บทที่ 213.2 ตั้งตารอคอย โดย ProjectZyphon
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบที่แข็งแกร่งที่สุด พลังการสังหารของหลี่ถวนจิ่งสูงมากจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คน
เมื่อผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งถูกขนานนามให้เป็น ‘ที่สุด’ ในด้านใดก็ตาม โดยเฉพาะในขอบเขตของหนึ่งทวีปย่อมต้องเป็นบุคคลที่น่ากลัวอย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่นซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลี ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเก้าที่หนุ่มที่สุด เมื่อตกอยู่ท่ามกลางศึกโอบล้อมเมือง เขาก็ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบในตำนาน
เว่ยจิ้น ผู้ที่ทำลายสถิติของหลี่ถวนจิ่ง กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดที่หนุ่มที่สุด ตอนนี้กลายเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตบนที่สูงส่งเหนือผู้ใดไปแล้ว
หวงเหอแห่งสวนลมฟ้าที่สะพายกล่องกระบี่ไม้เดินช้าๆ กลับขึ้นไปบนหอเรือนสูง
ทางฝ่ายของภูเขาตะวันเที่ยงเริ่มมีคนรีบร้อนลงไปช่วยเหลือซูเจี้ยแล้ว
หลี่ถวนจิ่งยืนสองมือไพล่หลัง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
ต่อให้ข้าเหลือแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็จะต้องบีบคอภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้า แม้ว่าสุดท้ายแล้วศิษย์ลูกศิษย์หลานของเจ้าจะพาศพเจ้าออกไปจากสวนลมฟ้าได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่มีทางหายแค้นได้อยู่ดี
เจ้าเห็นไหมเล่า
เมื่อสามร้อยปีก่อน เจ้าทรยศต่อความจริงใจของข้า ข้าก็ทำให้คนทั้งภูเขาตะวันเที่ยงของเจ้าเงยหัวไม่ขึ้นสามร้อยปีเต็ม
เจ้าทำร้ายให้พวกเด็กรุ่นหลังในขุนเขาที่โชคดีกลายเป็นเซียนกระบี่ไม่มีหน้าจัดพิธีเฉลิมฉลอง ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลเมฆเหนือยอดเขา ทอดถอนใจด้วยความเสียดาย
ต่อให้วันนี้ข้าจะต้องตาย แล้วจะอย่างไร?
คราวนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง?
หลี่ถวนจิ่งหยุดความคิดทั้งหมดลง หมุนกายเดินลงบันได ฝ่ามือตีไปตามราวบันไดเบาๆ
หลี่ถวนจิ่งเดินลงมาถึงชั้นแรก มาหยุดยืนอยู่ข้างกายคนหนุ่ม
หลิวป้าเฉียวที่อดทนดูจนศึกใหญ่ปิดฉากลงริมฝีปากสั่นระริก
หลี่ถวนจิ่งหันมาเอ่ยยิ้มๆ “ป้าเฉียว เห็นสตรีที่ตนรักได้รับความอัปยศ ต้องทนดูจิตแห่งกระบี่ของนางแหลกสลาย เพราะเป็นศัตรูที่อยู่กันคนละฝั่งจึงไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่กระนั้นก็อดเจ็บปวดแทนนางไม่ได้ เป็นความรู้สึกที่ย่ำแย่มากเลยใช่หรือไม่?
