บทที่ 53 อย่างโหดเหี้ยม

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

ในช่วงสองวันที่ผ่านมาโม่ซิ่งอารมณ์ดีไม่น้อย เมื่อไม่กี่วันก่อนเขารายงานความผิดปกติของสองสามีภรรยาตระกูลไป๋ไปที่สำนักงานใหญ่ของหน่วยกิจการพิเศษเฉินโจวผ่านช่องทางลับภายใต้อำนาจของผู้อำนวยการหน่วย ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้รับประกาศนียบัตรลับจากทางสำนักงานใหญ่ของหน่วยกิจการพิเศษเฉินโจว

“นี่คือโม่ซิ่งผู้อำนวยการหน่วยกิจการพิเศษฉีเฉิง พึงระวังระแวดระวังไว้ จงตรวจจับล่วงหน้าว่ามีปีศาจแฝงตัวอยู่ในระบบของสำนักสัจธรรมหรือไม่ นี่ถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ข้าพเจ้าขออุทิศบุญชั้นหนึ่งให้กับปัจเจกบุคคลและโอกาสพิเศษในการศึกษาต่อเพื่อเป็นการยกย่อง ข้าพเจ้าหวังว่าจะบรรลุผลสำเร็จที่ดีและจะยังคงต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรักษาเสถียรภาพและความสงบเรียบร้อยไว้ได้”

ใบประกาศนียบัตรฉบับนี้ได้มายากมาก โม่ซิ่งอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาราวกับได้รับใบประกาศนียบัตรเป็นครั้งแรกในชีวิต

เขาเฝ้าถามตัวเองในตอนนั้นว่าคิดว่าตัวเองกำลังจะตายจริงๆ หรือเปล่า โชคดีที่คนไร้มนุษยธรรมทั้งสองนั่นไม่ได้ฆ่าเขาให้ตาย

คิดถึงเรื่องนี้เขาก็หงุดหงิดเล็กน้อย ปีที่แล้วสำนักสัจธรรมยินดีจะเปิดหาทางแก่การฝึกฝนขั้นสูงเหล่านั้นให้เขาได้เลือกศึกษา แต่อีกฝ่ายกลับไม่กล้าบอกว่าว่าจริงๆ แล้ว ตนเป็นปีศาจที่กินคนเพื่อเพิ่มพลังเวท

เขาเชื่อว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ เบื้องบนจะมีความรอบคอบเกี่ยวกับความจริงที่ว่าสำนักสัจธรรมงถูกบงการโดยตระกูลหนึ่งมาโดยตลอด หากเอาแต่พึ่งพาหน่วยกิจการพิเศษคงไม่เพียงพอแน่นอน

คราวนี้เขาได้รับโอกาสในการฝึกฝนพิเศษอีกครั้ง จะต้องกอบโกยมันไว้อย่างดี จะไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดใอไปแน่นอน

ขณะที่โม่ซิ่งยังคงหงุดหงิดกับสองสามีภรรยาตระกูลไป๋ที่เสียชีวิต เวลานี้ท่ามกลางหุบเขาอันห่างไกลที่อีกฝ่ายฆ่าตัวตายนั้น มีพี่น้องตระกูลเฉียวยืนอยู่ที่นั่น

