากอู่กวน จ้านหูและจีหยิงคุกเข่าลง ทหารที่อยู่ข้างหลังพวกเขาก็พลันทำตาม ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น เขาก็ได้เห็นเข้ากับผู้คนมากมายที่พร้อมใจกันคุกเข่าลง

ถังหยินมองผ่านฝูงชนและมองไปที่เมืองหยานที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นในใจ เพราะนี่คือเมืองหลวงของเฟิงที่ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำแคว้น และในขณะนี้เขาก็ได้มายื่นอยู่ ณ จุดนี้แล้ว

…อย่างกับว่าชายหนุ่มกำลังล่องลอยอยู่ในความฝันยังไงยังงั้น นี่มันเรื่องจริงใช่หรือไม่ !

เขายกมือขึ้นชี้ไปทางเมืองใหญ่และพูดแผ่วเบา “เมืองหยานของข้า !” หลังจากที่พูดจบ สายตาของเขาก็พลันลดลงมองไปรอบ ๆ “จากนี้ไปเมืองหยานเป็นของเรา !”

“ขอพระองค์ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น ๆ ปี !”

อู่กวน จ้านหู จีหยิงและแม่ทัพคนอื่น ๆ ต่างยกแขนขึ้นและตะโกนเสียงดัง ใบหน้าของพวกเขากลายเป็นสีแดงด้วยความตื่นเต้น

ขณะที่ถังหยินสั่งให้กองกำลังหลักของเทียนหยวนเข้าสู่เมืองหยาน เย่เฉิงและคนอื่น ๆ ที่ปกป้องพระราชวังต่างก็ตกอยู่ในความสิ้นหวัง ด้วยมันเป็นเวลาดึกแล้ว และเมื่อมองไปที่ถนน พวกเขาก็จะเห็นว่าพื้นที่โดยรอบนั้นถูกปกคลุมไปด้วยกองทัพเทียนหยวน

กองทัพเทียนหยวนนับไม่ถ้วนได้ล้อมรอบพระราชวังขนาดใหญ่อย่างสมบูรณ์ ด้านนอกมีสามชั้นและด้านในอีกสามชั้น ทำให้ไม่มีแม้แต่แมลงวันตัวเดียวที่สามารถหลบหนีได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับมนุษย์ ?!

เย่เฉิงตกตะลึง ยืนอยู่บนกำแพงพระราชวังดวงสายตาเหม่อลอย ไม่มีชีวิตชีวา และในขณะที่เขามองด้วยความงุนงงนั่นเอง ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนมาจากด้านล่างของเมือง: “พวกเปิงจงฟัง กองทัพของข้าได้ล้อมรอบพระราชวังอย่างสมบูรณ์แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าทุกคนจะหลบหนีไปต่อให้มีปีกก็ตาม ทว่ามันยังไม่สายเกินไปที่จะยอมจำนนในตอนนี้ แต่ถ้าช้าไปมากกว่านี้ ข้าก็เกรงว่าพวกเราคงต้องจบด้วยการฆ่าฟันเพียงอย่างแล้ว !”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากกองทัพเทียนหยวนที่อยู่นอกพระราชวัง กองทัพเปิงบนกำแพงวังก็พลันตัวสั่นสะท้าน ทุกคนพร้อมใจหันไปมองเย่เฉิง หวังว่าเขาจะสั่งให้ยอมจำนน

…ครอบครัวของเย่เฉิงอยู่ในเงื้อมมือของซ่งเทียน แต่ทหารคนอื่นไม่มีความกังวลเช่นนั้น ในตอนนี้แม้ว่าพวกเขาจะงี่เง่า แต่พวกเขาก็เห็นได้ว่าหนทางเดียวที่จะอยู่รอดได้คือการปกป้องพระราชวังไปจนตาย

เย่เฉิงต้องการที่จะยอมจำนนเช่นกัน แต่ราคาของการยอมจำนนคือการที่พ่อแม่พี่น้อง รวมถึงลูกเมียของเขาต้องตาย ! และเมื่อคิดแบบนั้น เย่เฉิงก็รู้สึกกังวลมากเสียจนเม็ดเหงื่อไหลลงมาที่หน้าผากของเขาเต็มไปหมด

เขาเอาแต่มองไปรอบ ๆ ไม่ตอบคำใด ทว่ากองทัพเทียนหยวนที่อยู่นอกพระราชวังไม่ต้องการรออีกต่อไปแล้ว พวกเขาเริ่มการโจมตีพระราชวังในทันทีที่ได้รับคำสั่ง !!!

