ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 160
องค์จักรพรรดิประชวรมานานแค่ไหน? พรรคพวกขององค์รัชทายาทก็อาละวาดถึงเพียงนี้ แล้วคนมากมายก็คุกเข่าอยู่หน้าตําหนักโซ่วหนิงของนาง คิดว่านางตาบอดจริง ๆ หรือ? ไม่เห็นเหรอว่าพวกเขาต้องการทําอะไร?
หวงไท่โฮ่วเสียใจจริง ๆ ที่มู่หรงเจี๋ยตายแล้ว แม้แต่ศพก็ยังไม่พบเจอ หลังจากคนขององค์รัชทายาทค้นหามาทั้งวัน พวกเขาก็เริ่มเข้าวัง เพื่อมาบีบบังคับนาง
ไม่มีใครเลยที่จะเข้าใจความรู้สึกของเธอ เขาเป็นเด็กที่เธอเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต จากชีวิตที่อ่อนวัยสู่การรับผิดชอบส่วนตัว หลังจากที่เรียกเธอว่าเสด็จแม่แล้ว เขาก็มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ไม่มีใครมาถามเธอเลยแม้แต่คำเดียว และไม่มีใครมาแสดงความเสียใจกับเธอเลยสักนิดเดียว
ในตอนเที่ยง ฮองเฮาก็เสด็จมาด้วยเช่นกัน
พอเข้าไปในห้องโถงก็ปลอบใจเธอสองสามคำ แล้วพูดว่า “เสด็จแม่ ทุกวันนี้เหล่าขุนนางหลายร้อยคนคุกเข่าอยู่ด้านนอกนั้นมันไม่ใช่ทางแก้ไข หรือว่าเราต้องตัดสินใจทำอะไรกันตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วเพคะ บ้านเมืองจะขาดฮ่องเต้ไม่ได้แม้แต่เพียววันเดียว”
ดวงตาของหวงไท่โฮ่วดูเย็นชา “ฝ่าบาทยังไม่สิ้นพระชนม์ เจ้ากลับมาพูดเยี่ยงนี้ เจ้ากังวลขนาดนั้นเลยงั้นหรือ?”
ฮองเฮารีบคุกเข่าลง แล้วตรัสว่า “หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันแค่คิดว่า เราไม่มีผู้สำเร็จราชการแล้ว บ้านเมืองจะต้องมีผู้ดูแลรับผิดชอบ ท่านต้องขึ้นครองบัลลังก์เอง หรือไม่ก็แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการไว้เสียก่อน ตอนนี้ทั่วทั้งใต้หล้าคงมีเพียงเสด็จแม่เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่จะตัดสินใจได้”
หวงไท่โฮ่วทรงตรัสอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ หรือฮองเฮาอย่างเจ้าจะมาตัดสินใจแทนข้า? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มาเป็นผู้สำเร็จราชการเสียเอง?
ฮองเฮารีบพูดขึ้น “หม่อมฉันมิกล้า หม่อมฉันไร้ความสามารถเพคะ หม่อมฉันยังต้องให้เสด็จแม่คอยดูแลเรื่องในวังหลัง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองเช่นนี้เลยเพคะ”
เธอคิดอย่างนั้นจริง ๆ ในปีนั้นไท่หวงไท่โฮ่วก็เป็นผู้สำเร็จราชการด้วยไม่ใช่หรือ? น่าเสียดายที่หวงไท่โฮ่วทุกวันนี้ต้องยอมอยู่ภายใต้นาง
หวงไท่โฮ่วเพียงรู้สึกว่าสถานการณ์ปัจจุบันทำให้เธอหงุดหงิด แค่อยากจะร้องไห้เพราะอาเจี๋ยยังทำไม่ได้เลย
นางรู้ดีถึงเจตนารมณ์ของฮองเฮา เช่นเดียวกับองค์รัชทายาทที่อยู่ด้านนอก บิดาของนาง เหลียงไท่ฟู่ได้ข่มขู่ผู้คนแล้ว ดูเหมือนว่าหากนางไม่สามารถรับมือกับเขาได้ นางคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางจึงมีพระราชเสาวนีย์ “เรียกไท่ฟู่เข้าเฝ้า”
ฮองเฮาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หยิบถ้วยชาขึ้นดื่มช้า ๆ มุมปากกลับเผยรอยยิ้มที่ออกมาโดยไม่รู้ตัว