“ช่างน่าแค้นใจจริงๆ ทำไมจู่ๆ ถึงหายไปอีกแล้ว? ข้อมูลที่เซียวชางมอบให้เราก็แปลกเช่นกัน บอกว่าพวกมันหยุดอยู่ที่นี่ในตอนสุดท้าย แต่แล้วจู่ๆ ก็หายตัวไปจากแผนที่พร้อมกัน จากนั้นผู้อาวุโสตระกูลไป๋ก็รีบไปสถานที่แห่งหนึ่ง เขาแอบวิ่งไปดูแผนที่ที่ตั้งของตระกูลไป๋ แต่กลับไม่พบตำแหน่งของพวกเขาอีก ใช้เวลาไม่น้อยเลยในการหาสถานที่แห่งนี้ และกว่าจะปีนขึ้นมาบนภูเขาได้ แต่สุดท้ายแม้แต่หนูสักตัวก็ไม่มี” เฉียวจื่อจางมองไปยังหุบเขาที่ว่างเปล่าพลางบ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ขณะที่เฉียวจื่อซานปลดปล่อยพลังปกคลุมท้องฟ้า หลังการตรวจสอบก็พบว่าหุบเขาทั้งหมดนั้นว่างเปล่า และในถ้ำทั้งหมดก็ไม่พบหนูยักษ์เลยสักตัว บางทีพวกมันอาจจะหลบหนีไปก่อนแล้ว มีเพียงรังหนูภูเขาโง่ๆ ที่ซ่อนอยู่ในหน้าผาสูงชันยากต่อการปีนป่าย คาดว่านั่นคงจะเป็นหนูป่าพื้นเมืองที่ปัญญายังไม่ถูกวิวัฒนาการ

“ช่างเถอะ มันคงไม่ง่ายสำหรับเสี่ยวชางหรอก อย่าขออะไรมากไปกว่านี้เลย ผู้อาวุโสตระกูลไป๋รักเขามาก เขาจึงไม่เคยถูกเปิดเผย” เฉียวจื่อซานพร่ำอธิบาย

เฉียวจื่อซานกล่าวพลางมองไปรอบๆ หุบเขาอีกครั้ง ในใจพลันหนักอึ้ง

ในอนาคตหากหนูภูเขาพวกนี้เกิดวิวัฒนาการทางปัญญาขึ้นมา จนถึงตอนนั้นจะทำอย่างไร? ต้องฆ่าพวกมันทั้งหมดหรือ? ถึงตอนนั้นจะเหลือมนุษย์ที่อยู่บนโลกนี้หรือไม่?

เช่นนั้นก็รวมพวกมันเข้ากับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ให้สัญชาติกำเนิดแก่พวกมันด้วยจะเป็นการดีไหม? หยุดเอ่ยถึงเรื่องความขัดแย้งของทรัพยากร แต่อย่างที่น้องสาวบอก ปีศาจพวกนี้ โดยธรรมชาติยังคงกินมนุษย์เป็นอาหาร

การเลือกปฏิบัติระหว่างเชื้อชาติคงดำเนินต่อไป มนุษย์ยังไม่ได้รับการชะล้าง ไม่ต้องพูดถึงสายพันธุ์ต่างๆ นิสัย ชีวิตกับวิถีแห่งธรรมชาติยังต่างกันโดยสิ้นเชิง แล้วจะอยู่อย่างสงบสุขได้ยังไงกัน?

“พี่ชาย ท่านเป็นกังวลอีกแล้วนะ” เฉียวจื่อเจียงกล่าวอย่างลำบากใจ มองท่าทางเคร่งเครียดของอีกฝ่าย พี่ชายเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในรุ่นหลานของตระกูลเฉียวและเป็นผู้สืบทอดการฝึกฝนปราณเพียงคนเดียว แต่เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ที่ต้องเผชิญไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถรับมือได้ทัยทีในอายุเพียงเท่านี้ แม้เธออยากช่วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะบางอย่างก็ไม่สมเหตุสมผล ทำได้เพียงยืนหยัดอยู่ข้างๆ เพราะสุดท้ายมีแค่ความเข้มแข็งเท่านั้นที่จะแก้ไขมันได้…

“ลืมมันไปเถอะ อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ตอนนี้เลย ตามวิญญาณข้างบนนี้ไป ทะลวงบรรดาผู้ที่ขีดเส้นใต้ จับผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย ในตอนนี้ฉันไม่สามารถตัดสินใจอย่างอื่นได้อีกแล้ว เพราะไม่มีอำนาจในการตัดสิน” เฉียวจื่อซานเกาหัวแกรกพลันหยุดคิดเรื่องนี้