อันที่จริงถังหยินก็ไม่อยากทำลายพระราชวัง ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงอาวุธสงครามขนาดใหญ่ เพราะเพียงแค่นี้มันก็คงมากพอแล้ว ด้วยพวกเขามีกำลังหลายแสนคน ที่ไม่ใช่อะไรที่พวกเปิงไม่กี่จะพันคนจะสามารถป้องกันได้

เมื่อการศึกเริ่มไปไม่นาน ผู้ใต้บังคับบัญชาของเย่เฉิงก็ได้รีบวิ่งเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว

“ประตูทางใต้ของตำหนักถูกทำลายแล้วขอรับ !”

“ประตูด้านทิศตะวันออกของพระราชวังถูกตีแตกแล้ว !”

” ประตูทิศตะวันตกของพระราชวังจบสิ้นแล้วขอรับ !”

ในชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น ทั้งสามด้านของพระราชวังก็ได้ถูกกองทัพเทียนหยวนบุกรุกเข้ามาได้ และแม้แต่กองทัพเทียนหยวนที่ประตูทางเหนือเอง พวกเขาก็เริ่มที่จะยันไว้ไม่ไหวแล้ว !

สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้ทั้งวังตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย พวกเขาพากันกรีดร้อง และวิ่งไปมารอบทิศทาง

“ไอ้สวะ ตายซะ !”

เย่เฉิงยังคงสั่งให้ทหารที่เหลือเพียงไม่กี่นายสู้ต่อไป ทว่าเมื่อทหารเทียนหยวนนายหนึ่งแทงหอกเข้ามา ทหารเปิงกว่าสิบนายก็พลันล้มตายลง ทำให้คนที่เหลือหวาดกลัว พากันถอยหลัง ไม่กล้าที่จะเดินหน้าเข้าไปอีก เช่นเดียวกับเย่เฉิงที่ตกใจทำตัวไม่ถูก …ทว่าด้วยเป็นแม่ทัพ เขาจึงไม่อาจถอยหนีได้ และได้แต่ฝืนทนต่อไป !!!

เขาจับใบมีดด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะชี้ไปยังจมูกของแม่ทัพเทียนหยวนและเอ่ยท้าทาย “มาสู้กับข้า !”

“เข้ามาเลย ข้าคือหยวนอู่ !”

ปรากฎว่าเขาคนนี้คือหนึ่งในองค์รักษส่วนตัวของถังหยิน และเมื่อเย่เฉิงได้ยินชื่อหยวนอู่ เขาก็พลันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กลืนน้ำลาย และตะโกนว่า “ข้าคือแม่ทัพแคว้นเปิง เย่เฉ.. !”

“เลิกพล่ามได้แล้ว ! โดนเสียบตายไปซะ !!” โดยไม่รอให้เย่เฉิงประกาศชื่อจบ หยวนอู่ก็พลันยกหอกขึ้นแทงตรงไปที่ลำคอของเขา ทว่าเย่เฉิงก็ไม่ได้ประมาทแต่อย่างใด เขาใช้ดาบปัดป้องอย่างกระวนกระวายและเข้าปะทะอย่างแรง

ในแง่ของพลังปราณ เย่เฉิงไม่ได้อ่อนแอ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าหยวนอู่ แต่เขาก็สามารถต่อสู้กับอีกฝ่ายได้ในระดับหนึ่ง ….ทว่าด้วยตอนนี้หัวใจของเย่เฉิงกำลังยุ่งเหยิงอยู่ เลยทำให้เขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นโดยรอบ

