กระบี่เร่งความเร็วพุ่งเข้าไปหาหลิ่วสือซุ่ย พริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่ง ดูแล้วเหมือนกำลังจะพุ่งเข้าสังหารเขา
หลิ่วสือซุ่ยไม่มีทางตอบสนองได้ทัน เสียงอุทานตกใจของเสี่ยวเหอเองก็ยังมิทันได้หลุดออกจากปาก ลำแสงเปลี่ยนกลับเป็นกระบี่บินอีกครั้ง ลอยนิ่งๆ อยู่ตรงลำคอของเขา
ในระยะสั้นๆ เท่านี้ กระบี่เล่มนี้กลับเร่งความเร็วได้รวดเร็วเช่นนี้ แล้วยังหยุดอย่างกะทันหันเช่นนี้อีก ช่างเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก
ปลายกระบี่อันแหลมคมแตะไปที่ดอกมะลิเบาๆ ดูช่างอ่อนโยน คล้ายแมลงปอแตะผิวน้ำ
ดอกมะลิแตกสลาย กลายเป็นจิตจำแนกแห่งกระบี่ที่บริสุทธิ์ที่สุด จากนั้นลอยเข้าไปในตัวกระบี่
กระบี่บินสั่นไหวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังหวึ่งๆ เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า หายวับไปจากตรงหน้าหลิ่วสือซุ่ย มันพุ่งเข้าไปหาช้างตัวสีแดงที่อยู่ในแสงอาทิตย์ยามเย็นตัวนั้น ส่งเสียงหวีดร้องดังแสบแก้วหู
เดิมทีกระบี่บินจะไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาก็ได้ แต่การที่ได้ออกมาแสดงพลังบนโลกอีกครั้งหลังต้องอยู่เงียบๆ มาเป็นเวลาสิบกว่าปีนั้นทำให้มันมีความสุขจนอยากจะร้องเพลงออกมา
……
……
บนยอดเขาเสินม่อ ไป๋กุ่ยลืมตา ยันกายขึ้นมา แบกจักจั่นเหมันต์มายังริมผา ก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าไปดมดอกไม้ดอกหนึ่ง ในดวงตาเผยให้เห็นรอยยิ้ม
ในตอนที่มันเงยหน้าขึ้นมา มันพบว่าพวกเจ้าล่าเยวี่ยกำลังอยู่ในสมาธิ รอยยิ้มที่อยู่ในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเย้ยหยัน
ปัญหาง่ายๆ แค่นี้ก็ยังคิดไม่เข้าใจอีกหรือ?
ด้วยสภาวะของจิ๋งจิ่วในเวลานี้ หากไปที่นั่นก็มีแต่ต้องตายแน่นอน กระบี่้พวกนั้นยังมีความน่าเชื่อถือมากว่าเสียอีก
จะว่าไปแล้ว เจ้านี้มันมีกระบี่อยู่กี่เล่มกันแน่?
ไป๋กุ่ยหรี่ตา ในใจครุ่นคิดว่าหากมิเป็นเพราะมันไม่สามารถล่วงรู้คำตอบนี้ได้ บางทีมันคงจะลงมือไปนานแล้ว
……
……
ลำแสงกระบี่หายวับไปในป่า แต่เสียงหวีดของกระบี่ยังคงดังสะท้อนไปมา
ม่านตาของหนานเจิงหรี่เล็ก ต่อให้สภาวะของนางจะสูงส่งเพียงใด แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกระบี่บินชั้นเซียนก็มิกล้ารีรอแม้แต่น้อย สิบนิ้วกวาดไปบนสายกู่เจิงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
เสียงติงๆ ตังๆ ดังแน่นขนัด ตกกระหน่ำลงมาราวกับพายุฝน กลายเป็นเส้นที่ไร้รูปลักษณ์จำนวนนับไม่ถ้วน ถักทอเป็นแนวป้องกันอันแน่นหนาอยู่ด้านหน้าของนาง
อากาศพลันแปรเปลี่ยนรูปร่าง เห็นได้ชัดว่ามีพลังบางอย่างกำลังทะลวงแนวป้องกันเหล่านั้นอยู่
เสียงขาดผึงจำนวนมากดังขึ้นมาเบาๆ กระบี่บินเล่มนั้นทะลวงเสียงกู่เจิงสิบกว่าเส้นได้อย่างง่ายดาย กรีดใบหน้าของนางจนเป็นแผลอย่างชัดเจน
ความเร็วของกระบี่บินช้าลงเล็กน้อย แต่ยังคงน่ากลัวอย่างมากอยู่ พริบตาก็มาถึงตรงหน้าถูชิวที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้
ถูชิวสีหน้าดูแย่อยากมาก เขาระเบิดเสียงคำรามออกมา กำหมัดขวาชกไปทางลำแสงกระบี่