“งั้นก็ดีแล้ว เพราะว่าหาสามีภรรยาตระกูลไป๋ไม่พบ ความคลาดเคลื่อนที่สามารถรายงานได้ก็รายงานไปนานแล้ว เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรในตอนนี้ หนูได้ยินมาว่าร้านอาหารในเมืองฉีมีร้านหนึ่งดังมากทีเดียว คนดังหลายคนในเมืองจี้ที่มีเวลาว่าง ทุกสุดสัปดาห์มักจะหาเวลาบินมาทานอาหารที่นี่ บางคนบอกว่า หากสามารถให้เถ้าแก่เข้าครัวทำอาหารเลี้ยงรับรองด้วยตนเองได้ นั่นถือเป็นค่าตอบแทนที่หาได้ยากยิ่ง ฟังจากพวกเขาพูด ดูเหมือนว่ามีเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองฉีเป็นเจ้าของ…” เฉียวจื่อเจียงกล่าว

เฉียวจื่อซาน “เอาล่ะ พี่รู้ว่าเธอพูดจะอะไร คราวนี้เธอก็ต้องทำงานหนักเช่นกัน อย่างน้อยก็หาข้อมูลรายละเอียดของตระกูลไป๋ พี่เชื่อว่าเบื้องบนจะต้องดำเนินการชะล้างองค์กรในไม่ช้า ไว้พี่จะพาเธอไปร้านนั่นเพื่อเป็นรางวัลความดีความชอบแล้วกัน”

สองพี่น้องมองหน้ากันแล้วยิ้ม ก่อนจะปีนออกจากหุบเขา

หลังจากนั้นไม่นาน ครอบครัวหนูภูเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในหน้าผา ก็ปรากฏหนูสีเทาย่องออกมาอีกครั้ง มันมองไปรอบๆ บางครั้งก็กระดิกหูฟัง ดูเหมือนว่าหมอกที่แผ่ไปทั่วหุบเขาไม่สามารถบดบังสายตาของมันได้ ลมที่ส่งมาจากที่ไกลๆทำให้มันได้ยินเสียงทุกอย่าง

“เอาล่ะ มนุษย์คู่นั้นวิ่งออกจากหุบเขาไปไกลแล้ว เด็กๆ หมดเวลาซ่อนแอบแล้ว พวกเจ้าลงไปเล่นกันได้”

“ดีจัง”

“มาเร็ว”

“อย่าผลักข้าสิ”

หนูภูเขาตัวใหญ่และตัวเล็กกลุ่มหนึ่ง จับหางเดินทอดน่องต่อกันลงมาจากหน้าผาสู่ก้นหุบเขา บ้างไปหาน้ำค้างดื่ม บ้างยังคงหาเศษอาหารที่เหลืออยู่หลังจากหนูยักษ์จากไป และบ้างก็ไปเก็บผลไม้ป่าบนเถาวัลย์ บรรดาหนูน้องคนสุดท้องกำลังไล่กัดหางกัน ส่วนเหล่าพี่คนโตกำลังปลูกผลไม้จากผลที่ร่วงหล่นบนพื้นดิน…

แม้จะเป็นเวลาเที่ยงวัน ในเวลานี้ดวงอาทิตย์ก็ยังไม่สามารถทะลุผ่านหมอกและโปรยแสงกระทบลงมาที่ก้นหุบเขาได้

“ทำไมอาหารในหนึ่งมื้อของพวกเราถึงสั่งได้เพียงแค่นี้ ให้เถ้าแก่ออกมาทำอาหารเองไม่ได้หรือ?” เฉียวจื่อเจียงไม่พอใจ ในฐานะบุตรสาวของตระกูลเฉียว เธอไม่เคยขาดเงิน แม้บางครั้งตัวตนจากทีมสืบสวนพิเศษของสำนักสัจธรรมจะทำให้เธอตกที่นั่งลำบาก แต่ก็น้อยคนนักในแวดวงธุรกิจที่สามารถทำให้เธออับอายได้

เธอไม่คาดคิดว่าจะได้อยู่ในร้านเล็กๆ ในเมืองชั้นสอง แล้วถูกหยามเกียรติต่อหน้าพี่ชายแบบนี้