หลิวป้าเฉียวพลันคืนสติ เตรียมจะกระโดดลงจากราวระเบียง แต่กลับถูกหลี่ถวนจิ่งยื่นมือมาห้ามไว้ “นั่งไปนั้นแหละ”
หลิวป้าเฉียวกล่าวอย่างละอายใจ “เจ้าสวน…”
หลี่ถวนจิ่งยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรๆ ก็แค่ชอบผู้หญิงที่ไม่ควรชอบมากที่สุดเท่านั้น ไม่นับเป็นอะไรได้ ฟ้าไม่ได้จะถล่มลงมาสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องละอายใจ”
หลิวป้าเฉียวไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ทั้งไม่อยากกล่าวคำพูดที่ผิดต่อใจตัวเอง แล้วก็รู้สึกผิดต่อสำนัก รู้สึกละอายใจต่อเจ้าสวน
หลี่ถวนจิ่งเอ่ยถาม “นับจากนี้ไปซูเจี้ยต้องตกต่ำ คาดว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นก็ต้องถูกภูเขาตะวันเที่ยงยึดคืน จิตแห่งกระบี่ถูกทำลาย จิงชี่เสินทั้งร่างของเทพธิดาที่เคยทำให้เด็กรุ่นหลังอย่างพวกเจ้ารู้สึกละอายใจที่เทียบไม่ได้ล้วนพังทลายลง วันหน้าย่อมไม่ใช่เทพธิดาอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเทียบนักพรตหญิงในนามของภูเขาตะวันเที่ยงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ป้าเฉียว ข้าแค่อยากรู้ว่า เจ้าจะยังชอบนางอยู่อีกหรือไม่?”
หลิวป้าเฉียวพูดเหมือนสะอื้น “ชอบไปตลอดชีวิต เจ้าสวน ข้าไม่เอาไหนมากเลยใช่หรือไม่?”
หลี่ถวนจิ่งกล่าวอย่างสะท้อนใจ “เด็กโง่ แบบนี้สิถึงจะดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็ชอบแบบนี้ต่อไปเถอะ แต่อย่าให้ส่งผลกระทบต่อการฝึกกระบี่ก็แล้วกัน ต้องรู้ว่าเจ้าเป็นคนที่ข้าเห็นดีมาโดยตลอด ไม่ด้อยไปกว่าหวงเหอเลย ก่อนหน้านี้ที่ข้าไม่พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า เพราะรู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้สามารถพูดได้แล้ว เพราะหลังจากนี้จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
หลิวป้าเฉียวหันหน้ามามอง “เจ้าสวน?”
หลี่ถวนจิ่งพลันถามว่า “ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี วันหน้าพยายามนำศพของข้าไปฝังร่วมกับศพคนผู้นั้น ป้าเฉียว หากกาลเวลาล่วงเลยผ่าน ช่วงเวลานั้นภูเขาตะวันเที่ยงเป็นดั่งดวงตะวันที่อยู่สูงกลางท้องนภา ข่มทับให้คนของสวนลมฟ้าพวกเราต้องเจียมตัวเก็บหัวเก็บหาง เจ้าจะทำอย่างไร?”
หลิวป้าเฉียวไม่เหลือความกล้านั่งอยู่บนราวระเบียงอีกแล้ว เขากระโดลงมายืนกลางระเบียง กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ฝึกกระบี่ย่อมสามารถใช้กระบี่พูดเหตุผลได้”
หลี่ถวนจิ่งเอ่ยหยอก “โอ้โห เหมือนข้าตอนเป็นหนุ่มมากเลยนะเนี่ย”
จากนั้นหลี่ถวนจิ่งก็ทอดสายตามองไปไกล กล่าวกลั้วหัวเราะ “จำเอาไว้ว่า ระหว่างบุรุษและสตรี หลักการนี้ใช้ไม่ได้ วันหน้าอย่าได้รู้สึกว่าเวทกระบี่ของตนสูงส่งแล้วจะใช้วิธีนี้ได้กับทุกเรื่อง เวลาพูดกับสตรีที่รัก อย่างไรก็ควร…”
“ควรอ่อนโยนสักหน่อย แล้วก็ต้องรู้จักพูดคำหวานด้วย”
