บทที่ 11 การค้นพบ Ink Stone_Fantasy

ขยะกองพะเนินจากการทำความสะอาดก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ไม่เหมาะจะนำไปทิ้งในท่อน้ำเสีย ลูเซียนเดินกลับไปกลับมาราวเจ็ดแปดครั้ง จนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไม่ต่างจากขยะที่เขานำไปไว้บนเกวียนสี่ล้อเลย

ความจริงแล้ว ทุกๆ เช้าจะมีคนงานจากโบสถ์มาเก็บขยะภายในเมืองแล้วขนย้ายไปไว้ข้างนอกเมือง เพื่อให้เมืองสะอาดสะอ้านและปราศจากโรคภัย ทว่าทางสมาคมนักดนตรีไม่อยากรอจนกว่าจะถึงเช้าอีกวันหนึ่ง ขยะกองใหญ่ปานนี้ช่างขัดกับความงามของสถานที่

หลังจากเก็บกวาดขยะส่วนสุดท้ายเสร็จแล้ว ลูเซียนก็กลับเข้ามาในโถงอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง และค่อยๆ เดินไปตามขอบห้องโถงทรงกลมเพื่อมุ่งไปยังประตูหลัก

“วูล์ฟ ให้ตายเถอะ เจ้าช่วยเลิกยุ่งกับข้าและปล่อยให้ข้าจดจ่อกับดนตรีจะได้ไหม” เสียงทุ้มทว่าตวัดห้วนพลันดังขึ้น ขณะที่ร่างที่สวมเสื้อโค้ตสีแดงรีบเร่งลงมาจากบันได เขาเดินลงมาพร้อมกับหันไปสบถก่นด่า จึงชนเข้ากับลูเซียนที่หลบไม่ทัน

เกิดเสียงดังตุ้บ อะไรบางอย่างจากถุงขยะในมือลูเซียนร่วงลงมาบนพรม แม้ว่าผืนพรมจะหนาและนุ่มมาก ก็ยังเกิดเสียงดังทึบๆ ได้

ชายผู้สวมเสื้อคลุมสีแดงโซเซเล็กน้อยก่อนจะกลับมายืนอย่างมั่นคง เขาก็คือวิกเตอร์ นักดนตรีคนที่เพิ่งขึ้นไปชั้นบนไม่นานนี้

วิกเตอร์สูดหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงก้มตัวลงไปเก็บตะเกียงน้ำมันที่แตกหักขึ้นมายื่นให้ลูเซียนที่ยังคงพยายามถือขยะที่เหลือไม่ให้หล่นลงไป “ขออภัย”

เกิดเสียงฝีเท้าลงบันไดมาอีกครั้ง ครานี้เป็นชายวัยกลางคนผมสีน้ำตาลสวมเสื้อโค้ตตัวยาวสีน้ำเงิน ปลายคางของเขาโค้งมนยื่นออกมาชัดเจน “วิกเตอร์ สมาคมแห่งนี้หาใช่ของเจ้าคนเดียวเสียหน่อย ข้าก็มีสิทธิทำในสิ่งที่ข้าอยากทำ และกลับไปเมื่อข้าต้องการ”

เขาทำท่าทางประกอบคำพูด ใบหน้าเขาไม่อาจปิดบังรอยยิ้มกว้างขวางได้ “เหลืออีกเพียงไม่เกินสามเดือนที่เจ้าจะต้องขึ้นแสดงกับวงในหอประชุมบทสวดเป็นครั้งแรก ข้าเข้าใจดีว่าเจ้าเครียดและอ่อนไหว แต่ว่าเจ้ายังเตรียมบทเพลงไม่เสร็จอีกรึ ข้าตั้งตาคอยมานานยิ่งแล้ว หากข้าได้ฟังเพลงของเจ้า ข้าจะไปเขียนบทความใน ‘วิพากษ์ดนตรี’ เพื่อเจ้าโดยเฉพาะ”

“ให้ตายสิ ข้าจะรอดูว่าเมื่อใดกันที่เจ้าจะมีความสามารถพอจะขึ้นแสดงที่หอประชุมบทสวดด้วยตัวเอง” วิกเตอร์เอ่ยเสียงแผ่ว ก่อนจะหันกายเพื่อเดินออกไปจากห้องโถง