ชายสวมชุดขุนนางระดับหนึ่งเข้ามาในตําหนัก ร่างผอมบาง โหนกแก้มยื่นออกมา ดวงตาเล็กกระจ่างใสไร้ที่ติ หนวดเคราแทบจะปิดปาก ราวกับว่าไม่เคยได้ใส่ใจมันแต่ทั้งสองด้านมีความยาวเท่ากัน เหมือนกับว่าจงใจเก็บเป็นเช่นนั้น ทําให้คนรู้สึกว่าเป็นการป้องกันอย่างหนึ่ง
เหลียงไท่ฟู่เข้าไปในห้องโถง ก้าวไปข้างหน้า และโค้งคำนับต่อหวงไท่โฮ่ว “กระหม่อมถวายพระพรไทโฮ่ว ขอทรงจงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
“ไท่ฟู่ลุกขึ้นเถิด” หวงไท่โฮ่วตรัสพร้อมกับยกมือขึ้น
“ขอบพระทัยไท่โฮ่ว!” เหลียงไท่ฟู่ลุกขึ้น แล้วก็โค้งคำนับฮองเฮาอีกครั้ง “ไท่ฟู่ถวายพระพรฮองเฮา”
“ไท่ฟู่ไม่ต้องพิธีรีตรองหรอก” ฮองเฮามองที่ไปที่บิดาก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก
หวงไท่โฮ่วขอให้เขานั่งลง แล้วเดินตรงเข้ามา “วันนี้ไท่ฟู่พาเหล่าขุนนางคุกเข่าที่ประตูวังของข้า เป็นเพราะอยากจะขอเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ใช่หรือไม่?
ไท่ฟู่ตอบอย่างสุภาพว่า “ทูลไท่โฮ่ว ตอนนี้ฝ่าบาททรงประชวรหนัก ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินที่ก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว บ้านเมืองยิ่งใหญ่ ห้ามไร้ผู้นำพ่ะย่ะค่ะ”
“จัดการเรื่องของผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิก่อน แล้วจึงค่อยวางแผนอีกครั้ง” หวงไท่โฮ่วตรัส
ไท่ฟู่เอ่ยว่า “ทูลไท่โฮ่ว สองสิ่งนี้ไม่มีความขัดแย้งกันพ่ะย่ะค่ะ”
หวงไท่โฮ่วเอามือไปลูบหน้าผากของนาง ขมวดคิ้วอย่างเหนื่อยใจ “มันใช่หรือ? ข้าแตกต่างจากพวกเจ้า ข้าไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องใหญ่โต ไม่มีทางที่จะจัดการกับสองสิ่งที่ใหญ่โตเช่นนี้ได้ในทันที มู่หรงเจี๋ยเป็นโอรสของข้า โอรสของข้าหมดสิ้นลมหายใจแล้ว ข้าคิดว่าที่พวกเจ้ารีบมาด้วยความเป็นห่วง มาเพื่อคุกเข่าคำนับ แต่มันกลับเป็นการขู่เข็ญผู้คน แล้วข้าจะต้องพูดอะไรกับพวกเจ้าอีกเล่า?
เหลียงไท่ฟู่ผงะ แล้วเอ่ยว่า “ไท่โฮ่ว พระองค์โปรดระงับความโศกเศร้าด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นเราควรดูแลสถานการณ์ตรงหน้าเสียก่อน และจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
หวงไท่โฮ่วลืมตาขึ้นในทันใด และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “การสิ้นพระชนม์ของผู้สำเร็จราชการเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับเจ้าอย่างนั้นหรือ? หรือว่าไม่ให้ข้าได้มีเวลาโศกเศร้า? พวกเจ้ารีบร้อนเรื่องอะไรกันเล่า? ใครจะเป็นเจ้า ใครจะเป็นคนคุมบ้านเมือง เจ้ารับผิดชอบแทนข้าได้หรือไม่เล่า?
“กระหม่อม…กระหม่อมไม่ได้รีบร้อนพ่ะย่ะค่ะ” เหลียงไท่ฟู่พูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ไม่คิดว่าหญิงชราผู้นี้จะพูดเก่งกว่าเมื่อก่อน แต่ตอนนี้มันกลับตาลปัตรแล้ว
เขาชำเลืองมองฮองเฮาโดยไม่รู้ตัว ฮองเฮายกน้ำชาแล้วพูดเกลี้ยกล่อมว่า “เสด็จแม่ ท่านพ่อไม่ได้หมายความว่าเยี่ยงนั้น ท่านก็รู้ดีแก่ใจว่า เพื่อราชสำนัก เพื่อประชาราษฎร์ เขาต้องตรากตรำทำงานหนักมาครึ่งชีวิต แม้แต่ท่านแม่ของข้าก็พูดว่าเขาเป็นคนที่ไร้น้ำใจต่อครอบครัว”