หลี่ถวนจิ่งหันหน้ามองไปยังหวงเหอ ลูกศิษย์คนสุดท้ายที่เดินลงมาจากบันไดช้าๆ
มองไปยังคนหนุ่มทั้งสอง ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบที่แข็งแกร่งที่สุดในแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ก็คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “หลังจากข้าตายไป วันหน้าคงต้องมอบบสวมลมฟ้าให้พวกเจ้าสองคนเป็นเสาหลักแล้ว”
หวงเหอสีหน้าเย็นชา “อาจารย์ แค่ข้าคนเดียวก็พอ”
หลิวป้าเฉียวยิ้มหน้าเป็น “แบบนี้สิดี คนเก่งก็เหนื่อยเยอะหน่อย ไม่ต้องให้เป็นภาระของข้า”
หลี่ถวนจิ่งหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ยื่นนิ้วชี้ไปยังหวงเหอ “ผู้ฝึกกระบี่ที่พลังพิฆาตไร้เทียมทาน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ต้องเป็นของเจ้า”
จากนั้นก็ชี้มาที่หลิวป้าเฉียว “ผู้ฝึกกระบี่ที่องอาจสง่างาม ดื่มสุราเคล้านารี ต้องเป็นเจ้า”
สุดท้ายหลี่ถวนจิ่งกล่าวอย่างลำพองใจว่า “สรุปคือ ไม่ว่าอะไรก็ต้องเป็นของสวนลมฟ้าพวกเราทั้งหมด”
……
บนเรือคุนที่มุ่งหน้าไปยังแคว้นหนันเจี้ยน บุรุษร่างกำยำที่นั่งอยู่ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วเอ่ยเย้ยหยัน “นอกจากผู้ฝึกกระบี่ชุดดำที่ลงสมรภูมิรบเป็นครั้งสุดท้ายที่ยังถือว่าพอมีความสามารถที่แท้จริงอยู่บ้าง การต่อสู้สามครั้งที่เหลือล้วนฝีมือธรรมดา หากเอาไปไว้ในกุรุทวีปของพวกเรา ไหนเลยจะมีหน้ากล้าจัดงานโอ้อวดใหญ่โตขนาดนี้”
สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นไม่เลวเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสซื้อมาหรือไม่”
หมัวมัวเฒ่าที่ยืนกุมมือคารวะอย่างเคร่งเครียดยิ้มบางๆ “ขอแค่ฮูหยินแจ้งชื่อของท่าน คิดว่าคงจะได้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นมาไม่ยาก”
ทางฝั่งซ้ายมือสุด ผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อที่สวมหมวกขนเตียวทนฟังคำพูดโอหัง รวมไปถึงคำวิจารณ์ที่มีต่อคนอื่นไม่จบไม่สิ้นของพวกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ไหวอีกต่อไป นับตั้งแต่ศึกใหญ่ศึกแรกเริ่มต้นขึ้น พวกคนที่นั่งอยู่ใกล้เขากลุ่มนี้ก็เริ่มคุยโวโอ้อวด ตรงนี้ไม่ดี ตรงนั้นไม่ได้ เขาหนวกหูแทบตายอยู่แล้ว ผู้เฒ่าจึงเอียงศีรษะถ่มเสลดหนาข้นลงบนพื้นอย่างแรง “วิชากระบี่ของคนทั้งสามเทียบกับเซียนกระบี่ของกุรุทวีปเราไม่ได้ก็จริง แต่ศึกใหญ่ทั้งสามครั้งต่างก็สู้กันอย่างเต็มคราบ สมศักดิ์ศรี ยังจะเอายังไงอีก?”
ผู้ชายร่างสูงใหญ่ตวาดเสียงเฉียบ “ตาแก่เจ้าอยากตายรึ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “อยากตายแล้วอย่างไร? ไม่สู้มาลงนามยอมรับความตายกันเลย ในเมื่อดูเรื่องสนุกระหว่างสวนลมฟ้าและภูเขาตะวันเที่ยงจบแล้ว ก็ให้คนอื่นได้ดูเรื่องสนุกของพวกเรากันบ้างไหมล่ะ? หากแพ้ ข้าผู้อาวุโสก็ยอมรับชะตากรรม หากชนะ ให้ข้าเย่อคู่ชู้ของเจ้าสามวันสามคืน ตกลงไหม?”