พวกเขาทั้งสองต่อสู้กันมามากกว่าสิบรอบ และหยวนอู่ก็ได้ใช้ประโยชน์จากความประมาทของเย่เฉิง ทำการเข้าโจมตีอีกฝ่ายจากด้านหลัง ใช้ปลายหอกกระแทกเข้ากับร่างกายของเป้าหมาย ทำให้เย่เฉิงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ร่างของแม่ทัพเปิงจะพุ่งออกตกกำแพงวังเหมือนลูกธนูที่ออกจากคันศร

ฟุ่บ !

เย่เฉิงที่กระเด็นออกมาจากกำแพงวังได้ตกลงกระแทกกับพื้นด้านล่าง ทำให้หินที่รอบรับเขาแตกออกเป็นชิ้น ๆ เช่นเดียวกับเกราะปราณที่แตกสลายไป

อันที่จริงเมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ เย่เฉิงก็ต้องการที่จะวิ่งแล้ว แต่หยวนอู่ปฏิเสธที่จะปล่อยไป …ทว่าเมื่อชายร่างใหญ่วิ่งลงบันไดไป เขาก็เจอกับทหารเปิงที่อยู่บริเวณนั้น ทำให้หยวนอู่ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากละทิ้งเย่เฉิงและมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเขาแทน

หลังจากความพ่ายแพ้และการหลบหนีของเย่เฉิง กองทัพเปิงที่ประตูทิศเหนือของพระราชวังก็ไม่สามารถต้านทานกองทัพเทียนหยวนได้อีกต่อไป

ทหารจำนวนมากล้มลงและคลานออกจากสนามรบ บางคนก็ไม่อาจอดทนได้อีก พากันหนีตายเสียจนวุ่นวายไปหมด

ปัง ! โครม !!

หลังจากเสียงนี้ดังขึ้น ทหารกองทัพเทียนหยวนที่พุ่งเข้ามาในพระราชวังก็ได้เปิดประตูทางทิศเหนือให้คนกลุ่มใหญ่เข้ามาในวังได้สำเร็จ

เมื่อประตูพระราชวังเปิดออก ทหารกองทัพเทียนหยวนที่อยู่ด้านนอกก็พากันแห่เข้ามาทันที

…มวลสีดำของกองทัพเทียนหยวนเป็นเหมือนกระแสน้ำ ในขณะที่พวกเขาพากันหลั่งไหลเข้ามาในวังอย่างต่อเนื่อง

ตอนนี้กองทัพเทียนหยวนกำลังวิ่งเข้ามาจากทางประตูวัง ทำให้พวกเปิงมากมายล้มตายลงราวใบไม่ร่วง และมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ติดตามเย่เฉิงถอยกลับไปที่ห้องโถงของพระราชวัง

ในตอนนี้เย่เฉิงกำลังมองไปที่ด้านข้างของตัวเอง ซึ่งมันก็ทำให้เขาแทบจะร้องไห้ออกมา เพราะจากทหารหลายพันนายที่เคยต่อสู้มาก่อนหน้านี้ บัดนี้เหลือเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น และพวกเขาทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือด ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง หวาดกลัว และว่างเปล่าในเวลาเดียวกัน

“ท่านแม่ทัพ… เรา… ?” รองแม่ทัพเพียงคนเดียวมองไปที่เย่เฉิงจากนั้นมองไปที่อาวุธในมือของเขาและลังเลที่จะพูด

เย่เฉิงเข้าใจความหมายดี เขาหัวเราะอย่างขมขื่น ก่อนจะเรียกเก็บเกราะปราณและพูดอย่างเฉยเมย “เจ้าแตกต่างจากข้า ข้าจะยอมแพ้ไม่ได้จนกว่าจะตาย แต่พวกเจ้าไม่ ดังนั้นจงไปซะ !” เมื่อพูดจบ เย่เฉิงก็ได้โบกมือไล่อย่างอ่อนแรง