สีหน้าของวูล์ฟพลันแย่ลง เขาตะโกนตอบโต้ขณะเดินกลับขึ้นไปชั้นบน “อีกเพียงสามเดือนเจ้าก็จะไม่มีที่ยืนอีกต่อไป…”

เมื่อเห็นว่าการโต้เถียงนั้นหยุดลงแล้ว ลูเซียนจึงถือขยะออกเดินต่อเพื่อมุ่งหน้าไปยังประตู แต่แล้ว เขาก็เห็นว่าตะเกียงน้ำมันที่วางอยู่ด้านบนสุดของขยะในอ้อมแขนไม่มีกระจก และเห็นว่าลวดลายแกะสลักงดงามประณีตกับก้นตะเกียงดูเก่ามาก ใจเขากระตุกเล็กน้อย ‘ดูเหมือนว่ามันจะทำมาจากแร่โลหะนะ’

ขณะครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ลูเซียนก็วางขยะส่วนสุดท้ายลงบนเกวียนสี่ล้อ ก่อนจะเอื้อมไปแตะบนตะเกียง แล้วก็พบว่ามันทำมาจากแร่โลหะจริงๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับแร่ทองแดงแต่ยืดหยุ่นกว่าแร่ทองแดงที่ลูเซียนเคยเห็นในโลกก่อน ‘ธาตุที่คล้ายกับทองแดงงั้นเหรอ ถึงตะเกียงนี้จะมีแร่โลหะไม่มาก แต่มันก็น่าจะยังขายให้ช่างตีเหล็กได้สักสองสามเฟลล์นะ’

‘เงิน?’ ในฐานะคนยากจนอย่างแท้จริง ทำให้ตอนนี้ไม่ว่าลูเซียนจะเห็นอะไร เขาก็จะคิดว่ามันมีราคาค่างวดหรือไม่ แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ‘บางทีอาจจะมีอะไรดีๆ อยู่ในขยะกองนี้ก็ได้ เช่น เศษกระดาษที่เห็นเมื่อกี้ กับปากกาขนนกพังๆ’

ลูเซียนรู้สึกเหมือนว่าเขาเพิ่งได้ค้นพบ ‘ขุมทรัพย์’ ในใจเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีค่าในสายตาของผู้มีอันจะกิน แต่มันคือโอกาสแรกสำหรับลูเซียนที่จะได้เปลี่ยนแปลงชีวิตแสนดิ้นรนของเขา เขาต้องการเพียงห้านาร์ก็พอ เพราะเขาสามารถเรียนจนอ่านเขียนได้คล่องภายในหนึ่งเดือน ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจเรียนเวทมนตร์หรือไม่ การอ่านหนังสือออกจะทำให้เขาเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้มากขึ้น นอกจากนี้เขายังมีความรู้และประสบการณ์จากโลกเก่า ไหนจะห้องสมุดในห้วงจิตของเขาอีก เมื่อถึงตอนนั้น เขาคงสามารถหาลู่ทางสู่ความมั่งคั่งที่ดีกว่านี้ได้

ความรู้สึกตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และโหยหาอนาคตที่ดีขึ้นทำให้ลูเซียนรู้สึกมีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยม เขาดันเกวียนและเดินออกไปนอกเมือง แต่ในขณะเดียวกัน ในใจเขาก็รู้สึกเป็นกังวลกับการค้นหาสิ่งที่สามารถนำไปใช้และขายได้จากกองขยะ เรื่องนี้ไม่ได้มีเทคนิคอะไรพิเศษ สิ่งที่จะหยุดได้คือการปฏิเสธของสกปรกจากคนทั่วไปและกำปั้นเท่านั้น

‘ตราบใดที่พวกอันธพาลไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง ฉันก็พอจะรับมือกับขอทานละแวกนั้นไหว’ หลังจากได้ร่วมต่อสู้กับแกรี่และโคเรลลาเพื่อจัดการกับหนูดวงตาสีแดงเลือดในห้องลับ ลูเซียนยังพอจะมั่นใจในพละกำลังของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าผู้ใหญ่ที่ผ่านการฝึกฝนมานาน แต่เวลาต่อสู้ การไม่ตื่นตระหนก มีสติ และออกอาวุธได้แม่นยำรุนแรงก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเอาชนะด้วยเช่นกัน