ไม่ได้เก่งแต่ปาก พูดว่าจะทำก็ลงมือทำทันที
บุรุษลักษณะสุภาพอ่อนโยนแต่เหมือนคนขี้ขลาดที่อยู่ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วทำหน้าที่เป็นทูตสันติ “มีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ พูดกันดีๆ …ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก อีกทั้งทุกคนยังเป็นคนของกุรุทวีปเหมือนกัน เหตุใดต้องทำลายความปรองดอง…”
สตรีแต่งงานแล้วที่ร่างผอมแห้งสูงโปร่งไม่เพียงแต่ไม่ขุ่นเคือง กลับยังหันหน้ามามองด้วยความสนใจ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “น่าเสียดายที่แก่ไปหน่อย คาดว่าเอวแก่ๆ ของเจ้าคงทนรับแรงโยกของข้าไม่ไหว สู้กันล่างเตียงกับสู้กันบนเตียงไม่เหมือนกันหรอกนะ ใช่ไหมล่ะ ตาแก่หนังเหนียว?”
“ถุย!”
ผู้เฒ่าถ่มน้ำลายอีกรอบ “อย่าว่าแต่ผู้หญิงร่างผอมแห้งเป็นไม้เสียบผีอย่างเจ้าเลย แม้แต่เจ้าผู้ชายหน้าขาวคนนั้นของเจ้า ข้าก็เย่อพร้อมกันได้!”
เฉินผิงอันรับฟังด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
ทำไมถึงรู้สึกเหมือนได้กลับไปที่ตรอกหนีผิง ตรอกซิ่งฮวาอีกครั้งล่ะ?
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เข้าใจทุกคำที่พวกเขาพูด แต่ท่าทางเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอันเลย
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่อยู่ทางขวาสุดหันหน้ามากล่าวอย่างหงุดหงิด “จะตีกันก็รีบตี เลิกเก่งแต่ปากกันสักที เป็นมลพิษต่อหูข้า!”
ดีนักนะ มีคนนิสัยฉุนเฉียวมาร่วมด้วยอีกคนแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ยังราดน้ำมันลงบนกองไฟเสียอีก
เฉินผิงอันรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย คงไม่ได้จะตีกันจริงๆ หรอกนะ?
ผู้ฝึกกระบี่หญิงที่ปักปิ่นกระบี่เล่มเล็กไว้ตรงมวยผมไม่ได้ให้ความสนใจเหตุการณ์นี้ นางเอาแต่เงยหน้ามองม้วนภาพวาดคล้ายกำลังย้อนทบทวนพลังที่แฝงอยู่ในศึกเป็นตายทั้งสามศึกนั้น
ยังดีที่เจ้าของเรือซึ่งก่อนหน้านี้เคยพูดคุยกับเว่ยป้อเดินตรงมาด้วยรอยยิ้ม สายตากวาดผ่านทุกคน เริ่มจากผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อก่อนเป็นคนแรก ทุกครั้งที่มองคนหนึ่งก็จะต้องกุมมือพร้อมเอ่ยเรียกชื่อของคนผู้นั้น “ท่านเจี้ยนเวิ่ง ชิงกู่ฮูหยิน คุณชายหูลวี่ ช่วยเห็นแก่หน้าของข้า เรื่องวันนี้ให้แล้วกันไปได้หรือไม่?”