เมื่อจ้าวอิ๋งเห็นรัศมีของอีกฝ่ายแผ่ออกมา ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นคุณหนูผู้หยิ่งผยองที่มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์มากคนหนึ่ง

แน่นอนว่าจ้าวอิ๋งไม่ต้องการทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจ แต่ในใจของเธอกลับคิดว่า ‘อาหารพวกนี้ของคุณเมื่อเทียบกับรสชาติอันล้ำเลิศแล้วยังไม่พอใจอีกหรือ? อัศวิน A มากินอาหารหลายสิบล้านที่นี่ ไหนเลยไม่เคยต้องการให้เถ้าแก่ออกมาทำอาหารด้วยตัวเอง ทำอะไรก็ถูกปากไปหมด ดูแลเอาใจใส่เก่งมาก และไม่เคยเจ้ากี้เจ้าการพนักงานบริการเลย…’

ตรงกันข้าม แม้เธอจะรู้สึกขุ่นเคืองในใจเล็กน้อย ก็ไม่สามารถจำกัดการขายอาหารกับแขกเหรื่อคนอื่นๆ ได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงต้องโทรหาเถ้าแก่รายงานเรื่องราว แต่ช่างเถอะ เถ้าแก่โอตาคุคนนั้นคงไม่สนใจอยู่ดี…

เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชายคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืน

“จื่อเจียง พวกเขาคงไม่สะดวก เราอย่าไปบังคับเลย พี่เห็นลูกค้าที่ออกจากร้านท่าทางของทุกคนดูพึงพอใจมากทีเดียว หาที่นั่งกินก่อนเถอะ” แน่นอนว่าเฉียวจื่อซานจะไม่อาศัยอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงคนอื่นไปทั่ว ฉะนั้นเขาจึงเกลี้ยกล่อมน้องสาว

“มีเงินมากองตรงหน้ากลับไม่ไขว่คว้า พวกงี่เง่า” เฉียวจื่อเจียงพึมพำ ทันทีที่ถูกพี่ชายพูดตะล่อม เธอก็หยุดโวยวาย

จ้าวอิ๋งได้ยินแบบนั้นก็รีบเอ่ยขอบคุณทันที “ขอบคุณชายที่กล่าวชม คุณชายมีสายตาเฉียบแหลมมากจริงๆ ลูกค้าทุกคนที่มาทานอาหารจากร้านของเรา ล้วนไม่มีใครเอ่ยว่าไม่ดี ดิฉันจะจัดหาโต๊ะดีๆ เพื่อพวกท่านโดยเร็วที่สุด”

เมื่อเฉียวจื่อเจียงได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็ดูดีขึ้นบางส่วน ตาและคิ้วกระตุกตามเสียงหัวเราะ เธอชอบให้คนอื่นชื่นชมพี่ชายของเธอมาก แม้ว่าผู้หญิงตรงหน้าจะทำตามมารยาททางธุรกิจก็ตาม

ไม่นานหลังจากที่พี่น้องตระกูลเฉียวนั่งลง อาหารที่พวกเขาสั่งก็ทยอยออกมาเสิร์ฟทีละจาน

“อร่อย รสชาติดีจริงๆ” เฉียวจื่อเจียงได้ลิ้มรสเพียงคำแรก ก็รู้สึกว่ามีรสชาติพิเศษอยู่ในนั้น ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปในหัวใจคนกินได้ อาหารแทบจะหลอมละลายในปากทันที

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำออกมาได้อย่างแน่นอน หนูจำได้แล้ว ในข้อมูลผู้ที่มีทักษะระดับสูงในท้องถิ่นประจำสังกัดหน่วยกิจการพิเศษเมืองฉี มียอดฝีมือคนหนึ่งที่มีหัตถ์แห่งการปรุงอาหารอันยอดเยี่ยมนามว่าฟางหนิง หนูได้ยินมาว่าเขาขี้เกียจมาก เพียงปรับเปลี่ยนส่วนผสมแล้วปล่อยให้พ่อครัวทำหน้าที่แทนต่อ แทบจะไม่ได้ทำด้วยตัวเองสักนิด ร้านแห่งนี้คงจะเป็นร้านของเขา ว่ากันว่าเขาเป็นแบบอย่างให้กับผู้ที่มีทักษะเหนือธรรมชาติเพื่อมุ่งสู่หนทางร่ำรวยอย่างถูกกฎหมาย ทั้งได้รับการส่งเสริมอย่างเคร่งครัดจากหน่วยกิจการพิเศษในท้องถิ่นด้วย”