ถุงมือที่ประดับประดาไว้ด้วยเพชรข้างนั้นเป็นอาวุธวิเศษที่ร้ายกาจ แต่ใครจะไปคิดบ้างว่ามันกลับป้องกันการโจมตีของกระบี่บินไม่ได้ เพียงพริบตาก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลายเป็นผีเสื้อสลายหายไป
กระบี่บินพุ่งไปข้างหน้าต่อ ทะลวงกำปั้นของเขา เข้าไปในแขนของเขา จากนั้นทะลุออกไปทางด้านหลังหัวไหล่
เลือดเนื้อกระจุยกระจาย แขนขวาของถูชิวแหลกเหลว
ในเวลานี้ เสียงตะโกนของเขาถึงได้ดังขึ้นมา แต่มันกลับเปลี่ยนเป็นเสียงร้องโหยหวน
อวี้ปูฮวนมองเห็นโอกาสเร็วที่สุด ในตอนที่กระบี่บินเล่มนั้นพุ่งออกมาจากตัวหลิ่วสือซุ่ย เขาก็เกิดความคิดที่จะถอยหนีแล้ว
ในขวดรกร้างมีทรายผุดขึ้นมาสายหนึ่ง เขามุดลงไปในทราย หายไปจากจุดที่ยืนอยู่เดิม
ลำแสงกระบี่สว่างวาบ กระบี่บินอาบเลือด
เมื่อเห็นภาพนี้ เสี่ยวเหอตกใจจนเหม่อลอย หลิ่วสือซุ่ยเองก็ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
“ฆ่าคน!”
หนานเจิงตะโกนเสียงดัง
กระบี่บินชั้นเซียนเล่มนี้เคลื่อนไหวไปมารวดเร็ว คมกระบี่แหลมคมเป็นอย่างมาก การจะป้องกันมันนับเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่ขอเพียงถ่วงเวลาไว้ได้ครู่หนึ่ง พวกเขาก็จะสามารถสังหารหลิ่วสือซุ่ยและเสี่ยวเหอได้
เมื่อได้ยินเสียงของหนานเจิง อวี้ปู้ฮวนก็กระโดดออกมาจากในทรายอีกครั้ง เขาไม่สนใจบาดแผลที่อยู่บนขา อุ้มขวดรกร้างเล็งไปทางหลิ่วสือซุ่ยที่อยู่ไกลออกไป
เพชรบนถุงมือที่ร่วงตกอยู่บนพื้นลอยขึ้นมา ตั้งเป็นข่ายพลังอยู่ตรงหน้าถูชิว
หนานเจิงหลบไปอยู่ด้านหลังช้าง แต่การเคลื่อนไหวในมือกลับมิได้ช้าลง
หลิ่วสือซุ่ยและเสี่ยวเหอพลันรู้สึกได้ถึงแรงดูดอันรุนแรงสายหนึ่ง เลือดภายในร่างกายคล้ายกำลังเดือดพล่าน เร่าๆ จะพุ่งทะลุหลอดเลือดและผิวหนังออกไป
เสียงกู่เจิงที่ดังเข้ามาในหูคล้ายมีดดาบ ทำให้พวกเขาเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด กระบี่ตานปีศาจก็ไม่สามารถกระตุ้นได้
กระบี่บินเล่มนั้นมองแล้วว่าไม่สามารถทำลายแนวป้องกันเข้าไปสังหารอีกฝ่ายได้ในทันที จึงแปลงกลับเป็นลำแสงบินกลับมาหาหลิ่วสือซุ่ย พลางสั่นไหวไม่หยุด
ในเวลานี้หลิ่วสือซุ่ยกำลังอยู่ในช่วงที่เจ็บปวดที่สุด สัมปชัญญะคล้ายเลือนลาง
เขาคิดในใจว่ากระบี่บินร้ายกาจปานนี้ เหตุใดจึงไม่รีบสังหารพวกเขาให้หมด
ในขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
—- จริงอยู่ที่ข้าร้ายกาจอย่างมาก แต่ก็ต้องดูว่าอยู่ในมือใคร ดังนั้นรีบหนีกันเถอะ!
หลิ่วสือซุ่ยไม่รู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ตัวเองคิดไปเองหรือเปล่า แต่ในเวลานี้สถานการณ์อันตรายเป็นอย่างมาก ไม่สะดวกให้เขาครุ่นคิดอะไร เขาจับมือเสี่ยวเหอกระโดดขึ้นไป
กระบี่บินลงมาอยู่ใต้เท้าพวกเขา
ทันใดนั้น พวกเขาก็กลายเป็นจุดสีดำที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ จากนั้นจึงหายลับไปบนท้องฟ้า
……
……
หนานเจิงมองไปยังทิศทางที่กระบี่บินหายไป นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
“ชั้นเซียน! ชั้นเซียนแน่นอน!”