ทั้งสามฝ่ายจะไม่เห็นแก่หน้าของเจ้าของเรือท่านนี้ หรือจะไม่เห็นหน้าของภูเขาต่าเจี้ยวเลยก็ยังได้ แต่หลังจากที่เจ้าของเรือเอ่ยเรียกชื่อคนทั้งสามอย่างเรียบง่าย เรื่องราวก็ง่ายดายขึ้นกว่าเดิม
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่มีฉายาว่าเจี้ยนเวิ่ง (เหยือกกระบี่) คือผู้ฝึกกระบี่นิสัยประหลาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งทางทิศใต้ของกุรุทวีป ขอบเขตไม่ถือว่าสูงนัก เป็นแค่ขอบเขตโอสถทอง ไม่มีสำนักไร้พรรค แต่เชี่ยวชาญการเลี้ยงกระบี่ไว้ในเหยือกโบราณ อีกทั้งยังมักจะชอบช่วยเหลือผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางเลี้ยงกระบี่บินโดยไม่คิดค่าตอบแทน เป็นเหตุให้มีสหายอยู่ทั่วหล้า
ชิงกู่ฮูหยิน ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับมีบิดาบุญธรรมเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดคนหนึ่ง ซึ่งปกป้องและเข้าข้างลูกของตัวเองอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังได้ครอบครองอาวุธเทพจอมเผด็จการชิ้นหนึ่ง บวกกับที่เดิมทีตัวของหญิงแต่งงานแล้วเองก็เป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ด เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว ชื่อเสียงความเหี้ยมโหดจึงเลื่องลือเป็นที่รู้จัก
ส่วนผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่มีสองแซ่ว่าหูลวี่ก็ยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในกุรุทวีป เพียงหนึ่งไม่มีสอง
ในตระกูลมีบรรพบุรุษขอบเขตหยกดิบที่เป็นเซียนกระบี่พสุธาคนหนึ่ง ซึ่งก็คือหนึ่งในเซียนกระบี่ที่พากองทัพใหญ่มุ่งหน้าไปยังภูเขาห้อยหัว นิสัยตรงไปตรงมา เป็นเพื่อนสนิทกับเซี่ยสือเจ้าลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีป ประมุขตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลหูลวี่คือผู้บัญชาการณ์ใหญ่ในราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดทางทิศตะวันออกของกุรุทวีป เนื่องจากเกิดมามีร่างกายไม่เหมาะกับการฝึกตน เป็นบัณฑิตอ่อนแอที่ไม่มีแม้แต่แรงฆ่าไก่ แต่สุดท้ายกลับได้กุมอำนาจควบคุมทหารกล้าสามแสนนายไว้ในมือ นอกจากนี้ยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาเกือบพันคน มีชื่อเสียงงดงามว่า ‘แม่ทัพฝ่ายบุ๋นพันกระบี่’
ไม่ใช่ว่าภูเขาต่าเจี้ยวหวาดกลัวทั้งสามฝ่าย แต่กระนั้นศักยภาพก็ไม่มากพอให้งัดข้อกับตระกูลหูลวี่ แม้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล แส้ยาวแค่ไหนก็เอื้อมมาไม่ถึง (เปรียบเปรยว่าเกินขอบเขตอำนาจตัวเอง) ส่วนชิงกู่ฮูหยินที่ชอบเลี้ยงชายบำเรอกับผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่ง ภูเขาต่าเจี้ยวก็ยิ่งไม่กลัวเข้าไปใหญ่ แต่ทุกคนที่มาเยือนล้วนถือเป็นแขก มีหลักการที่พ่อค้าเปลี่ยนจากการทำการค้ามาเป็นศัตรูกับลูกค้าเสียที่ไหน
ผู้เฒ่าร้องโอ้โหหนึ่งที โน้มตัวมาด้านหน้า หันหน้าไปมองทางผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นแล้วถามเสียงดัง “เจ้าเด็กแซ่หูลวี่ หูลวี่อิ๋นจื่อเป็นอะไรกับเจ้า?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “คือท่านอาน้อยของข้า ปิดด่านหลายปีแล้ว เจ้ารู้จักรึ?”