ไม่ไกลจากสมาคมนักดนตรีนัก ลูเซียนเห็นชายหนุ่มผมสีเงินกำลังเดินทอดน่องตรงไปยังสมาคม ‘ไรห์นนี่นา เขามาทำอะไรที่สมาคมนักดนตรีกันนะ’

เมื่อคิดว่ากวีขับลำนำอย่างไรห์นย่อมเป็นที่ต้องการตัวในสมาคมนักดนตรี ลูเซียนจึงเลิกครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว

ที่เขตประตูเมือง อังเดรจำลูเซียนได้ พอเขาเห็นว่าเกวียนบรรทุกขยะ ก็เข้าใจทันทีว่าลูเซียนกำลังทำงานอะไรอยู่ เขาจึงส่งยิ้มให้และไม่ได้เข้ามาพูดคุยอะไร ปล่อยให้ลูเซียนเดินผ่านยามเฝ้าประตูเมืองท่าทางสะเพร่าแล้วออกจากประตูเมืองไป

‘เขาไม่ส่งคนมาตามประกบฉันแฮะ นี่พวกอันธพาลจะไม่เข้ามายุ่งจริงๆ ใช่ไหม’ ลูเซียนคิดด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น

ทว่า ลูเซียนไม่ได้ลดความระแวดระวังลง เขาเดินออกจากประตูเมืองและเดินเลียบแม่น้ำเบเล็มไปอีกประมาณยี่สิบนาที หลังจากเห็นว่ารอบๆ นี้เงียบสงบ เขาก็ดันเกวียนเข้าไปในพงหญ้ารกๆ ข้างถนน แล้วคุ้ยขยะบนเกวียนเพื่อหาสิ่งที่อาจนำไปขายได้

ตะเกียงน้ำมันพังๆ เศษแร่โลหะขึ้นสนิมหลายชิ้น ปากกาขนนกหักๆ แปดด้าม ก้อนกระดาษใช้แล้วเป็นกอง และอื่นๆ อีกมากมาย

หลังจากลูเซียนหันมาหาถุงขยะใบสุดท้าย เขาก็ดึงผ้าลูกไม้ผืนสี่เหลี่ยมที่โปร่งบางจนมองผ่านได้รางๆ และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ติดมาด้วย บนผ้าผืนนั้นมีรูขาดอยู่เห็นได้ชัด ราวกับว่ามันไปเกี่ยวเข้ากับอะไรจนขาด ‘ดูเหมือนว่าจะเป็นผ้าคลุมหน้า อาจจะเป็นของนักดนตรีหญิงสักคนก็ได้’

ขณะมองผ้าคลุมหน้าและถูสัมผัสกับเนื้อผ้าเพื่อประเมินคุณภาพ ลูเซียนไม่ได้คิดถึงเรื่องลามกอนาจารอะไรเลย ทั้งหมดที่เขาคิดถึงคือผ้าชิ้นนี้มีค่าพอจะทำเงินให้เขาหรือไม่ ‘มันน่าจะทอจากไหมสีดำชั้นดี แต่จะเอามันไปทำอะไรได้กันล่ะ อืม คงเอาไปขายให้ช่างตัดเสื้อเพื่อตัดเป็นผ้าตกแต่งบนชุดกระโปรงยาว หรือเสื้อโค้ต’

หลังจากห่อสิ่งที่เขาค้นพบด้วยกระดาษหลายๆ แผ่นแล้วนำไปซ่อนในพงหญ้าใกล้ๆ ลูเซียนก็ดันเกวียนเดินเลียบแม่น้ำเบเล็มต่อไปจนถึงที่ทิ้งขยะ

ไม่ถึงสิบนาที ลูเซียนก็มาถึงที่ทิ้งขยะข้างแม่น้ำเบเล็มและเห็นกองขยะสูงพะเนินเป็นภูเขาขนาดย่อม แต่ลูเซียนก็ต้องประหลาดใจที่ขยะไม่ได้มีมากเหมือนที่เขาคิดไว้ และจุดที่ขยะกองอยู่ก็ไกลจากริมแม่น้ำสีเขียวมรกตใสแจ๋วพอสมควร มันจึงไม่ไหลไปกับกระแสน้ำ ‘อย่าบอกนะว่าเขาใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ในการรวบรวมแล้วก็ดูแลขยะพวกนี้น่ะ’