อวี้ปูฮวนที่กางเกงเปียกโชกไปด้วยเลือดกัดฟันกล่าวออกมา
ถูชิวคุกเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้น ใบหน้าขาวซีด พยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดของแขนที่หักจึงมิได้ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา
เสียงเย็นยะเยือกของหนานเจิงดังขึ้น “ไปเสียก็ดีเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นต่อให้พวกเราฆ่าเขาได้ พวกเจ้าก็รักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ไม่ได้เช่นกัน”
ถูชิวส่งเสียงเหอะออกมา ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ก่อนจะกล่าวอย่างไม่สบายใจว่า “แต่เราจะไปรายงานนายท่านอย่างไร?”
หนานเจิงหมุนตัวมองไปทางก้อนเมฆที่ไม่ยอมสลายไปไหนตลอดทั้งปีทางตะวันตก สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไร
……
……
กระบี่บินมุ่งไปข้างหน้า แผ่นดินถอยไปด้านหลัง ภาพที่วูบไหวด้วยความเร็วสูงเช่นนี้ ดูแล้วทำให้รู้สึกวิงเวียนได้ง่าย
ผ่านไปไม่นานเท่าไร กระบี่ก็บินออกมาได้ไกลหลายสิบลี้แล้ว
ด้วยความเร็วนี้ อีกไม่นานก็น่าจะมองเห็นชิงซานแล้วกระมัง?
หลิ่วสือซุ่ยคิดเช่นนี้ รู้สึกมีความสุข
กระบี่บินที่อยู่ใต้เท้าเขาสั่นขึ้นมาเบาๆ คล้ายว่ามีความสุขเช่นเดียวกัน
กระบี่บินสั้นอย่างมาก ยาวแค่สองฉื่อ หลิ่วสือซุ่ยและเสี่ยวเหอยืนอยู่ด้านบน รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร
เสี่ยวเหอยืนอยู่ด้านหลังเขา ไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้แต่ยื่นมือไปโอบเอวของเขาเอาไว้ ใบหน้าแนบชิดแผ่นหลัง มองไม่เห็นสีหน้า ไม่รู้ว่ามีความสุขอยู่หรือเปล่า
จู่ๆ พลันมีเสียงที่ฟังดูเย็นชาและทรงอำนาจดังขึ้นมาในท้องฟ้า
“กลับมาเถอะ”
หลิ่วสือซุ่ยฟังออกว่านี่เป็นเสียงของซีหวังซุน เขานิ่งเงียบไม่พูดอะไร มิไปสนใจ
กระบี่บินเร่งความเร็วอีกครั้ง เพราะมันรู้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่สามารถต่อกรกับเสียงนี้ได้
เสียงของซีหวังซุนดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าไม่ว่ากระบี่จะบินเร็วเพียงใดก็มิอาจสลัดหลุดได้
“ความจริงข้าไม่มั่นใคว่าเป็นเจ้า เพราะข้ารู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผล ข้าอยากรู้ถึงเหตุผลที่เจ้าหักหลังข้า หากเจ้ายอมกลับมา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
หลิ่วสือซุ่ยหมุนตัวมองดูลานเมฆตรงขอบฟ้าที่ใกล้จะหายลับไปจากสายตา มิได้กล่าวกระไร
เขาเชื่อว่าซีหวังซุนมิได้โกหก ขอเพียงตัวเองไม่ต่อต้าน เขาก็จะมีชีวิตรอดต่อไปได้
แต่มีชีวิตรอดมิได้หมายความว่าเป็นเรื่องดี
ในบันทึกของปู้เหล่าหลิน เขาเห็นตัวอย่างที่ทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น อยากตายแต่มิได้ตายมามากมาย
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร มองไปข้างหน้า
ด้านหน้ายังมองไม่เห็นชิงซาน แต่ชิงซานอยู่ข้างหน้า
เสียงถอนใจของซีหวังซุนดังขึ้นในหัวของเขา
สายฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกมาจากลานเมฆที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ก่อนจะผ่าลงมาบนกระบี่ของพวกเขาอย่างแม่นยำ
หลิ่วสือซุ่ยและเสี่ยวเหอตกลงมาจากบนกระบี่
ลมค่อนข้างหนาวเย็น
พวกเขาหลับตา แต่รับรู้ไม่ได้
………………………..