ผู้เฒ่าตบเข่าฉาด “ฮ่าๆ ตอนที่หูลวี่อิ๋นจื่อยังเป็นหนุ่ม ทึ่มทื่อเหมือนไม้ท่อนหนึ่ง คราวก่อนไปกินเนื้อสดที่หอนางโลม ข้าผู้อาวุโสก็คือคนพาเขาไป! หลังจากนั้นมา จุ๊ๆๆ เขาจะต้องมาตามก้นข้าผู้เฒ่าทุกสองวันสามวัน แม่งเอ๊ย เคยได้ยินแค่ว่าใต้หล้านี้มีพวกที่ชอบขอกินขอดื่มไม่จ่ายเงิน แต่อาน้อยของเจ้าคนนี้กลับขอเที่ยวนางโลมไม่จ่ายเงิน ข้าผู้อาวุโสอยู่มาจนป่านนี้ เพิ่งจะเคยเห็นคนแบบเขาเป็นคนแรก!”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหน้าแดงก่ำ รีบชำเลืองมองไปทางผู้ฝึกกระบี่สาวที่อยู่ข้างกายอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่านางไม่มีท่าทีผิดปกติ เขาถึงพอจะคลายใจลงได้บ้าง จึงหันไปพูดกับผู้เฒ่าปากสุนัขผู้นั้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอาน้อยของข้าไม่ใช่คนแบบนั้นแน่!”
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อเหลือกตามองสูง “ข้าผู้อาวุโสกับท่านอาน้อยของเจ้าคือเพื่อนสนิทที่ช่วยเช็ดก้นให้กัน เด็กน้อยอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มอึ้งตะลึงเหมือนถูกฟ้าผ่า
ในที่สุดผู้ฝึกกระบี่สาวที่ทนมานานก็รู้สึกเหลือทน ตวาดกร้าวอย่างเดือดดาล “หุบปาก!”
ผู้เฒ่าหัวเราะคิกคัก “ว้าว นังหนูนี่ดุร้ายจริงๆ เสร็จแน่ ไอ้หนูเจ้าลำบากแน่”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มรู้ดีว่ากำลังจะมีเรื่อง เพียงแต่ไม่ทันได้เปิดปากเอ่ยเตือน
ผู้ฝึกกระบี่สาวสีหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง “ปากเปราะ พูดจาไร้มารยาท ข้าจะตบให้ฟันสุนัขของเจ้าร่วงหมดปาก!”
กระบี่บินเล่มเล็กที่ใช้แทน ‘ปิ่น’ ปักมวยผม ตัวกระบี่ไร้ความคม ขนาดเล็กกระจิ๋วหลิว
แต่พอหลุดออกมาจากเส้นผมสีนิลบนศีรษะ หางกระบี่ก็เปล่งแสงสีขาวหิมะเส้นหนึ่ง กระบี่บินลากเส้นสีขาวแสบตาที่ยาวมากเส้นหนึ่งคงค้างอยู่กลางอากาศตามทิศทางที่มันพุ่งไป
เดิมทีกระบี่บินบนโลกก็มีชื่อเสียงด้านความเร็วและยากจะป้องกันอยู่แล้ว แต่กระบี่บินเล่มเล็กของผู้หญิงคนนี้กลับเร็วจนอยู่เหนือความคาดคิด
เร็วเกินไปแล้ว!
ได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ
เฉินผิงอันใจกระตุกเล็กน้อย
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊ออุดปาก เลือดสดหลั่งลงมาตามร่องนิ้ว พูดเสียงคลุมเครือฟังไม่ชัดเจน
ที่แท้กระบี่บินก็แทงเข้าไปที่ปากของเขา ทะลวงฟันซี่หนึ่งของผู้เฒ่าจนแตกละเอียด
ผู้เฒ่าไม่โกรธกลับยังหัวเราะขำ เบิกบานใจอย่างถึงที่สุด เขาใช้สองมือตบขา ถ่มเลือดคำหนึ่งออกมา ตะโกนพูดเสียงดัง “ช่างเป็น ‘สายฟ้าแลบ’ ที่ดีจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นหนึ่งในกระบี่บินที่เร็วที่สุดของกุรุทวีปเรา มีชื่อเสียงสมดังคำเล่าลือ มีชื่อเสียงสมดังคำเล่าลือจริงๆ!”