บริเวณนั้นเงียบสงัด ลูเซียนไม่เห็นใครเลยสักคน มีเพียงกลิ่นเหม็นที่โชยมา ‘ไม่มีใครมาคุ้ยขยะหาของไปขายเลยเหรอเนี่ย เป็นเพราะกลัวโรคร้ายหรือว่าคนที่นี่ไม่มีนิสัยอย่างนี้กันนะ’

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สำหรับลูเซียนแล้ว การได้เห็นกองขยะเหม็นโฉ่ก็เหมือนเขาได้เห็นกองเงินกองทอง หลังจากขนย้ายขยะบนเกวียนมาทิ้งเสร็จ เขาก็เดินไปรอบๆ อย่างอดใจไม่ได้ และไม่นำพาต่อกลิ่นเหม็นเลยสักนิด อย่างไรเสีย ถุงเงินว่างเปล่าก็ดูจะเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตลูเซียนมากกว่าโรคระบาดที่ยังไม่เห็นแม้แต่วี่แวว อีกอย่างคือ โลกใบนี้มีเวทมนตร์และเวทรักษา

แน่นอนว่าอย่างไรลูเซียนก็ยังกลัวว่าตัวเองจะเจ็บป่วยได้ ตอนคุ้ยขยะจึงห่อหุ้มมือด้วยเศษกระดาษและระมัดระวังอย่างมาก

ด้วยความที่เป็นองค์กรทางสังคมชั้นสูง สมาคมนักดนตรีจึงมีของมีค่ามากกว่าขยะจากที่อื่นๆ แต่ลูเซียนก็ยังค้นพบของอีกมากมายที่สามารถขายแลกเงินได้เล็กน้อย

เมื่อคิดว่าอาจมีการตรวจค้นที่ประตูเมือง เขาจึงกลัวว่าจะสร้างความสงสัยให้กับคนอื่นๆ นอกจากนี้นี่ยังเป็นครั้งแรกของเขา ลูเซียนจึงว้าวุ่นใจเล็กน้อย เขาหยิบถุงผ้าใบเล็กที่ส่งกลิ่นเหม็นหึ่งออกมาจากกองขยะแล้วย้ายของบางส่วนใส่ลงไปและหาจุดซ่อนใกล้ๆ ก่อนจะฝังมันลงดิน จากนั้นเขาก็ดันเกวียนกลับขึ้นสู่ถนนและเดินมายังที่ซ่อนแรก นำกระดาษห่อเศษตะเกียงน้ำมันมาใส่ถุงผ้าของเขา แล้ววางไว้บนเกวียน โดยพยายามทำให้มันดูราบไปกับพื้นเกวียนให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยและไม่ทำให้เกวียนเปรอะเปื้อน

ส่วนผ้าคลุมหน้าและของชิ้นเล็กๆ อย่างอื่น ลูเซียนใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง

เมื่อเดินผ่านประตูเมือง ทหารยามก็ทำเพียงมองมาที่เขาด้วยท่าทางเฉื่อยชาและโบกมืออนุญาตให้ลูเซียนเข้าไป

พอเขาดันเกวียนไปหาอังเดรกับแม็ก ก็เห็นว่าพวกเขารีบยกมือขึ้นปิดจมูก ลูเซียนลอบหัวเราะในใจ “ข้าคือลูเซียน มารับค่าจ้างจากทางสมาคมนักดนตรีขอรับ”

แม็กเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง สบถพึมพำพลางเทเหรียญทองแดงออกมา “ให้ตายเถอะ รีบรับเงินของเจ้าแล้วเอาเกวียนสกปรกเหม็นหึ่งไปไกลๆ เลยไป”

อังเดรที่ยังคงยิ้มด้วยรอยยิ้มติดเป็นนิสัย ยืนอยู่ห่างออกไปยิ่งกว่าแม็กเสียอีก “ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เจ้าได้ขนขยะไปที่ริมแม่น้ำเบเล็มสินะ การเดินทางไปกลับใช้เวลานานมาก เหอะๆ หากอยู่ที่นั่นจนเย็นย่ำ เจ้าก็อาจกลับเข้าเมืองไม่ได้ และที่นั่นก็มีวิญญาณแค้นมากมายที่ปรากฏตัวยามค่ำคืน”