ท้ายที่สุดเฉียวจื่อเจียงก็สมควรได้รับฉายา ‘เด็กสาวผู้มีปัญญา’ ในไม่ช้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับฟางหนิงและอาหารก็เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

เฉียวจื่อซานส่งอาหารเขาปากพลางพยักหน้า “หากผู้ปลุกพลังส่วนใหญ่เป็นเหมือนเถ้าแก้ผู้นี้ได้จริงๆ เท่านี้ก็จะสงบสุขแล้ว ลดความทะเยอทะยานในการใช้อำนาจสร้างความโกลาหลให้น้อยลง มนุษย์ก็คงเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าน้อยลงเช่นเดียวกัน”

ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน จู่ๆ ก็เกิดความปั่นป่วนเล็กน้อยขึ้นในร้าน ดูเหมือนว่าจะมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา

แขกสองสามคนที่ดูเหมือนจะเป็นขาประจำต่างอ้าปากอธิบายให้คนอื่นๆ ฟัง “ดูสิ นั่นจอมยุทธ์ที่สามารถกินอาหารหนึ่งมื้อได้ตลอดทั้งคืนกลับมาแล้ว”

“ฮิฮิ ฉันเคยเห็นเขาแล้ว ไม่เพียงแต่เขาจะกินอาหารได้ตลอดทั้งคืน แต่เขายังสามารถจับขโมยและคนร้ายได้ตลอดทั้งคืนอีกด้วย” คนอื่นๆ ส่งเสียงหัวเราะและกล่าวชื่นชม

เฉียวจื่อซานไม่ใช่คนที่ชอบเรื่องสนุกสนาน เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น แต่เมื่อได้ยินเสียงนี้มากเข้า เขาก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองชายที่เดินเข้ามาในร้าน

เพียงแค่มองปราดเดียว เขาก็ต้องตื่นตกใจ จนตะเกียบในมือร่วง

เพราะเขาเพิ่งจะเห็นอีกฝ่ายในวีดิโอ รอยสักมังกรและเสือ ท่าทางอันเย่อหยิ่ง เป็นหนึ่งในคุณลักษณะของผู้นำวงการศิลปะการต่อสู้

เขาดูดีไร้ที่ติ รูปร่างผอมบาง ราวกับฉู่หลิวเซียงยังมีชีวิต หลี่สวินฮวนหวนเกิดใหม่ก็ไม่ปาน ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อเขาเข้ามาในร้าย ผู้จัดการสาวที่เคยทะเลาะกับน้องสาวก่อนหน้านี้จะเอาแต่มอง

ทว่า สิ่งที่ทำให้เขาตกใจไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก

“พี่ชาย มีอะไรหรือเปล่า” เฉียวจื่อเจียงรู้ว่าพี่ชายแปลกไป หากไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีทางที่เขาจะดูตกใจขนาดนี้

“คนผู้นั้นคืออัศวิน A ที่เราเห็นในวีดิโอยังไงล่ะ แต่พอเจอตัวจริงก็รู้แล้วว่า ทำไมเขาถึงสามารถฆ่าจอมมารเจ็ดอารมณ์ได้ ทั้งยังสามารถกำจัดสามพี่น้องตระกูลไป๋ แล้วสามารถปลุกคืนร่างแห่งปราณให้แก่ฉันได้ด้วย ความจริงแล้วเขาฝึกฝนวิทยายุทธ์อย่างโหดเหี้ยมมาก ทำให้เขาไปถึงจุดสูงสุดได้ก่อนใคร!”

…………………………………………