ต่อให้เป็นชิงกู่ฮูหยินก็ยังขนลุกขนพอง
นี่คือลูกหลานของเซียนกระบี่ซึ่งไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็นอีกคนหนึ่งแล้ว
อีกทั้งเมื่อเทียบกับตระกูลหูลวี่ที่มีศักยภาพยิ่งใหญ่แล้ว เจ้าของคนก่อนของ ‘สายฟ้าแลบ’ เล่มนี้ถือเป็นคนที่มีพลังอำนาจไม่ธรรมดา และพลังการต่อสู้ก็แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดด้วย
เขาเคยสะพายกระบี่เดินทางไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางซึ่งเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบเพียงลำพัง กระบี่พกมีนามว่า ‘พยัคฆ์ทมิฬ’ กระบี่บินมีชื่อว่า ‘สายฟ้าแลบ’
แม้เฉินผิงอันจะไม่รู้ความลับขั้นสุดยอดของกุรุทวีป แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกเขายังพูดคุยกันด้วยภาษาทางการของกุรุทวีป เฉินผิงอันจึงฟังไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นมรสุมที่ตั้งเค้าก่อนเทพเซียนจะตีกันอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมแต่โดยดี และเตรียมพร้อมเผ่นหนีได้ทุกเมื่อหากท่าไม่ดี
ยังดีที่การคุยเล่นกันในช่วงที่ผ่านมา ได้ฟังชุนสุ่ยและชิวสืออธิบายจึงทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าหากอยู่บนเรือคุนที่ข้ามผ่านสามทวีปลำนี้ การพบเจอเทพเซียนไม่ใช่เรื่องที่ต้องแปลกใจ
ส่วนเบื้องใต้เรือคุน ยุทธภพของแจกันสมบัติทวีป อันที่จริงไม่มีบุคคลน่าครั่นคร้ามอะไรอยู่มากนัก ไม่เพียงแต่บุรพแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นกุรุทวีปที่แผ่นดินกว้างใหญ่มีมือกระบี่มากมายดุจขนวัวก็เป็นเหมือนัน
หลังจากกระบี่บินกลับเข้าฝักแล้ว ผู้ฝึกกระบี่หญิงก็หันไปยิ้มขออภัยให้กับเจ้าของเรือภูเขาต่าเจี้ยว ในใจฝ่ายหลังจึงโล่งใจมากขึ้น
อันที่จริงมีนางช่วยออกหน้าให้ เหตุการณ์จึงไม่บานปลายซับซ้อน มีแต่จะปิดฉากลงอย่างเรียบง่าย
แล้วก็จริงดังคาด คนของสามฝ่ายต่างก็สงบเสงี่ยมกันมากขึ้น ไม่เหลือบรรยากาศตึงเครียดพร้อมห้ำหั่นกันอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ตอนที่อยู่ในเมืองเล็กหรือบนภูเขาลั่วพั่ว อันที่จริงเฉินผิงอันไม่รู้สึกว่ายุทธภพจะอันตรายจนถึงขนาดที่ทำให้คนเกิดความสิ้นหวังด้านชาอย่างที่เด็กชายชุดเขียวรู้สึก
แต่หลังจากได้เห็นศึกของผู้ฝึกกระบี่ในภาพวิหคและบุปผา แล้วก็เห็นการประมือกันของเทพเซียนในระยะประชิด เฉินผิงอันก็บอกกับตัวเองในใจว่า ‘เฉินผิงอัน อย่าเอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว ต้องมานะฝึกหมัดให้มากขึ้น จะได้ฝึกกระบี่ได้เร็วขึ้น’
เฉินผิงอันหันไปมองท้องฟ้านอกเรือคุนโดยไม่รู้ตัว ขี่กระบี่บินทะยาน ลอดผ่านทะเลเมฆ เคียงคู่อยู่กับฝูงสกุณา ภาพเหตุการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาตั้งตารอคอยอย่างยิ่ง
—–