‘คนจากโบสถ์ไม่ได้กำจัดพวกวิญญาณไปจนหมดหรือ?!’ แน่นอนว่าลูเซียนไม่ได้ถามคำถามนั้นออกไป เขารีบออกมาจากเขตประตูเมืองด้วยความมึนงงและดีใจที่อังเดรกับแม็กไม่นึกสงสัยอะไรในตัวเขา จากนั้นเขาก็นำเกวียนเช่าไปคืน

ลูเซียนได้รับห้าเฟลล์จากงานนี้ แต่สำหรับลูเซียนแล้ว สิ่งที่อยู่บนตัวเขากับในถุงผ้าต่างหากที่เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เขาหาเงินห้านาร์ได้อย่างรวดเร็วที่สุด

หลังกลับมาที่บ้านในเขตอาเดรอน ลูเซียนก็รีบซ่อนของที่เหลือแล้วรีบนำผ้าคลุมหน้าไปที่ตลาด

ด้วยไม่รู้ว่าผ้าลูกไม้ผืนนี้สามารถซักล้างได้หรือไม่ ลูเซียนจึงไม่ได้ทำอะไรกับมัน แต่อย่างไรเสียเขาก็ระมัดระวังไม่ทำให้มันดูสกปรกจนเกินไป

เมื่อเขามายืนอยู่หน้าร้านตัดเสื้อ ลูเซียนกลับลังเล ด้วยกังวลว่าจะถูกด่าทอและไล่ตะเพิด เหมือนกับตอนที่เขาทำงานพิเศษในร้านขายของ ใบหน้าเขาแดงก่ำ และเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจว่าตัวเองไม่มีความสามารถด้านการขายและยอมแพ้ไป

“กังวลถึงเรื่องนั้นก็เหมือนการกลัวความอับอายนั่นแหละ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจเรื่องศักดิ์ศรีไหมละ ศักดิ์ศรีจะเปลี่ยนขนมปังดำเป็นขนมปังขาว และทำให้ฉันได้กินสเต็ก ปลาค็อด แล้วก็ไวน์ไหม แล้วมันจะทำให้ฉันอ่านออกเขียนได้ไหม”

ตั้งแต่ทะลุมิติมา ลูเซียนผ่านประสบการณ์มามากมาย ทั้งยังเคยประสบกับอันตรายถึงชีวิต ในเวลานี้ เขาเพียงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจแน่วแน่ เก็บศักดิ์ศรีไว้ในกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปในร้านตัดเสื้อโดยไม่ลังเลอีกต่อไป

เจ้าของร้านเป็นชายชราผมสีดอกเลาที่สวมแว่นตา เมื่อเขาเห็นลูเซียน ก็ถามด้วยความสงสัย “มีอะไรงั้นรึ” เพียงมองเสื้อผ้าที่ลูเซียนสวมอยู่ เขาก็ทราบในทันทีว่าลูเซียนไม่ใช่คนที่จะมีปัญญาเข้ามาในร้านตัดเสื้อชั้นเลิศแน่ๆ

ลูเซียนแย้มยิ้มอย่างกระตือรือร้น “นายท่าน ท่านต้องการผ้าลูกไม้สีดำหรือไม่ ข้ามีผ้าดีๆ…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ชายชราผมสีดอกเลาก็เอ่ยขัด “คนอย่างเจ้าจะมีผ้าลูกไม้ดำดีๆ ได้อย่างไร ออกไป เจ้านักต้มตุ๋นบัดซบ”

ชายชราลุกจากเคาน์เตอร์มาผลักไสลูเซียนพร้อมกับสบถสาบาน ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ลูเซียนได้พูดอะไรอีก “มองแวบเดียวข้าก็รู้แล้วว่านั่นคือของที่เจ้าขโมยมา ข้า เฒ่าฮาว ช่างตัดเสื้อที่มีแต่ผู้เคารพนับถือ คนอย่างข้าซื้อผ้าจากเลาต์ซีเท่านั้น”

เมื่อถูกขับไสไล่ส่งออกจากร้านแรก ลูเซียนจึงต้องหาร้านถัดไปอย่างไม่เต็มใจนัก และตัดสินใจว่าครั้งนี้เขาจะเปลี่ยนวิธีเข้าหาเสียใหม่

————————————————